Share on
×

Share

“เพื่อไทย – แบงก์ชาติ” ต้องแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง

นับตั้งแต่ ”รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” เข้ามาบริหารประเทศ ดีกรีความขัดแย้งกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ ”แบงก์ชาติ” ร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ ปกติคนที่ทำตัวเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันคอยปะทะจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงคลัง แต่คราวนี้มี ”พิชัย นริพทะพันธุ์” รัฐมนตรีพาณิช สมทบอีกแรง ทันทีที่รับตำแหน่ง ก็มีทีท่าขึงขังจะขอไปคุยกับ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แบงก์ชาติ มี 3 เรื่องให้ช่วยดูแลเศรษฐกิจและการส่งออกคือ 1. ขอให้ลดดอกเบี้ย 2. เรื่องแก้ค่าเงินบาทแข็งค่า และ 3. ต้องการให้แบงก์ชาติ เข้าไปดูแลการเพิ่มเม็ดเงินสภาพคล่องสู่ระบบเศรษฐกิจ

ความขัดแย้งครั้งนี้ เป็นลูกติดพันจากในยุคที่เศรษฐา ทวีสิน นั่งเก้าอี้นายกฯควบรัฐมนตรีคลัง อีกทั้งหากจำกันได้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา แพทองธาร ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ยืนยันชัดเจนว่า กฎหมายพยายามให้แบงก์ชาติป็นอิสระจากรัฐบาล เป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หลายฝ่ายจึงจับตาว่าพรรคเพื่อไทยมองพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยหรือไม่

ย้อนดูปูมหลังจะเห็นว่า รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยกับแบงก์ชาติเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานมีความเห็นที่ไม่ตรงกันมาโดยตลอด ตั้งแต่พลังประชาชน จนมาถึงเพื่อไทย เช่น สมัยธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าแบงก์ชาติกับ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีรัฐมนตรีคลังพอมายุคเพื่อไทยคู่ขัดแย้งเป็น ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าฯธปท. กับกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีความเห็นต่างเรื่องนโยบายดอกเบี้ยอย่างดุเดือด ถึงขั้นเตรียมจะปลดโดยหาเหตุผลรองรับเรียบร้อยแต่ยังปลดไม่ได้  

จุดเริ่มต้นมาจากวิธีคิดที่ต่างกันรัฐบาลชุดนี้ที่อยากให้เศรษฐกิจโต5% เป็นเป้าที่รัฐบาลประกาศตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้ง ขณะที่ ธปท.อยากเห็นเศรษฐกิจโต แต่ถ้าโตเพื่อแลกกับการกระตุ้นในระยะสั้น จนอาจจะมีปัญหาเงินเฟ้อ หรือเสถียรภาพด้านราคาตามมา แบงก์ชาติไม่เห็นด้วย ล่าสุด ดร.เศรษฐพุฒิ ก็ออกมาบอกว่าควรเลิกไล่ล่าจีดีพี.

ความเห็นต่างกันในเรื่อง ”ลดหรือไม่ลดดอกเบี้ย” เป็นอีกหนึ่งต้นตอที่ขัดแย้งมาตลอด แต่การที่รัฐบาลไปขอให้คณะกรรมการนโยบายทางการเงินหรือกนง. ลดอัตราดอกเบี้ย โดยข้อเท็จจริง กนง.มีทั้งหมด 7 คน ซึ่ง 4 ใน 7 เป็นกรรมการอิสระ ดังนั้นการที่ฝ่ายการเมืองจะไปกดดันที่แบงก์ชาติ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยก็จะไม่ได้เสียงทั้งหมด เมื่อไม่ได้ดั่งใจคนในรัฐบาลมักออกมาชี้หน้าแบงก์ชาติ ทั้งที่มีกรรมการจากคนนอกที่แบงก์ชาติก็คุมไม่ได้ ทำให้คนภายนอกเข้าใจว่าเป็นเพราะแบงก์ชาติไม่เอารัฐบาล

