Share on
×

Share

รศ.ดร.ณัฐชา ทวีแสงสกุลไทย ปรุงสูตร 3C: Coach, Cash, Connection แรงส่งสตาร์ตอัพ สานต่อเศรษฐกิจใหม่ประเทศไทย

เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบเหลือเกิน ว่าเกิดอะไรขึ้นกับภาคเศรษฐกิจและนวัตกรรมของประเทศไทย ทำไมจึงยังติดข้อง? และไม่ประสบความสำเร็จเหมือนต่างประเทศ 

รศ.ดร.ณัฐชา ทวีแสงสกุลไทย คือผู้ที่อาสาตอบคำถามนี้ พร้อมกับการสร้างสูตรเด็ด “3C” – Coach, Cash, Connection กุญแจ 3 ดอกที่สตาร์ตอัพต้องมี เพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้ประเทศไทย ที่ได้รับคำชมล้นหลามจากเวทีการประชุมนานาชาติ เพื่อเป็นแนวทางสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมและระบบนิเวศผู้ประกอบการ บนเป้าหมายการ Scale หรือสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้ประเทศไทย

“เพราะเราจำเป็นต้องมี coach, cash และ connection” รศ.ดร.ณัฐชา กล่าว

ก่อนจะมาเป็นสูตร 3C ทั้ง Coach, Cash และ Connection รศ.ดร.ณัฐชา ยังเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มสถาบันใหม่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี 2019 ในชื่อ “สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” หรือ Chulalongkorn School of Integrated Innovation (CSII) ซึ่งเป็นสถาบันแห่งแรกในไทยที่ได้รับการรับรอง ISO ด้านการจัดการนวัตกรรม ล่าสุดมีนักศึกษาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สาขา Integrated Innovation รุ่นแรกแล้วในปี 2023 โดยทุกคนได้รับการฝึกสอนเข้มข้นทั้งศาสตร์และศิลป์ในการเป็นผู้ประกอบการ

The Story Thailand จะพาทุกคนไปศึกษาเส้นทางการตกผลึกของ รศ.ดร.ณัฐชา รวมถึงทำความเข้าใจตัวคณะใหม่ที่ รศ.ดร.ณัฐชา ได้ก่อร่างไว้ จนกระทั่งขยายผลสู่แนวคิดเรื่องการสร้างนวัตกรรม, การเป็นผู้ประกอบการ, ระบบนิเวศแวดล้อมที่เหมาะสม และการขยายเศรษฐกิจที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศ

scale-up

เจ้าของหนังสือ 3 เล่ม และเก้าอี้หลายตัว

รศ.ดร.ณัฐชา ทวีแสงสกุลไทย นั้นเป็นที่รู้จักดีในนามเจ้าของสูตร 3C ซึ่งเป็นแก่นของหนังสือ 3 เล่มที่ รศ.ดร.ณัฐชา ได้สร้างสรรค์ให้เป็นเหมือนคัมภีร์เร่งเศรษฐกิจไทย บนฐานนวัตกรรม โดยรศ.ดร.ณัฐชาคนนี้ไม่ได้เขียนหนังสือเท่านั้น แต่ยังได้ติดต่อประสานงานกับ ”เพื่อน” 2 คนที่เคมบริดจ์ คนแรกคือเดวิด กิลล์ (David Gill) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมเซนต์จอห์น เคมบริดจ์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้ง Cambridge Enterprise ขึ้นมา และคนที่ 2 คือแคโรไลน์ ไฮด์ (Caroline Hyde) ผู้บริหารสูงสุดสายงานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ Cambridge Enterprise ที่เป็นอีกจิ๊กซอว์สำคัญของการร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร ตั้งแต่ปี 2022

ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของ รศ.ดร.ณัฐชา ไม่ได้มีเพียง “รองอธิการบดี ด้านการวางและกำหนดยุทธศาสตร์ นวัตกรรมและพันธกิจสากล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” แต่ยังมีอีกหลายเก้าอี้ที่ รศ.ดร.ณัฐชา นั่งควบคู่มาในเวลาไล่เลี่ย นั่นคือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช), กรรมการ สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CSII), ประธานมูลนิธิ ซียูเอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด (CUE Foundation), กรรมการเครือข่ายครอบครัวธนาคารโลก World Bank Family Network (WBFN), กรรมการบริษัท ซียูเอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด (CUE) และอีกหลายตำแหน่ง ที่งอกเงยจากจุดเริ่มต้นที่การเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุดสาหการ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประสบการณ์มากมายทำให้ รศ.ดร.ณัฐชา สร้างสมการ “นวัตกรรม=เศรษฐกิจ” ขึ้นมา โดยรศ.ดร.ณัฐชา บอกกับ The Story Thailand ว่าเวลาพูดถึงนวัตกรรมนั้นจะต้องพูดถึงเศรษฐกิจด้วย เพราะหากทำนวัตกรรมแล้วเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น แปลว่านวัตกรรมนั้นมาผิดทาง

1 ในหนังสือ 3 เล่มของ รศ.ดร.ณัฐชา (วิศวกรรมคุณภาพและการจัดการ : เข็มทิศการปรับปรุงและสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง, ปี 2019) เกิดขึ้นเพราะเสียงเรียกร้องของภาคเอกชนไทยที่ต้องการหาคำตอบว่าทำไมนวัตกรรมไทยจึงไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจใหม่ได้ รศ.ดร.ณัฐชาจึงใช้หนังสือเล่มนี้เพื่อปูพื้นฐานความหมายของนวัตกรรม เพื่อลดความสับสนในคำจำกัดความของคำว่านวัตกรรม ซึ่งเป็นต้นตอของการพัฒนานวัตกรรมที่ไม่ยั่งยืน

