Share on
×

Share

ระบบอุปถัมภ์-ข้าราชการ กับดักสู่ปัญหาวิกฤติของชาติ

แม้ว่าเหตุการณ์ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) 30 ชั้นต้องพังครืนเป็นกองเศษซากปรักหักพังจะเป็นอุบัติภัยครั้งแรก ที่เกิดจากแผ่นดินไหวที่ต่อเนื่องมาจากแผ่นดินไหวที่เมือง มัณดาเลย์ พม่า

ตึกถล่มครั้งนี้สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ธุรกิจคอนโดฯที่ซบเซาพลอยโดนหางเลขจากความเชื่อมั่นที่ลดลง

กรณีตึกสตง.ถล่ม ทำให้นึกถึง เหตุการณ์ตึกโรยัลพลาซ่า โคราชถล่มเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ต้นเหตุมาจากการทุจริต ของเจ้าหน้าที่เทศบาลที่อนุมัติแบบก่อสร้างตึกไม่ตรงสเป็ค ขาดมาตรฐาน ไม่ได้หมายความว่าตึกสตง.ถล่มมีต้นเหตุเหมือนกัน เพียงแต่ตั้งข้อสังเกตุ ว่าตึกนี้เป็นตึกสร้างใหม่ โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการก่อสร้างของไทย ที่มีประสบการณ์การก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศมากมายร่วมกับ บริษัทยักษ์ใหญ่จากจีน การพังทลายง่าย ๆ ขณะที่ตึกกำลังก่อสร้างอยู่ใกล้ ๆไม่ได้รับความเสียหาย จึงตัดประเด็นทิ้งไม่ได้

เชื่อว่าหลังจากนี้คงมีการตั้งกรรมการตรวจสอบกันอย่างจริงจัง งานนี้คงไม่ใช่มวยล้มต้มคนดู เพราะสตง. คือ หน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินของหน่วยงานราชการ เป็นสัญญาลักษณ์ขององค์กรที่ต้องมีความโปร่งใส มิเช่นนั้นจะไม่มีใครเชื่อมั่น

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ประเทศไทยเคยเกิดวิกฤติจากภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ในห้วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เคยเกิดขึ้น มาแล้ว 2 ครั้ง

ครั้งแรกย้อนกลับไปในปี 2547 ในยุครัฐบาลไทยรักไทยที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยต้องเจอโศกนาฏกรรมจากคลื่นยักษ์สึนามิ มีผู้เสียชีวิต ทั้งหมดกว่า 5 พันคน สูญหายอีกกว่า 3 พันคน เป็นครั้งแรกที่ไทยต้องเผชิญกับมหาวิกฤติคลื่นยักษ์สึนามิ ทั้งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงไม่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการวิกฤติ

ดูเผิน ๆ อาจจะเห็นว่ารัฐบาลทำงานฉับไว แต่เนื้อแท้การทำงานก็ค่อนข้างมั่ว ไม่เป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการตรวจสอบอัตลักษณ์ผู้เสียชีวิต ที่มีปัญหาตามมามากมาย โดยเฉพาะชาวต่างประเทศที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ ผ่านมาแล้ว 20 ปีไม่แน่ใจว่าทุกวันนี้ ระบบเตือนภัยสึนามิยังมีสภาพสมบูรณ์แค่ไหน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีการซ้อมรับมือหากเกิดเหตุการณ์อีกหรือไม่

วิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ในยุครัฐบาลเพื่อไทยที่มี ”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่เริ่มจากโดยเฉพาะภาคกลาง และ กทม.น้ำท่วมหนักสุดในรอบหลายสิบปี ประชาชนรับผลกระทบกว่า 12 ล้านคนธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสียหายสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาทมีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 800 คน สาเหตุหลักมาจากการบริหารจัดการน้ำผิดพลาดของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การตัดสินใจและการจัดการ ผิดพลาดของรัฐบาล หลังเหตุการณ์มีความพยายามผลักดันเมกะโปรเจ็กต์ในการบริหารจัดการน้ำแต่ไม่สำเร็จ และมีการตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติขึ้นมา เพื่อให้การทำงานแบบบูรณาการ

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงประสบกับน้ำท่วม สร้างความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล่าสุด ในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ภาคเหนือ และภาคใต้โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย สร้างความเสียหายอย่างหนักกลายเป็นปัญหาซ้ำซากแก้ไม่ตก

