Share on
×

Share

โคจรย้อนรอยมนุษยชาติ [Book Review]

เชื่อว่าการเป็นนักบินอวกาศคือความใฝ่ฝันหนึ่งของเด็กๆ ในหลาย ๆ ประเทศ ที่อยากจะล่องลอยสนุกไปกับสภาพไร้น้ำหนัก ในอวกาศที่กว้างใหญ่นอกโลกของเรา 

Orbital นวนิยายเรื่องล่าสุดของ Samantha Harvey นักเขียนชาวอังกฤษทำให้เห็นภาพของชีวิตนักบินอวกาศอย่างชัดเจนในแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ตั้งแต่ช่วงเตรียมตัวจนถึงช่วงการใช้ชีวิตในยานอวกาศที่ไร้ซึ่งแรงโน้มถ่วง แต่ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้พิเศษขึ้นไปอีกคือปรัชญาว่าด้วยมนุษยชาติ จากวันที่โลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 4,000 ล้านปีก่อน จนเกิดสิ่งมีชีวิต ก่อนที่จะมีมนุษย์ ทุกวันนี้โลกก้าวหน้าไปมากทางวิชาการ แต่ปัญหาสิ่งแวดล้อมกลับทวีคูณและความรุนแรงก็เพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกันด้วยน้ำมือของมนุษย์

Orbital ไม่มีพล็อต เป็นการเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ ของชีวิตนักบินอวกาศ 6 คน (ชอน – สหรัฐ, เนลล์ – อังกฤษ, ชิเอะ – ญี่ปุ่น, ปิเอโตร – อิตาลี, แอนตัน และ โรมัน – รัสเซีย) ในช่วงการโคจรของยานอวกาศรอบโลก 16 รอบในเวลา 24 ชั่วโมง 

ในแต่ละรอบวงโคจรที่มีทั้งขึ้นลง อ้อมโลกไปทางตะวันออกและตะวันตก เมื่อนักบินอวกาศมองลงมาจากยานอวกาศ พวกเขาจะเห็นโลกเป็นสีฟ้าเมื่อโลกในส่วนนั้นอยู่ในช่วงเวลากลางวัน ประเทศต่าง ๆ ดูไม่มีความแตกต่าง เป็นแค่ผืนแผ่นดินที่ยืดยาวต่อ ๆ กันไป มีเกาะต่างๆในมหาสมุทรเป็นตัวเชื่อม พรมแดนประเทศ หรือสัญญาณของสิ่งมีชีวิตคือสิ่งที่มองไม่เห็น ถ้าไม่ได้ตามข่าวก็คงไม่รู้ว่าในบางประเทศกำลังมีการสู้รบกัน  ในช่วงเวลากลางคืน โลกส่วนนั้นจะกลายเป็นสีม่วง สิ่งที่เห็นถึงสัญญาณว่ามีสิ่งมีชีวิตคือไฟจากเมืองใหญ่ต่าง ๆ และไฟจากเรือประมงในน่านน้ำต่าง ๆ 

แต่บนยานอวกาศที่มีโมดูลเล็กๆ 17 โมดูลเชื่อมต่อกัน ทุกคนใช้ชีวิตแบบปลาซาร์ดีนโดยไม่รู้สึกว่ามีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ภาษามากั้น เพราะทุกคนมีงานที่ต้องทำและต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ที่สำคัญคือน้ำที่ทุกคนดื่ม อากาศที่ทุกคนหายใจ คือปัสสาวะและลมหายใจของคนอื่นๆ ที่ถูกรีไซเคิล แม้จะมีการแยกส่วนยานเป็นของนานาชาติและรัสเซีย แต่ทุกคนก็ใช้ชีวิตร่วมกันโดยเฉพาะการกินอาหารเย็นร่วมกัน และดูหนังร่วมกัน

ก่อนบิน พวกเขาได้ร่วมฝึกร่วมกัน ที่รวมถึงการเดินใต้ทะเล หรือการอยู่ในถ้ำมืดๆ แคบๆ เพื่อทดสอบความอดทนทั้งทางกายและใจ เพราะเมื่อขึ้นมาบนยานอวกาศ การสติแตกหรือเจ็บป่วยของ 1 คนหมายถึงอีก 2 คนต้องได้ตามกลับไปบนโลก เพื่อให้นักบินอวกาศ 3 คนชุดใหม่ได้ขึ้นมาประจำการ แม้แต่การตายของแม่ที่นำมาซึ่งความเศร้า ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกลับไปจัดงานศพได้

ตลอดเวลา 9 เดือนบนยานอวกาศ ที่อยู่เหนือโลก 250 ไมล์ และโคจรไปรอบๆด้วยความเร็ว 17,500 miles ต่อชั่วโมง ทุกๆ 90 นาที พวกเขาจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นในส่วนต่างๆของโลก จนรู้สึกเหมือนดวงอาทิตย์เป็นของเล่นที่ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดวัน

นักบินอวกาศทุกคนมีหน้าที่และตารางเวลาที่ชัดเจน ต้องตื่นกี่โมง นอนกี่โมง ทำความสะอาดซ่อมแซมยาน ทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เก็บขยะเพื่อส่งออกนอกยานซึ่งจะลุกไหม้เมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก ในระหว่างนั้นคือคอยถ่ายรูปสภาพอากาศเหนือท้องฟ้าส่งกลับมายังโลกเพื่อช่วยในการพยากรณ์การเกิดพายุ 

พวกเขาต้องออกกำลังกาย 2 ชั่วโมงต่อวันเพื่อรักษากล้ามเนื้อที่จะสูญสลายในสภาพไร้น้ำหนักและทำให้กลับมาใช้ชีวิตบนโลกที่มีแรงโน้มถ่วงได้อย่างยากลำบาก กินอาหารสำเร็จจากซอง 

ความสนุกของหนังสือเล่มนี้คือความรู้สึกของนักบินอวกาศต่อเรื่องต่างๆ ทั้งชีวิตของพวกเขาบนโลก มนุษย์คนอื่นๆบนโลก ความเชื่อทางศาสนา การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ความพยายามที่จะไปให้ถึงดาวอังคารหลังความสำเร็จของการลงจอดบนดวงจันทร์ในปี 1969 ที่สำคัญคือความรักต่อโลกและมนุษย์ทุกคน
ทุกเรื่องแฝงปรัชญาทางความคิดที่ทำให้เราต้องคิดตามไปด้วย

‘มันแปลกที่ความฝันทุกอย่างของคุณเกี่ยวกับการผจญภัย ความเป็นอิสระ และการค้นพบทำให้คุณอยากเป็นนักบินอวกาศ แล้วคุณก็ได้ขึ้นมาอยู่ตรงนี้ เพื่อมาพบว่าคุณเหมือนติดกับ ทุกวันต้องใช้ชีวิตในการเก็บของและเอาของออกมาใช้ ยุ่งกับหน่อต้นถั่วและหน่อต้นฝ้ายในแล็บ ไปไหนไม่ได้และในหัวก็คิดแต่เรื่องเดิมๆ วนๆ ไป’

‘พวกเราทุกคนที่นี่มีความสำคัญแต่ก็ไม่สำคัญไปพร้อมกัน มนุษยชาติประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่เพียงเพื่อจะพบว่าความสำเร็จนั้นไม่มีความหมายอะไร การที่จะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้คงเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ซึ่งมนุษย์เองก็ไม่ได้สำคัญอะไร เหมือนมีแผ่นเหล็กกั้นเราจากความว่างเปล่า เพราะความตายอยู่ใกล้เหลือเกิน’ 

‘โลกเป็นเหมือนใบหน้าของคนรัก พวกเขาจ้องมองโลกตื่นและหลับและดื่มด่ำไปกับสิ่งที่โลกทำ โลกเป็นเหมือนแม่ที่รอการกลับมาของลูก มีเรื่องให้กล่าวถึงมากมาย ทั้งเรื่องที่น่ายินดีและความปราถนาต่างๆ’ 

ในหนังสือเล่มนี้เนื้อหาอัดแน่นจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีแค่ 136 หน้า มีการผสมผสานเรื่องวิทยาศาสตร์และปรัชญาได้อย่างลงตัว ไม่แปลกใจเพราะผู้เขียนเรียนจบด้านปรัชญาและสอนการเขียนแบบสร้างสรรค์ จะไม่แปลกใจถ้าคอร์สการสอนของเธอจะมีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนจนเต็ม 

หนังสือเล่มนี้ได้รับการรีวิวในทางบวก และได้รับรางวัล The Booker Prize 2024 ที่ประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดย Samantha Harvey เป็นนักเขียนชาวอังกฤษคนเดียวที่อยู่ในรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกในรอบสุดท้ายเพื่อรางวัลนี้

รีวิวอื่น ๆ

Close to Death – ใกล้ความตาย [Book Review]

Dishonestly Yours เป็นของคุณอย่างไม่จริงใจ [Book Review]

The Storied Life of A.J. Fikry [Book Review]

×

Share

ผู้เขียน