“ไม่มีใครมองภาพใหญ่ ว่าระบบนิเวศทางเศรษฐกิจหรือ Ecosystem จะต้องเป็นอย่างไร จึงจะทำให้คนที่ทำนวัตกรรมนั้นประสบความสำเร็จขึ้นมา นี่เป็นที่มาที่คิดว่าเป็นช่องว่าง จึงทำวิจัยเรื่องนี้ เรื่องระบบนิเวศ นวัตกรรม และทักษะความเป็นผู้ประกอบการ โดยที่หยิบประสบการณ์ในประเทศไทย มาผสมกับประสบการณ์ในต่างประเทศ”

ขณะที่เล่ม 2 (Innovation-Driven Enterprises Investment Ecosystem หรือ การพัฒนาระบบนิเวศการร่วมลงทุนในธุรกิจฐานนวัตกรรมของประเทศไทย : เร่งยกระดับประเทศไทยสู่สเกลอัพ 2030, ปี 2021) รศ.ดร.ณัฐชา เน้นลงลึกรายละเอียดสถานะในประเทศไทย ทั้งในรูปสถิติและสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจประเทศไทย โดยต่อยอดจากโปรเจ็กต์ที่เคยทำให้กับจุฬาฯ มาก่อน และโฟกัสกับการพัฒนานวัตกรรมในประเทศไทย ซึ่งเมื่อนำความเคลื่อนไหวที่เกิดในไทยมาผสมกับการค้นพบเด็กไทยที่มีความสามารถ แต่ขาดโอกาส และขาดแพลตฟอร์มที่ทำให้พัฒนาได้เต็มที่ งานเล่มที่ 2 จึงมุ่งแก้ไขภาวะที่หลายคนมักหลงไปโฟกัสที่การพัฒนารูปแบบธุรกิจ, การสร้างนวัตกรรม, และส่วนอื่นๆโดยไม่มีการมองภาพใหญ่ ว่าระบบนิเวศรวมจะต้องเป็นอย่างไรจึงจะทำให้คนที่ทำนวัตกรรมนั้นสำเร็จได้ จนท้ายที่สุดสามารถเกิดเป็นเศรษฐกิจใหม่ในประเทศ ที่ก่อร่างขึ้นจากคนและธุรกิจที่สร้างขึ้นมา

สำหรับหนังสือเล่มที่ 3 (ประเทศไทย : ยกระดับสตาร์ตอัพสู่สเกลอัป 2030 เร่งสร้างเศรษฐกิจนวัตกรรม, ปี 2023) รศ.ดร.ณัฐชา ขยับไปเล่าประสบการณ์การประสานระบบนิเวศแบบเป็นทีมในตลาดแถวหน้าอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวบรวมจากการไปอาศัยที่สหรัฐอเมริกากว่า 2 ปี จนได้เห็นและเข้าใจการส่งเสริมนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจริง โดยที่การร่วมมือของทุกส่วนในระบบนิเวศนั้น ไม่ได้จำกัดแค่หน้าที่ของรัฐบาล แต่เป็นสิ่งที่จะเกิดได้เมื่อทุกคนช่วยกัน ทั้งผู้ประกอบการ สตาร์ตอัพ หน่วยงานกำกับดูแล และมหาวิทยาลัย

scale-up

“เราไม่ควรโยนความผิดทุกอย่างให้รัฐบาล ทุกคนต้องช่วยกัน สหรัฐอเมริกาทำตัวอย่างได้ดีมาก เพราะทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่ เพื่อภาพรวมของเมืองและประเทศ ก็ทำให้เศรษฐกิจดีและมีงานที่ดี นี่ไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง แต่ทุกส่วนทำผลลัพธ์ได้ดีจนเป็นต้นแบบได้ ทั้งภาครัฐที่ยอดเยี่ยม สตาร์ตอัพที่เป็นผู้นำด้วยศักยภาพ ขณะที่หน่วยงานด้านกฏหมายก็มีผู้นำที่ช่วยเหลือด้านภาษีและจัดการดีลได้ยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยที่ทำหน้าที่ดีมากในการบ่มเพาะบุคลากรตั้งแต่ช่วงต้น สิ่งเหล่านี้คือระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์”

สะพานเชื่อมกับรัฐแมรี่แลนด์และประเทศไทย

นอกจากหนังสือ  รศ.ดร.ณัฐชา ใช้เวลา 1 ปีในการทำ “สะพาน” เชื่อมกับรัฐแมรี่แลนด์และประเทศไทย เพื่อให้เกิดการจับคู่กับการพัฒนานวัตกรรมในระดับที่เหมาะสม โดยเฉพาะประเทศไทยที่กำลังมีปัญหาในอุตสาหกรรมยานยนต์

รศ.ดร.ณัฐชา วิเคราะห์ว่าภาคการผลิตของไทยกำลังถูกดิสรัปจากตลาดรถพลังงานไฟฟ้า EV ที่ทำให้ตำแหน่งงานหดหายไป ดังนั้น ตัวทดแทนของภาคการผลิตในไทยจึงต้องเป็นสตาร์ตอัพที่เกิดขึ้นใหม่เท่านั้น ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังมีแนวโน้มที่ดีเรื่องอุตสาหกรรม BCG ยุคใหม่ (Bio circular green) และกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์เทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งล้วนเป็นตลาดเฉพาะทางที่มีโอกาสเติบโตของประเทศไทย

ในอีกด้านไทยยังมีการนำเข้าสินค้าด้านการแพทย์ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ ซึ่งสวนทางกับภาวะที่ประเทศมีศักยภาพสูงด้านบริการทางการแพทย์ ดังนั้นในภาวะที่ประเทศไทย “ไม่เคยผลิตเอง” และไม่เคยมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการแพทย์ที่จริงจังในประเทศ รศ.ดร.ณัฐชา จึงมองว่าประเทศไทยกำลังเสียโอกาสสร้างเศรษฐกิจใหม่ เพราะการได้ประโยชน์จากปลายน้ำคือฝั่งบริการเท่านั้น และไม่มีส่วนวิจัยพัฒนาหรือผลิตเพราะเน้นแต่การสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ

