Share on
×

Share

บทบาทประเทศไทยกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ พลังงาน และเทคโนโลยี AI ของโลก

โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป แต่ไทยยังเดินช้าไปหรือไม่? ในยุคที่เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พลังงานกลายเป็นปัจจัยสำคัญ และเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนทุกอุตสาหกรรม ประเทศไทยควรเร้งมือปรับตัวรับกับคลื่นเหล่านี้อย่างไร “NEW GLOBAL HORIZON : THRIVING IN AN UNKNOWN HORIZON” แนวคิดที่สะท้อนว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ในความไม่แน่นอนนั้นเต็มไปด้วยโอกาส ผู้ที่สามารถ ปรับตัว พัฒนา และลงทุนในอนาคต จะสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ ขณะที่ผู้ที่ยังคงติดอยู่กับแนวคิดเดิมอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ที่งาน FUTUREADY 2025 จะพาไปอัปเดตเรื่องราวเหล่านี้โดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแนวหน้า ปรเมธี วิมลศิริ ประธาน Macro – Socioeconomics Agenda BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) และ ที่ปรักษาอาวุโสด้าน Intelligence Management บริษัท แบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์ จำกัด, มนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง นายกสภาวิศวกร นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยและประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย จะมาเล่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและแนวทางการรับมือของประเทศไทยในภาคส่วนต่างๆ

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและผลกระทบที่ต้องจับตา

พลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้ปัจจัยที่ซับซ้อนจากทั้งภายในและภายนอกประเทศต่าง ๆ หนึ่งในประเด็นที่น่าจับตามองที่สุดคือการกลับมาของนโยบาย “ทรัมป์ 2.0” ที่มีแนวทางเน้นการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกลไกตลาดโลกและเศรษฐกิจของไทยในหลายมิติ

ปรมธี วิมลศิริ ประธาน Macro – Socioeconomics Agenda BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) และ ที่ปรักษาอาวุโสด้าน Intelligence Management บริษัท แบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์ จำกัด วิเคราะห์ว่า ผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่อเศรษฐกิจไทยมีหลายประการ อย่างแรกคือ การดึงการลงทุนจะกลับสู่สหรัฐฯ ผ่านมาตรการดึงดูดการลงทุน เช่น การลดอัตราภาษีนิติบุคคล และการส่งเสริมการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ สิ่งนี้อาจกระตุ้นให้นักลงทุนและบริษัทข้ามชาติย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนจากต่างประเทศของไทย

อีกหนึ่งมาตรการที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรงคือ การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางที่ทรัมป์เคยใช้ในการกดดันจีน และอาจขยายผลไปยังประเทศอื่น ๆ รวมถึงไทย การกำหนดกำแพงภาษีนำเข้าสูงขึ้นจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าประเภทอุตสาหกรรมเกษตรและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย ประกอบกับการสวนทางบนเวทีความมั่นคงและความปลอดภัยของทรัมป์ “America First” หรือการให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของประเทศตนเองมากกว่าการรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับโลก ซึ่งอาจทำให้บทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีความมั่นคงโลกเปลี่ยนแปลงไปไทยเองก็เช่นกัน

การปรับตัวของประเทศไทยในภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ประเทศไทยควรตั้งรับโดยการติดตามข่าวสาร โดยเฉพาะการบริหารความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และจีน ท่ามกลางการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และจีน ประเทศไทยต้องบริหารความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับทั้งสองมหาอำนาจอย่างสมดุล ภาครัฐต้องมีแผนกลยุทธ์ในการดีลกับมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

ขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาทางเลือกใหม่ ๆ ในการขยายตลาดการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ มากเกินไป จะส่งผลกระทบอย่างมากกับผู้ประกอบการในไทย ธุรกิจอาจต้องมีการพิจารณาปรับลดราคาหรือหาตลาดใหม่ ๆ เช่น ประเทศในเอเชียหรือยุโรปที่มีความต้องการสินค้าไทย การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าไทยผ่านนวัตกรรมและการพัฒนาแบรนด์อาจเป็นอีกแนวทางในการลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีผลกระทบจากโรคระบาด สงคราม AI หรือ นโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความท้าทายรอบด้านที่เข้ามาเหล่านี้ ยิ่งทำให้นโยบาลการคลังของประเทศไทยต้องมองสถานการณ์ในระยะยาว เพื่อวางแผนการคลังให้มั่นคงกับอนาคตมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แนวโน้มพลังงานโลก

นอกจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว ประเด็นร้อนแรงอย่างเรื่องพลังงานก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึง เนื่องจากผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์อีกเช่นเคย ที่มองแทบจะไม่มองเรื่องการรักษาพลังงานหรือเรื่องพลังงานสะอาดไว้เลย

มนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) มองว่า แนวทางการใช้พลังงานในอนาคตจะมุ่งสู่ “Circularity Energy” ซึ่งหมายถึงการบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการใช้งาน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในระหว่างปี 2024-2030 การลงทุนในพลังงานทุกประเภทคาดว่าจะสูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรองรับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

อย่างแรกแน่นอนว่า แนวทาง Circularity Energy ที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านกระบวนการรีไซเคิลและการใช้พลังงานหมุนเวียน พลังงานทางเลือกเหล่านี้เป็นโอกาสสำคัญที่หลายประเทศให้ความสำคัญ แต่ในขณะที่บางประเทศเร่งเดินหน้าสู่พลังงานสะอาด ประเทศอื่น ๆ ยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก นโยบายที่ไม่สอดคล้องกัน เหล่านี้อาจส่งผลต่อราคาพลังงานและการจัดสรรทรัพยากรของประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานอย่างไทย