ปัญหาทั้งหลายทั้งปวง เป็นเพราะรัฐบาลกับแบงก์ชาติมีวัตถุประสงค์ต่างกัน หน้าที่รัฐบาลต้องทำให้เศรษฐกิจโต ส่วนแบงก์ชาติเน้นเรื่องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ดังนั้นในมุมของ แบงก์ชาติมองอะไรที่เป็นเรื่องระยะยาวมากกว่า ถ้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้วค่าเงินบาทอ่อน ก็จะกระทบกับอัตราเงินเฟ้อ เพราะประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจแบบเปิด ต้องนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ รวมทั้งเรื่องของเงินทุนที่จะไหลออก ก็จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง ต่อไปถ้าเอาไม่อยู่ ก็จะเกิดผลกระทบตามมา ในเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการบริหารเป้าหมายของ แบงก์ชาติที่ต้องการรักษาไม่ให้เงินเฟ้อสูงจนเกินไป

ภาพที่ออกมาเป็นความขัดแย้งนั้น เนื่องจากคนที่ทำนโยบายให้เศรษฐกิจเติบโต กับคนที่ทำนโยบายเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพเป็นคนละคนกัน อย่างไรก็ตาม ในหลักการแบงก์ชาติกับการเมืองควรจะต้องมีระยะห่างต้องถ่วงดุล คานอำนาจกัน เพราะหากใกล้กันก็จะเกิดผลเสียตามมา อย่างกรณี ลดค่าเงินบาทในคราววิกฤติต้มยำกุ้งปี 40 ที่มีข่าวลือว่ามีคนได้ประโยชน์เพราะแบงก์ชาติไม่อิสระ การเมืองเข้าไปล้วงลูก ต่อมาจึงมีการแก้กฏหมายให้แบงก์ชาติมีความเป็นอิสระ การเมืองจะเข้าไปล้วงลูกลำบาก จะปลดผู้ว่าฯไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ เหมือนในอดีต

บทเรียนที่การเมืองเข้าล้วงลูกแล้วบ้านเมืองเสียหายดูตัวอย่างจากกรณีตุรกี ที่รัฐบาลแทรกแซงการทำนโยบายการเงินต่อเนื่อง โดยกดดันให้ลดดอกเบี้ยช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น เวลาแค่5 ปี รัฐบาลตุรกีไล่ผู้ว่าการออก 4 คนคนขาดความเชื่อมั่นส่งผลให้ค่าเงิน อ่อนค่าลง 80% และต้นปีนี้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น 65% จนต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 45% โดนปรับลดเครดิตเรตติ้งต่อเนื่อง

รวมถึงกรณีฮังการี ในปี 2554 รัฐสภาเสนอแก้กฎหมายให้ฝ่ายการเมืองแทรกแซงการดำเนินงานธนาคารกลางได้มากขึ้น เช่น นายกฯ ตั้งรองผู้ว่าการได้ ต่างชาติจึงกังวลความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวน ต้นทุนกู้ยืมสูงขึ้น บริษัทจัดอันดับเครดิตปรับลดเครดิตเรตติ้งต่อเนื่องในที่สุดฐสภาจึงแก้กฎหมายเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นกลับคืนมา

ขณะเดียวกันความอิสระของแบงก์ชาติในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบและความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้  จะว่าไปแล้วทั้งรัฐบาลและแบงก์ชาติต่างก็อยากทำหน้าที่ของตัวเอง รัฐบาลอยากให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากๆ ส่วน ธปท.อยากให้เศรษฐกิจขยายตัว แต่ต้องขยายตัวมีเสถียรภาพด้วย เป้าหมายเดียวกัน แต่ภาระกิจต่างกัน

ทั้งสองฝ่ายควรต้องมาคุยกัน และดูว่าเครื่องมือนโยบายทางการเงินกับการคลัง จะช่วยสนับสนุนกันได้อย่างไร ทั้งสองฝ่ายต้องยึดหลักแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

เพื่อนบ้านฟื้น…ทำไมไทยยังฟุบ

ตลาดหุ้นไทย … ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น?

ปอกเปลือก “ทักษิโณมิกซ์”

×

Share