“เรานำเข้าทั้งหมด สมมุติว่าได้เงินมา 100 บาท 70 บาทจะถูกจ่ายไปกับการนำเข้าสินค้า ส่วน 30 บาทเราจะได้เป็นค่าแรง คำถามคือทำไมเรามีความสามารถทำ 70 บาท ทำไมเราไม่ทำ แล้ววันดีคืนดี ก็มีการระบาดใหญ่อย่างที่เราเห็น เรามีความสามารถ แต่ไม่มีระบบนิเวศรองรับให้ทำ และไม่ได้ช่วยเหลือกัน ที่ผ่านมา เรายังไม่เคยมีอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศไทย”

ทำไมไทยจึงเหมาะกับการจับมือกับแมรีแลนด์? รศ.ดร.ณัฐชา อธิบายเพิ่มว่าแมรีแลนด์เป็นรัฐที่เซกเมนต์อุตสาหกรรมนั้นโดดเด่นมาก เนื่องจากต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพที่เหมาะสมกว่า อย่างไรก็ตาม แมรีแลนด์อาจถูกมองข้ามไปเพราะเป็นรัฐที่มีอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพขนาดใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐอเมริกา ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่มักนึกถึงอันดับ 1 อย่างบอสตัน รวมถึงรัฐอื่นที่เป็นแหล่งของมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ซึ่งแท้จริงแล้ว ในขณะที่งานวิจัยล้ำสมัยอยู่ในพื้นที่หัวกะทิเหล่านี้ แต่ระบบนิเวศของสหรัฐอเมริกาก็มีการต่อยอดจากการวิจัยและพัฒนา ด้วยการขยาย Scale หรือการทำเป็นอุตสาหกรรมมาที่แมรีแลนด์ รวมถึงรัฐอื่นซึ่งได้รับอานิสงส์เศรษฐกิจขยายตัวไปด้วย เช่นกัน

การทำสะพานเชื่อมระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาของ รศ.ดร.ณัฐชา นั้นนำไปสู่ความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่รับเป็นเจ้าภาพฝั่งอุตสาหกรรมไทย ในการประสานสตาร์ตอัพด้าน BioTech ของสหรัฐอเมริกาในแมรีแลนด์ ที่ต้องการขยายธุรกิจมาในเอเชีย โดยโยงเข้ากับบริษัทไทยที่รับผลิตตามคำสั่งหรือ OEM ซึ่งโปรเจ็กต์นี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนสายการผลิตของไทยที่ถูกดิสรัป ให้มาเป็นฐานการผลิต BioTech กลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งจะได้เปรียบกว่าการผลิตที่สหรัฐอเมริกาในแง่ต้นทุนการผลิต

การเปลี่ยนภาคอุตสาหกรรมไทยจากฐานการผลิตยานยนต์มาเป็น BioTech จะสามารถสร้างงานใหม่ให้กับผู้ว่างงาน และทดแทนระบบอุตสาหกรรมที่ขาดทุนไป ในอีกด้าน NIA หรือสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ก็ต้องการขยายให้สตาร์ตอัพไทยไปเติบโตที่ต่างประเทศ ดังนั้นโปรเจ็กต์นี้จึงสามารถทำหน้าที่ในการออกแรงส่งสตาร์ตอัพไทยไปเติบโตที่อเมริกาผ่านสะพานนี้

โยงสตาร์ตอัพไทย ไปเจอนักลงทุน

การเชื่อมโยงไทยเข้ากับสหรัฐอเมริกานั้น มีฐานส่วนหนึ่งมาจากการพักอาศัยที่สหรัฐอเมริกานานกว่า 2 ปี โดยรศ.ดร.ณัฐชา เล่าว่าได้ลาติดตามสามีไปที่แมรี่แลนด์ ซึ่งจากการทำงานเป็นลักษณะโปรเจ็กต์ในช่วงแรก และทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอธิการ (ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาฯ) เพื่อเชื่อมโยงจุฬาฯ เข้ากับหน่วยงานการศึกษาในสหรัฐอเมริกา เช่น มหาวิทยาลัยคอร์เนล ที่มีการเชื่อมให้ จุฬาฯ เป็นหนึ่งในเครือข่าย 11 ประเทศที่จะเชื่อมโยงและทำวิจัยร่วมกัน จนล่าสุด รศ.ดร.ณัฐชา โฟกัสกับการเชื่อมโยงระบบนิเวศทางเศรษฐกิจสำหรับสตาร์ตอัพ เพื่อพาสตาร์ตอัพไทยที่บ่มเพาะมาแล้ว ไปเติบโตในอเมริกา เพื่อให้ได้ไปเจอกับนักลงทุน

ปัจจุบันมี 3 บริษัทไทยที่ได้ไปเติบโตในอเมริกาแล้ว ได้แก่ 1. บริษัท แนบโซลูท จำกัด สตาร์ตอัพจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งพัฒนา Hy-N (ไฮ-เอ็น) นวัตกรรมไบโอพอลิเมอร์ ระบบนำส่งสารช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเวชสำอาง ยา และวัคซีน, 2. บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด  สตาร์ตอัพจากศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย CU Innovation Hub ที่คิดค้นวิจัยจนสามารถผลิตชุดทดสอบ COVID-19 ได้ และ 3. บริษัท ไมนีด เทคโนโลยี จำกัด สตาร์ตอัพที่นำเข็มขนาดเล็ก มาบรรจุสารที่ต้องการส่งสู่ใต้ผิวหนัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสกินแคร

ทั้ง 3 บริษัทนี้อยู่ภายใต้ CU Enterprise และได้ถูกตั้งความหวังในการสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้ประเทศไทยทั้งในมิติการเพิ่มทุนและการค้นหาตลาด เชื่อว่าจะทำให้เกิดการขยายผลบนรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่ใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งตามคำจำกัดความ พบว่าธุรกิจที่เข้าข่ายเติบโตแล้วคือธุรกิจที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 20% ต่อปี

รศ.ดร.ณัฐชา ยอมรับว่านี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมในไทย โดยเป้าหมายสูงสุดของการสร้างเศรษฐกิจ Scale up economy คือเศรษฐกิจจะต้องดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เพียงรายได้ที่จะเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น แต่จะมีการสร้างงานใหม่ ที่ไม่ใช่แค่งานทั่วไป เพราะจะต้องเป็นงานที่ให้ผลตอบแทนระดับสูง