อีกเรื่องที่ต้องตระหนักรู้คือ เทคโนโลยีที่ต้องใช้พลังงานสูงอย่าง AI และ Data Center กำลังเป็นปัจจัยที่เพิ่มการใช้พลังงานในระดับโลก ข้อมูลระบุว่าการใช้งาน AI อย่าง ChatGPT ใช้พลังงานมากกว่าการค้นหาบน Google ถึง 5 เท่า ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับปริมาณพลังงานที่ต้องใช้ในอนาคต

แม้ว่าประเทศไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับการนำเข้าก๊าซธรรมชาติได้ดี ไม่มีความเสี่ยงในการขาดแคลนไฟฟ้า แต่ปัญหาคือราคาพลังงานที่อาจสูงขึ้น กระทบต่อค่าครองชีพและต้นทุนภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากแหล่งพลังงานหลักของไทย ได้แก่ อ่าวไทย ประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมาและมาเลเซีย) ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำหรับการผลิตไฟฟ้ากว่า 70% มีแนวโน้มลดลง ทำให้ไทยต้องนำเข้าพลังงานเพิ่มขึ้นกว่า 40% และอัตราการนำเข้าก็ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นตามไปด้วย

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่เป็นบริษัทที่มีความสำคัญเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เราโฟกัสการปรับตัวเพื่อรับเปลี่ยนแปลงของโลกโดยเน้นเรื่องการพัฒนาคนเป็นหลัก เพราะเด็กรุ่นใหม่ที่จะเติบโตมาต้องการเทคโนโลยีที่จะส่งเสริมการทำงานของพวกเข้าให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด พลังงานก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้นได้ ดังนั้นการรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน และสร้างสมดุลระหว่างความต้องการพลังงาน ราคาที่เหมาะสม และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และการบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ไทยก้าวข้าวความท้าทายนี้ไปได้

สงคราม AI และการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

การแข่งขันด้าน AI จะเป็นตัวกำหนดชะตาของประเทศ เพราะการแข่งขันที่รุนแรงราวกับการเกิดสงครามระหว่าง AI ที่มาเขย่าโลก ประเทศไทยในฐานะประเทศที่มักจะรับเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากกว่าพัฒนาเอง จะต้องวางกลยุทธ์ที่จะสร้างโอกาสการอยู่รอดในสถานการณ์ร้อนระอุเช่นนี้ไปให้ได้

สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และนายกสภาวิศวกร แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่า สงคราม AI กำลังจะรุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย โลกกำลังถูกขับเคลื่อนโดยแนวคิด Megalomaniac Thinking หรือแนวคิดที่เชื่อว่าการทำสิ่งใหญ่ ๆ จะเป็นไปได้ และ AI ก็เป็นหนึ่งในตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

จากข่าวอีลอน มัสก์ ประกาศซื้อ NVIDIA เพื่อเปลี่ยนแปลงวงการ AI ซึ่งส่งผลให้ประเทศคู่แข่งอย่างจีนเร่งพัฒนา AI อย่างเต็มกำลัง ประเทศตะวันออกกลางก็เริ่มเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ประเทศไทยกลับยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีการผลักดันให้ก้าวทันกระแส AI อย่างจริงจัง เห็นได้จากเทคโนโลยีมาแรงอย่าง Deepseek ที่แข่งขันกับ Chat GPT อย่างดุเดือด

ศึกชิงจ้าว AI: DeepSeek vs. Stargate – 5 ล้านปะทะ 5 แสนล้านดอลลาร์

ไทยจะสามารถอยู่รอดในสงคราม AI ได้ก็ต่อเมื่อมีความตั้งใจและมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่มีคู่แข่งที่แท้จริง ทำให้ขาดแรงผลักดัน ความสำเร็จในการพัฒนา AI ส่วนใหญการแข่งขันที่เป็นไปได้จะมีอยู่ 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Hardware, Software และ People (บุคลากร)

ในส่วนของ Hardware ประเทศไทยยังไม่แข็งแกร่งในด้านนี้ การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์และชิป AI เป็นสิ่งที่ต้องการการลงทุนสูง ทางด้าน Software ประเทศไทยยังมีโอกาสในการพัฒนา แต่ต้องเร่งสร้างแพลตฟอร์มและระบบที่รองรับ AI ซึ่งก็เป็นความเป็นไปได้ยาก แต่ People คือปัจจัยสำคัญที่สุด คนคือหัวใจของ AI และเป็นหนทางเดียวที่ไทยจะสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

การพัฒนา AI ให้มีประสิทธิภาพต้องมาพร้อมกับการพัฒนาบุคลากรเพื่อทำงานร่วมกับเทคโนโลยี แนวคิด “Co-Intelligence” หรือการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI ประเทศไทยมีโอกาสในการสร้าง AI ที่สามารถนำไปใช้ในด้านต่างๆ เช่น การวิเคราะห์แนวโน้มการป้องกันโรคระบาดในสัตว์ หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถเป็นจุดแข็งของประเทศได้หากมีการสนับสนุนอย่างจริงจัง ภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมการพัฒนา AI ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาและโอกาสทางเทคโนโลยี เพื่อให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนา AI ได้อย่างทั่วถึงไทยต้อง “กระหายชัยชนะ” และสร้างแรงผลักดันในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี มากกว่าการเป็นผู้รับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ปฏิรูปแรงงานไทยสู่ “แรงงานแห่งอนาคต” ฝันเฟื่อง หรือ เรื่องจริง?

ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 วาระตลอดชาติ…

3 แนวโน้มโลกจากงาน WEF2025 ประเทศไทยต้องจับตา “AI ประชากร พลังงาน”

×

Share

ผู้เขียน