กล่าวสำหรับกรณีตึกสตง.ถล่มเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นปัญหาก็คล้าย ๆ กับวิกฤติ 2 ครั้งแรก คือ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการวิกฤติ ทั้งในการจัดการระดับรัฐบาล และหน่วยงานราชการที่มีเกี่ยวข้องไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ทันสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการ ”สื่อสารยามวิกฤติ” ที่หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบมีปัญหาการประสานงานกันระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ( ปภ.) กับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่เป็นองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ดูแลการแจ้งเตือนระบบ SMS ที่มีขั้นตอนการปฏิบัติยุ่งยากซับซ้อนยิ่ง

ในส่วนของกสทช.ที่เป็นองค์กรอิสระ ที่ต้องผ่านกระบวนการอนุมัติจากประธาน ทั้งที่อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน การกระจายข้อมูลครั้งล่าสุดไม่เกิน 2 แสนรายชื่อ การไม่ใส่ใจต่อปัญหาของผู้มีอำนาจในกสทช. เพราะทุกคนมาด้วยระบบอุปถัมภ์จึงไม่รู้ร้อนรู้หนาว จึงเกิดปรากฏการณ์ ต่างฝ่ายต่างโยนกันไปโยนมาระหว่างกสทช. กับ ปภ.

ที่สำคัญกว่า คือ นอกจากการบริหารจัดการหลังวิกฤติของรัฐบาลและหน่วยงานรับผิดชอบที่ช้าอืดอาด บางกรณีก็โอเวอร์แอคชั่นเกินไป อย่าง กรณีที่สังหยุดเดินรถไฟฟ้า สนามบิน และทางด่วน ด้านหนึ่งอาจจำเป็นแต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักกับความเดือดร้อนประชาชนในวงกว้างและต้องอธิบายความจำเป็น และควรมีแผนรองรับเพื่อให้ประชาชน

ตรงข้ามกับการทำงานแบบมืออาชีพของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ โดยผู้ว่าฯชัชชาติ สิทธิพันธ์ ที่ถนัดในเรื่องการทำงานแบบประสานงานและการสื่อสารอีกทั้งมีความรู้ด้านวิศวกร มีทีมงานที่รู้มือกัน การบริหารจัดการจึงฉับไว ทั้งการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชน ด้วยภาษาง่าย ๆ ตรงไปตรงมา ตรงไหนไม่รู้ก็บอกไม่รู้ โดยยึดความปลอดภัยเป็นหลักทันที

หลังจากตึกถล่มทีมผู้ว่าฯ ตั้งวอร์รูมภายใน 30 นาที จัดทีมเข้าตรวจสอบอาคารต่าง ๆ รายงานให้ประชาชนรับทราบเป็นระยะ ๆ จัดเตรียมสวนสาธารณะบริการประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จนได้รับคำชื่นชมจากประชาชน ต่างจากรัฐบาลกลางและหน่วยงานราชการส่วนกลางที่เกี่ยวข้องที่มีแต่เสียงตำหนิในการทำงาน

การทำงานของกทม.แสดงให้เห็นว่ามีความคล่องตัวกว่ารัฐบาลที่ต้องพึ่งพาระบบราชการเป็นมือเป็นไม้

บทเรียนครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าการปกครองตัวเองแบบกทม. อาจจะเหมาะสมกับการบริหารจัดการวิกฤติมากกว่ารัฐบาลกลาง และหน่วยงานราชการที่อ้วนเทอะทะ

วิกฤติครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งที่เห็นทุกครั้งคือ การทำงานแบบมือสมัครเล่นของนักการเมือง ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบราชการไทย อยากเห็นนายกฯแพทองธาร สังคายานาระบบราชการจริง ๆ เพราะไม่คุ้มกับภาษีที่ประชาชนต้องจ่ายเป็นเงินเดือน และค่าดูงานต่างประเทศแต่ละปีเกือบ 50% ของจีดีพี. รวมถึงกล้าตัดสินใจยกเครื่ององค์กรอิสระที่มาจากระบบอุปถัมภ์ไม่มีจิตสำนึกโดยเฉพาะอย่างยิ่งบอร์ด กสทช. ทีมีปัญหามาโดยตลอด

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

‘อุยกูร์ เอฟเฟ็กต์’ หนักกว่าที่คิด 

เหรียญอีกด้านของปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5

แค่เลิกทุจริต จีดีพี. ก็เพิ่ม

×

Share