หลักคิดของ รศ.ดร.ณัฐชา คือการสร้างเศรษฐกิจใหม่จะต้องเป็นรูปแบบอุตสาหกรรมนวัตกรรมหรือ Innovation Industry เท่านั้น โดยจะต้องเป็นการขยายที่ไม่ใช่แค่การพัฒนานวัตกรรม เพื่อจำหน่ายในประเทศไทย หลักคิดนี้หล่อหลอมจากความสนใจเรื่องนวัตกรรม ผู้ประกอบการ และระบบนิเวศ รวมถึงการสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่ รศ.ดร.ณัฐชา สะสมมาตลอดนับตั้งแต่จบการศึกษา

ประสบการณ์ 3 ประเทศ

ความสนใจเรื่องการสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้ประเทศด้วยนวัตกรรมของ รศ.ดร.ณัฐชา นั้นมีที่มาจากเข้าศึกษาใน 3 ประเทศ โดยหลังจากการศึกษาปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ (IE) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงปริญญาโท สาขา Industrial Engineering and Management ที่ Linkoping University สวีเดน (ทุน STINT) รศ.ดร.ณัฐชา ได้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขา Manufacturing Engineering and Operations Management ที่ University of Nottingham อังกฤษ (ทุนรัฐบาลไทย)

รศ.ดร.ณัฐชา เริ่มทำงานในโรงงานช่วงสั้น ๆ หลังจบปริญญาตรี โฟกัสในเวลานั้นคือการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคโดยตรงที่ Johnson & Johnson Thailand (ประมาณ 1 ปี) โดยรับผิดชอบ 13 โครงการใหญ่ที่เน้นการออกแบบและปรับปรุงกระบวนการผลิต รวมถึงงานเกี่ยวกับการ Rebranding, Packaging design สำหรับตลาดเอเชี

จุดเปลี่ยนมุมมองของ รศ.ดร.ณัฐชา เริ่มจากการให้ความสำคัญกับการลดต้นทุน ซึ่งเวลานั้นโลกอุตสาหกรรมถูกจัดให้เป็นยุค Industry 3.0 แต่ระยะหลังได้เปลี่ยนมาสู่การสร้างนวัตกรรม และการสร้างรายได้ใหม่หรือ New Revenue Creation เพื่อต้อนรับยุค Industry 4.0 เวลานั้น ประสบการณ์ในสวีเดนทำให้ รศ.ดร.ณัฐชา เปิดโลกทัศน์ใหม่ โดยมีโอกาสเรียนรู้จากประเทศที่มีประชากรน้อยแต่มีความสามารถในการผลิตหรือ Productivity สูง ซึ่งเห็นได้จากความสำเร็จของบริษัทสวีเดนในเวทีโลก เช่น IKEA และ H&M

เวลานี้เองที่ รศ.ดร.ณัฐชา เริ่มเบนความสนใจจากเดิมที่การลดต้นทุน มาเป็นการเพิ่มคุณภาพเพื่อเพิ่มความประทับใจของลูกค้าด้วยการสร้างสินค้าหรือบริการใหม่ นี่จึงเป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนความสนใจมาทางด้านนวัตกรรม และเมื่อบวกกับความรู้ที่ได้จากการเลือกเรียนที่สวีเดน รศ.ดร.ณัฐชา จึงเข้าใจว่าอุตสาหกรรมแบบนวัตกรรมนี้เองที่มนุษย์อยากได้

สำหรับการศึกษาที่ประเทศอังกฤษ รศ.ดร.ณัฐชา เลือกเรียนด้านวิศวกรรมการผลิตและการจัดการสายปฏิบัติงาน (Manufacturing Engineering and Operations Management) ซึ่งศึกษาทั้งด้านวิศวกรรมและการบริหาร แต่เวลานั้นสาขาที่เรียนเกิดแยกสายด้านวิศวกรรมและการจัดการออกจากกัน รศ.ดร.ณัฐชา จึงไปจบการศึกษาด้าน Business school ทำให้ได้โอกาสเปิดโลกความรู้เพื่อการเป็นเจ้าของกิจการ ที่รศ.ดร.ณัฐชาเลือกศึกษาเองเพราะชอบเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ

“ถือว่าโชคดีมาก เป็นความโชคดีของชีวิต ที่ได้เรียนตั้งแต่วิศวฯพื้นฐาน นวัตกรรม และการเป็นเจ้าของกิจการ นี่จึงเป็นพื้นฐานที่ครบ ก่อนที่จะมองเห็นภาพนี้ เราเคยเป็นผู้เล่นในระบบมาก่อน จึงรู้ว่าใครยังขาดอะไร ติดอะไร แล้วจะทำอย่างไรที่จะช่วยให้คนซึ่งอยากทำธุรกิจอะไรบางอย่าง สามารถทำสิ่งนั้นได้สำเร็จเร็วขึ้น และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ”

หลังจบการศึกษา รศ.ดร.ณัฐชา กลับมาเป็นอาจารย์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ โดยสอนทั้งด้านวิศวกรรมและการจัดการ ครอบคลุมเนื้อหาด้านการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในโรงงานหรือในองค์กร รวมถึงการพัฒนาเพื่อไม่ต้องแก้ปัญหาจากการทำงานซ้ำ ๆ และสุดท้ายคือการสร้างสิ่งใหม่หรือนวัตกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ รศ.ดร.ณัฐชา ชอบที่สุด

“อาจารย์โฟกัสส่วนนวัตกรรมเป็นหลัก เราชอบเรื่องนี้ รู้สึกว่ามีอนาคต และขยายผลได้ 10 เท่า 100 เท่า”

ความชอบนี้เป็นฐานที่ทำให้ รศ.ดร.ณัฐชา เลือกก่อตั้งหลักสูตร BAScii หรือ Bachelor of Arts and Science in Integrated Innovation ขึ้นเพื่ออยู่ใต้คณะ Chulalongkorn School of Integrated โดยทั้ง 2 ส่วนถูกก่อร่างในช่วงที่ รศ.ดร.ณัฐชา เป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ และได้ทำงานด้านบริหารคู่มาตลอดเพราะชอบงานบริหาร โดยพยายามเพิ่มบทบาทมหาวิทยาลัย จากยุคแรกที่เน้นสอน (Educator) ยุคที่สองที่เน้นการวิจัยและสร้างความรู้ใหม่ ยุคที่ 3 คือการเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อแก้ปัญหาชุมชน (Problem solves), มาเป็นยุคปัจจุบันที่มหาวิทยาลัย ต้องเพิ่มบทบาทอีก 3 ส่วน คือการเป็นผู้เชื่อมต่อ (Connector), เป็นผู้ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น (Agent of Change) และเป็นนวัตกร (Innovator)

Entrepreneurial University หน้าที่ใหม่ของจุฬาฯ

รศ.ดร.ณัฐชา อธิบายว่า 3 บทบาทที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลรายงานการวิจัยที่บอกชัดเจนว่ามหาวิทยาลัยจะต้องเพิ่มหน้าที่ขึ้นมา โดยเฉพาะ เพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการเป็นเจ้าของกิจการหรือ Entrepreneurial University ที่มหาวิทยาลัยต้องเข้าไปช่วยเหลือชุมชนสังคม ด้วยรูปแบบของนวัตกรรมได้มากกว่านี้

ในอีกด้าน รศ.ดร.ณัฐชา มองว่าบทบาทของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันยังเปลี่ยนไปในวันที่ โลกนี้แคบลงเรื่อย ๆ” ซึ่งในภาวะเช่นนี้ ประสบการณ์ระดับโลกหรือ Global experience มีความสำคัญสูงมาก รศ.ดร.ณัฐชาจึงมองว่ามหาวิทยาลัยจะต้องมุ่งสร้างคนรุ่นใหม่ให้เป็นพลเมืองโลกหรือ Global Citizen ให้ได้ ซึ่งไม่ใช่อยู่ได้แต่เมืองไทย แต่ออกไปนอกประเทศแล้วทำงานไม่ได้ โดยอีกจุดคือการสร้าง Life Long Learning เนื่องจากการเรียนไม่ควรหยุดอยู่แค่ 4 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัย และเด็กไทยควรพัฒนาตัวเองตลอดเวลา

“นี่คือที่มาของการที่เราต้องปรับมหาวิทยาลัยในตอนนั้น ยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยตอนนั้นคือการเป็นศูนย์ข้อมูลให้กับสังคม เราต้องการที่จะอยู่คู่เคียงข้าง และเป็นที่พึ่งให้กับสังคม จึงมีการตั้ง CU Innovation Hub ซึ่งเป็น Venture Builder Platform หรือแพลตฟอร์มสร้างผู้ประกอบการ และสร้างธุรกิจวิจัยนวัตกรรม หรือธุรกิจสตาร์ตอัพที่เราพูดกัน”

ปัจจุบัน CU Innovation Hub ดำเนินการมากว่า 6 ปีในฐานะเป็นศูนย์บ่มเพาะหรือ Incubator ฝั่งมหาวิทยาลัย โดยแม้จะมีบทบาทต่างจาก CU Enterprise ที่เป็นหน่วยเร่งการเติบโต แต่ทั้ง 2 หน่วยงานมีการทำงานประสานกัน กลายเป็น Venture Builder ที่สร้างคนจากศูนย์ได้ในที่สุด

สร้างคนแห่งอนาคต 

เมื่อถามว่าคณะของมหาวิทยาลัยที่จะสร้าง “คนแห่งอนาคต” ได้นั้นจะต้องมีฟังก์ชันใดบ้าง เพื่อประกอบร่างทักษะให้นักศึกษาที่จบออกไปแล้วกลายเป็นคนคุณภาพ รศ.ดร.ณัฐชา จึงเล่าถึงคณะ Chulalongkorn School of Integrated Innovation หรือ CSII ว่าเป็นคณะที่ตั้งใจสร้างบัณฑิตแห่งอนาคตที่ทำงานได้ 3 อาชีพ ได้แก่ Innovator หรือการเป็นนวัตกรที่สามารถสร้างสิ่งใหม่ที่นำไปปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่แค่ฝัน หรือฝันแล้วนำไปสู่ความเป็นจริงได้

อาชีพที่ 2 คือ Technology Entrepreneur หรือการเป็นผู้ประกอบการที่มีเทคโนโลยีเป็นพื้นฐาน 

เพราะผู้ประกอบการที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีเป็นพื้นฐาน จะ Scale up ไม่ได้ และอาชีพที่ 3 คือ Social Transformers หรือนักพัฒนาสังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นผู้นำการพัฒนาประเทศไทยต่อไป

“คอนเซ็ปต์นี้ อาจารย์ได้มาจากอาจารย์สุเมธ ตันติเวชกุล อ.โชคดีที่ได้เรียนกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เก่งมากและมีจิตใจดี ท่านเป็นนักพัฒนาอย่างยั่งยืนของมูลนิธิชัยพัฒนา อาจารย์เลยได้ความรู้ จากที่เป็นวิศวกรและไม่เคยลงชุมชน ครั้งแรกที่ลงชุมชนในตอนที่เป็นผู้บริหาร เป็นรองอธิการ นั้นทำให้เห็นมุมมองจากสาวโรงงาน ทำให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วม จากที่เคยทำบริษัทหนึ่งให้กำไรและรวย แต่การทำให้ชุมชนมีความสุข ก็เป็นอีกความสุขที่เกิดขึ้น”

อีกคอนเซ็ปต์ที่ รศ.ดร.ณัฐชา ได้จากการลงชุมชนคือ “เป้าหมายสูงสุดคือประโยชน์สุข” จากที่เคยสับสนว่าประโยชน์สุขแตกต่างจากประโยชน์อย่างไร และทำไมต้องมีความสุขตอนสุดท้าย แต่แล้ว รศ.ดร.ณัฐชา ก็เข้าใจและเชื่อมกับภาษาของผู้ประกอบการ ที่บอกว่าผู้ประกอบการที่ดีจะต้องเป็นผู้ส่งมอบคุณค่าแบบมืออาชีพหรือ Professional Value Provider

“ประโยชน์อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความสุขด้วย แปลว่าเจ้าของนวัตกรรมจะต้องวัดความสุขของชุมชนด้วย ว่าหลังจากที่มีนวัตกรรมเข้าไปแล้ว ชุมชนเป็นสุขหรือเปล่า หรือไปทำร้ายจนทำให้ชุมชมอยู่ไม่ได้ ซึ่งอันนั้นไม่ยั่งยืน”

ผลจากหลักคิดนี้ทำให้แผนการเรียนการสอนของคณะ CSII ถูกเรียกว่า “ต้นไม้แห่งภูมิปัญญา” (Wisdom tree) เนื่องจากการสร้างหลักสูตรนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการเชิญบุคคลหลายเจเนอเรชัน หลากหลายศาสตร์ ทั้งวิศวกรรม บัญชี สถาปัตย์ และวิทยาศาสตร์ เพื่อตอบคำถามว่าการสร้างเด็กที่สามารถทำได้ทั้ง 3 สิ่ง คือเป็น Social Transformer, เป็น Innovator และเป็น Technology Entrepreneur เด็กคนนี้ควรต้องมีลักษณะอย่างไร และเด็กคนนี้ควรต้องเรียนอะไร

นอกจากการเป็นคนดี คนเก่ง รศ.ดร.ณัฐชา มองว่าคนแห่งอนาคตต้องมีทักษะ 4 อย่าง คือ Critical thinking หรือการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ นอกจากนี้คือ Creatively ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ แม้แต่สิ่งเดิมที่ดีอยู่แล้ว ก็อาจจะมีดีกว่านี้, Collaboration ต้องปลูกฝังความร่วมไม้ร่วมมือตั้งแต่เด็ก ความสามัคคี และสุดท้าย Communication การสื่อสาร ซึ่งมักเป็นปัญหาของคนไทย

“4 อันนี้ต้องใส่เข้าไปใน 21st Century Skills แล้วก็สิ่งที่เรียน 2 อันหลัก ๆ เทคโนโลยี กับ Business 

โลกแห่งอนาคต ถ้าเราอยากได้ผู้นำการพัฒนา ผู้นำการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องมีเทคโนโลยีเป็นพื้น คือต้องเข้าใจ  อาจจะไม่ต้องเป็นคนสร้างเทคโนโลยี ไม่ต้องสร้างบล็อกเชนเอง แต่เข้าใจว่าเทคโนโลยีนี้ คืออะไร มีข้อจำกัดอะไร ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ Limitation คืออะไร อีกส่วนคือต้องเข้าใจ Value Chain ทั้งหมดในการทำธุรกิจ ในมุมอาจารย์การทำธุรกิจ 

เหมือนการเข้าใจองค์กรหนึ่งองค์กร เช่นต้องดูเรื่องคน ดูเรื่องเงิน ดูเรื่องกระบวนการในการผลิต ก็ต้องเข้าใจทั้งหมด ถ้าเข้าใจ 2 อย่างนี้แล้ว ต้องปฏิบัติ การปฏิบัติ อ.ให้ปฏิบัติตั้งแต่ปี 1 การฝึกงานปี 3 ช้าเกินไป ต้องเรียนตั้งแต่ปี 1 เพื่อจะได้รู้ว่าสิ่งที่เรียน เอาไปทำอะไรได้บ้าง”

รศ.ดร.ณัฐชา ยังมองว่า The Future AI หรือปัญญาประดิษฐ์แห่งอนาคตคือทักษะที่เด็กทุกคนต้องรู้ เนื่องจาก AI จะเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงในทุกแอปพลิเคชัน เป็นระบบพื้นฐานที่เด็กคนนี้จะไปทำงานอุตสาหกรรมใดก็ได้ โดยในช่วงปีที่ 1 นักศึกษาควรต้องมีแนวคิดธุรกิจ ว่าจะพัฒนาอะไรบนโจทย์อะไร โดยต้องมองเห็นโจทย์กว้างระดับโลก หลักสูตรจะต้องทำให้นักศึกษาได้เห็นโจทย์บนโลกใบนี้ หรือมีความท้าทายอะไรที่ควรจะต้องเข้าใจ

หลังจากนั้น นักศึกษาจะได้เลือกโจทย์ แล้วลงมือทดลองโดยที่สามารถเปลี่ยนโจทย์ได้ระหว่างทางตามความชอบ จากนั้นต้องทำเป็นต้นแบบ ทำให้การศึกษาในปีที่ 1 ได้ผลลัพธ์เป็นรูปแบบธุรกิจ จนการศึกษาในปีที่ 2 จะเน้นการทำต้นแบบ ที่สามารถสื่อสารได้ว่าโซลูชั่นคืออะไร โดยมีการกำหนดให้นักศึกษาจดทะเบียนบริษัท เพื่อที่ปีที่ 3 นักศึกษาจะมีลูกค้ารายแรกหรือ First paid customer โดยสามารถเริ่มใหม่ และขยายนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นได้อีกภายใต้ 4 ปีที่เรียน

เพราะคนสำคัญที่สุด

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา รศ.ดร.ณัฐชา เชื่อว่าระบบนิเวศที่จะเอื้อให้นวัตกรรมประสบความสำเร็จที่สุด จะต้องประกอบด้วย 3 ส่วน คือ Who, What และ How โดย Who หรือ “ใครทำ” นั้นสำคัญยิ่งกว่า What หรือการทำอะไร

“อันนี้เราย้ำตลอด ว่าในระบบนิเวศของผู้ประกอบการนวัตกรรม จะต้องประกอบด้วยอะไรบ้างถ้าประเทศวางเป้าหมายอยากได้เศรษฐกิจ Scale up economy ส่วนแรกสุดคือผู้เล่นหลัก หรือ Key player ที่เห็นในอเมริกาว่าทุกคนเล่นเพลงเดียวกันและเป็นทีมเดียวกัน ว่าทำเพื่อให้นวัตกรรมผลักดันเศรษฐกิจ 

โดยเศรษฐกิจเมืองต้องดีขึ้น เศรษฐกิจองค์กรต้องดีขึ้น แล้วก็เกิดการจ้างงานใหม่ที่มีค่าแรงดี ความยั่งยืนก็ตามมา”

ในอีกด้าน รศ.ดร.ณัฐชา มั่นใจว่าประเทศจะไม่สามารถขยายเศรษฐกิจได้ หากไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม เนื่องจากข้อมูลจากอังกฤษพบว่า 50% ของ SME ในระบบเศรษฐกิจอังกฤษล้วนเป็นกลุ่มที่มีการขยายตัวแล้ว โดยในรายได้ที่ไหลเข้าอังกฤษในปัจจุบัน พบว่าจาก 100% ของรายได้ที่เดิมมาจาก SME ธรรมดา แต่ขณะนี้พบว่าราว 50% ของรายได้กลุ่มนี้ มาจากบริษัทที่ขยายได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นอีกตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการสร้างเศรษฐกิจใหม่จากนวัตกรรม

นอกจากนี้ รศ.ดร.ณัฐชา พบว่าอีกสิ่งสำคัญคือการเชื่อมความสามารถกับโอกาส ที่หากทำได้ก็จะนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมได้สำเร็จ โดยที่นวัตกรรมนั้นจะต้องประกอบด้วย  3 ส่วน คือ ใหม่ มีประโยชน์ และได้รับการยอมรับนำไปใช้

และในขณะที่หลายคนอาจมองว่านวัตกรรมจะประสบความสำเร็จได้เมื่อมีการให้ความสำคัญกับเงิน ความรู้ หรือมีความสามารถ แต่แท้จริงแล้ว นวัตกรรมจำเป็นต้องมีระบบนิเวศแวดล้อมที่ดี เหมือนกับการแข่งม้า ที่จะต้องผสานทั้งศักยภาพของผู้ขี่ม้า ตัวม้าแข่ง และสนามลู่วิ่งการแข่ง จึงจะเป็นที่มาของชัยชนะ

“สำหรับในเมืองไทย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Who, What, How ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น What คือวัตถุดิบคุณภาพ หรือร้านอาหารที่ดี รวมถึงมีเทคโนโลยีในร้าน ส่วนที่ 2 คือเมนู สูตรทำอาหาร ซึ่งใครมีสูตรทำอาหารดี ย่อมได้เปรียบในการทำร้านอาหาร รวมถึงมุมมองธุรกิจเช่นรูปแบบธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ ส่วนที่ 3 คือสิ่งที่อาจารย์ให้ความสำคัญที่สุด คือ Who ใครทำซึ่งสำคัญกว่าทำอะไร และไม่เพียงผู้ก่อตั้ง คำว่า “ใคร” ยังจะต้องประกอบไปด้วย 4 คนสำคัญ คือผู้ก่อตั้ง ทีมงาน นักลงทุน และพันธมิตร 4 คนนี้ ต้องเล่นเป็นเพลงเดียวกัน”

เมื่อคิดต่อว่าจะทำอย่างไรให้ผู้นำการพัฒนา หรือผู้ก่อตั้งประสบความสำเร็จ รศ.ดร.ณัฐชา จึงเสนอกลไกของ 3C คือ Coach, Cash และ Connection เนื่องจากผู้ก่อตั้งที่เกิดใหม่อาจจะไม่ได้มีความรู้เรื่องการเงิน หรืออาจจะไม่ได้มีความรู้เรื่องการตลาดดีพอ รวมถึงไม่ได้มีความรู้เรื่องเทคโนโลยี ความจำเป็นในมีการผู้แนะนำจึงเป็นเรื่องสำคัญ

“เราจำเป็นต้องมี Coach หรือผู้แนะนำในแต่ละเรื่อง ในแต่ละขั้นของการพัฒนาธุรกิจ อันที่สอง เราจำเป็นต้องมี cash หรือเงินสนับสนุน เพื่อให้แปลงไอเดียไปเป็นสินค้าหรือธุรกิจ และเราจำเป็นต้องมี connection คือไม่ใช่แค่ผู้ลงทุนที่ให้เงินแล้วจบ เพราะจะต้อง Coach และ Connect ด้วย”

3C โลกเห็นด้วย

หลังจากที่เคยเสนอแต่แนวคิดเรื่องการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรม เพื่อพัฒนาบุคลากรมาก่อน รศ.ดร.ณัฐชา ได้เผยแพร่สูตร 3C ในช่วงหลังจากเดินทางมายังสหรัฐอเมริกา และเมื่อนำเสนอสูตร 3C ในการประชุมที่เมืองไทยและสหรัฐฯ ผู้ฟังได้แสดงความเห็นด้วยถ้วนหน้า โดยเฉพาะ C ตัวแรกในสูตร 3C ที่เป็น Coach รศ.ดร.ณัฐชา พบว่า CEO ส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ มี Coach แทบทุกคน และ Coach นั้นแตกต่างจาก Mentor ที่อาจจะให้แค่ความรู้ด้านเดียว แต่ Coach นั้นจะเกี่ยวข้องกับชีวิต ทั้งการทำงาน และอีกหลายอย่าง โดยรับฟังและช่วยคิดแบบเฉพาะคน

ในความคิดของ รศ.ดร.ณัฐชา Coach อาจจะเป็นการปรึกษาแบบ 2 ทางหรือ Two Way ขณะที่ Mentor เป็นทางเดียว ดังนั้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสูงอาจจำเป็นต้องมีผู้แนะนำด้านการใช้ชีวิต เพื่อช่วยทำให้ชีวิตราบรื่น

ในส่วน Connection รศ.ดร.ณัฐชา ชี้ว่าหลายคนมักจะลืม แต่สหรัญอเมริกาทำดีมากในเรื่องนี้ เนื่องจากธุรกิจที่ได้รับสนับสนุนเงินทุนไป จะมี Coach และมีทีมของ VC ให้คำแนะนำ เช่น แหล่งซื้อวัตถุดิบ หรือคำแนะนำการหาลูกค้ากลุ่มที่เหมาะสม รวมถึงตลาดที่มีโอกาสรออยู่ คำแนะนำเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของธุรกิจให้น้อยลง และช่วยให้สตาร์ตอัพเจอ “นักลงทุนที่ใช่” ได้ง่ายมากขึ้น

สำหรับหน่วยงานที่เร่งการเติบโตหรือ Accelerator ก็จะต้องช่วยเชื่อมกับนักลงทุนให้ได้ เมื่อมีการนำเสนอแนวคิดหรือ Pitch เกิดขึ้น โดยต้องเข้าใจและเชื่อมกับนักลงทุนที่เหมาะสม ขณะที่ฝ่ายหน่วยงานกฏหมาย จะต้องทำหน้าที่ Deal Diligence ที่ดีเพื่อให้ความรู้เรื่องกฎหมายในการเซ็นสัญญา ซึ่งควรจะต้องรู้ว่าสามารถสนับสนุนอย่างไรให้ สตาร์ตอัพ ปิดดีลได้อย่างสวยงาม

ภาพฝันนี้อาจจะเกิดขึ้นจริงได้เมื่อผ่านกลไกบางอย่าง ตรงนี้ รศ.ดร.ณัฐชา แสดงความขอบคุณสถาบันนวัตกรรมแห่งชาติหรือ NIA ที่ถือเป็นผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม (Focal Conductor) ในประเทศไทย โดยทำหน้าที่เป็น Focal Conductor กึ่งกลางที่เชื่อมกับทุกส่วนไปด้วยกัน ต่างจากเดิมที่อาจมีการทำงานแยกกัน

ปัจจุบัน รศ.ดร.ณัฐชา ย้ำว่าทั้ง 9 บริษัทที่เป็นสตาร์ตอัพจุฬาฯ นั้นเป็นบริษัทกลุ่ม Deep tech ที่พัฒนา World technology และมีการจดสิทธิบัตรเบื้องหลังทั้งหมด ซึ่งในขณะที่แทบทุกมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยมี “University holding company” และตอนนี้เริ่มมีการตั้ง Accelerator ของตัวเองแล้ว ที่ทำหน้าที่ในการลงทุน และร่วมลงทุนกับธุรกิจที่สปินออฟออกมาตั้งบริษัท สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแปลว่าจะบริษัทลักษณะนี้มากขึ้นในระดับมหาวิทยาลัย และจุฬาฯจะไม่จำกัดที่ 9 บริษัทในเครือ CUE ที่กำลังผลักดันและอยากให้เป็น unicorn โดยอาจมีบริษัทอื่นที่มี Potential ในมหาวิทยาลัยแห่งอื่น

unicorn-startup

3C C ไหนสำคัญสุด?

ในมุมมองของ รศ.ดร.ณัฐชา สูตร 3C ไม่จำเป็นต้องเรียงกัน เนื่องจากทั้ง 3 ส่วนเป็นหลักไมล์ที่จะต้องข้ามไปเพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งอีกแง่คือการเป็นปัญหาที่ทำให้ธุรกิจขยายไม่ได้ เช่น ปัญหาเรื่องคุณภาพผู้ก่อตั้ง จึงจำเป็นต้องมี Coach คอยแนะนำ, ปัญหาการไม่มีเงินลงทุน ที่ทำให้ไม่มี Cash และปัญหาที่ 3 คือธุรกิจขยายไม่ได้เพราะขาด Connection

“ทั้ง 3C สำคัญหมด ขึ้นอยู่กับว่าพัฒนาการของสตาร์ตอัพตอนนั้นอยู่ในขั้นไหน แม้การสำรวจในสหรัฐฯจะพบว่า Connection สำคัญที่สุด เพราะจะนำไปสู่ Good coach และ Good cash แต่บางคนก็บอกว่า Coach สำคัญที่สุด เพราะถ้าเรามี Good coach แล้ว เราจะรู้วิธีการไปหาเงิน 

เราจะรู้วิธีการในการสร้าง Connection ก็แล้วแต่แต่ละขั้น แต่ละคนมี Pain Point  มีความต้องการไม่เหมือนกัน”

หนึ่งในบทสรุปจากการสนทนากับ รศ.ดร.ณัฐชา คือวันนี้ ประเทศไทยมีสัญญาณที่ดีมากเรื่องการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมสตาร์ตอัพไทยที่ก่อร่างฝ่าฟันมานานเป็น 10 ปีท่ามกลาง Ecosystem ที่ยังไม่พร้อม ความที่แต่ละคนที่ทำงานด้วยหยาดเหงื่อและต่อสู้อย่างที่สุด ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องชื่นชม แม้จะน่าสงสารมากก็ตาม

“ทุกคนทำด้วยความหวังทั้งนั้น หวังว่าประเทศไทยจะดีขึ้น หวังว่าเศรษฐกิจใหม่จะเกิดขึ้นจาก Innovation  แม้ระบบนิเวศจะไม่ดีเหมือนอเมริกา แต่ทุกคนก็ทำด้วยใจ แล้วก็สู้ และไม่ยอมแพ้” เพื่อให้เศรษฐกิจใหม่ เกิดขึ้นที่ประเทศไทยในที่สุด

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ถอดสูตรการลงทุนสไตล์ SeaX Ventures กับ “ศุภชัย ปาจริยานนท์”

“ดร.เอกอนงค์ จางบัว” เบื้องหลัง Food Innopolis และเส้นทางสู่ความสำเร็จ

“สมชัย สิทธิชัยศรีชาติ” แม่ทัพ “SiS” – IT distributor ไทย ที่ครองแชมป์ได้ยาวนาน 30 ปี

×

Share

ผู้เขียน