ในขณะที่ทั่วโลกกำลังมุ่งสู่ยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญ คำถามที่ท้าทายที่สุดไม่ใช่เรื่องการใช้งาน แต่คือการกำกับดูแล AIโดยไม่ปิดกั้นการพัฒนานวัตกรรม ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศที่เข้าร่วมการประชุม The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025 (GFEAI 2025) ณ กรุงเทพฯ เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จึงต่างให้ความสำคัญกับแนวคิด “AI Sandbox” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการร่างกฎหมาย AI ฉบับแรกของไทย
AI Sandbox เป็นมากกว่าพื้นที่ทดลองเทคโนโลยี เป็นกลไกที่เปิดให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้พัฒนาได้เรียนรู้ร่วมกัน เพื่อพัฒนากรอบการกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น ทันสมัย และเข้าใจเทคโนโลยีอย่างลึกซึ้ง หลายประเทศเห็นพ้องว่า การใช้ AI Sandbox จะเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้การร่างกฎหมาย AI ไม่ใช่เพียงเพื่อการควบคุม แต่เป็นการวางแนวทางที่ส่งเสริมนวัตกรรมโดยไม่ถูกจำกัด
ETDA ในฐานะหน่วยงานขับเคลื่อนธรรมาภิบาลดิจิทัล ได้นำเสนอแนวคิดและกรณีศึกษาของ AI Sandbox รวมถึงแนวทางการประยุกต์ใช้ในประเทศไทย เพื่อก้าวไปสู่การมี กฎหมาย AI ฉบับแรกที่เรียนรู้จากของจริง
AI Sandbox คืออะไร?
AI Sandbox คือกรอบการทำงานที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้พัฒนาสามารถทดสอบนวัตกรรมหรือ เทคโนโลยี AI ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอย่างใกล้ชิด โดยมีหน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาร่วมให้คำแนะนำและประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน หรือความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เป้าหมายหลักคือการส่งเสริมนวัตกรรมอย่างรับผิดชอบ ก่อนที่ AI จะถูกนำไปใช้จริงในตลาดหรือบริการ
หัวใจสำคัญของ AI Sandbox คือการเปิดพื้นที่ให้เกิดบทสนทนา (Regulatory Dialogue) ระหว่างผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานกำกับดูแล และผู้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกัน นำไปสู่การปรับปรุงกฎระเบียบให้ยืดหยุ่น ทันสมัย และตอบโจทย์ เทคโนโลยี AI ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่ส่งเสริมให้เกิดกลไก ธรรมาภิบาล AI โดยออกแบบกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น การประเมินความเสี่ยงเชิงจริยธรรม และกลไกติดตามประเมินผล ซึ่งช่วยให้ภาครัฐเรียนรู้ไปพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยี
ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI บนเวที GFEAI 2025 ต่างเห็นพ้องว่า สำหรับ SME และสตาร์ตอัw AI Sandbox เป็นโอกาสทองในการส่งนวัตกรรมเข้ามาทดสอบ แลกเปลี่ยนความรู้ และรับคำปรึกษาโดยตรงจากหน่วยงานกำกับดูแล ช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมายและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์ก่อนเข้าสู่ตลาด
กรณีศึกษาจากทั่วโลก: AI Sandbox มากกว่าการทดลอง
ข้อมูลจากเวที GFEAI 2025 เผยให้เห็นว่าหลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญกับ AI Sandbox ในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัย และเริ่มนำมาใช้อย่างจริงจังเพื่อการออกแบบกฎหมายหรือกำกับดูแล เทคโนโลยี AI อาทิ:
- สหภาพยุโรป (EU): กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องจัดตั้ง AI Sandbox ภายในปี 2026 เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมและสร้างความเข้าใจเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมาย AI Act
- สิงคโปร์: นำ AI Sandbox มาใช้ในบริบทเฉพาะทาง เช่น เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล โดยเน้นการสร้างคุณค่าให้กับภาคอุตสาหกรรม
- บราซิล: ประยุกต์ใช้ AI Sandbox กับบริการภาครัฐ เช่น ระบบยุติธรรม เพื่อสร้างความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
- สหราชอาณาจักร: ใช้ AI Sandbox ศึกษาผลกระทบของ AI ต่อตลาดแรงงาน
- รวันดาและมอริเชียส: ใช้ AI Sandbox ประเมินความพร้อมของรัฐก่อนนำ AI มาใช้ในบริการสาธารณะ
บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของ AI Sandbox คือ “การออกแบบกระบวนการให้มีธรรมาภิบาลตั้งแต่ต้น” เช่น การมีคณะกรรมการจริยธรรม AI และการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน
ประเทศไทยพร้อมรับ AI Sandbox แค่ไหน?
ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของไทยที่ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองบนเวที GFEAI 2025 สะท้อนภาพความท้าทายของประเทศกำลังพัฒนาที่ยังเผชิญข้อจำกัดด้านความพร้อมของหน่วยงานสนับสนุนและระบบนิเวศ AI โดยตั้งคำถามสำคัญว่า ประเทศไทยควร “รอให้พร้อม” แล้วค่อยเริ่ม AI Sandbox หรือควร “เริ่มต้นทันที”
หลายภาคส่วนเห็นพ้องว่า แม้ไทยอาจยังไม่พร้อมเต็มร้อย แต่ “การรอให้พร้อมอาจทำให้ตกขบวน” และ “ความไม่พร้อมด้านข้อมูลหรือกฎหมาย ไม่ควรมองว่าเป็นอุปสรรค แต่ควรมองว่าเป็นโอกาสออกแบบ Sandbox ที่สะท้อนบริบทไทย” ควรเริ่มต้น AI Sandbox ที่ออกแบบอย่างชัดเจน โดยมุ่งเน้น 3 ประเด็นสำคัญคือ กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ประเด็นที่ต้องการเรียนรู้ และเทคโนโลยีที่จะทดสอบ รวมถึงส่งเสริม “Community-led Sandbox” ที่เปิดให้บริษัทหรือชุมชนสร้างพื้นที่ทดลองของตนเอง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์โดยไม่ต้องรอภาครัฐ
นี่คือจุดยืนของไทยที่มองว่า “ความไม่พร้อม” ไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นโอกาสในการสร้างระบบกำกับดูแลที่ยืดหยุ่นและเติบโตไปพร้อมกับนวัตกรรม
(ร่าง) หลักการกฎหมาย AI ไทย ให้ความสำคัญกับ AI Sandbox
แม้ AI Sandbox ของไทยจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นแนวคิด แต่ประเทศไทยก็มีประสบการณ์จากการเปิดสนามทดสอบนวัตกรรม หรือ Innovation Sandbox มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการทดสอบนวัตกรรมและบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ในวงจำกัด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และกำหนดทิศทางของแนวปฏิบัติ มาตรฐาน และกฎหมายที่สอดคล้องกับการพัฒนานวัตกรรม
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้ “(ร่าง) หลักการของกฎหมายว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์” ฉบับแรกของประเทศ ได้ระบุถึงการขับเคลื่อนให้เกิด AI Sandbox ที่เป็นพื้นที่ทดลอง และร่วมกันคิดกฎเกณฑ์ในการกำกับดูแลที่เหมาะสมสำหรับ เทคโนโลยี AI เพื่อลดความเสี่ยงก่อนนำไปใช้จริง โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลหรือกลุ่มเปราะบาง นี่ถือเป็นแนวทางในการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดทิศทางการร่างกฎหมาย AI ของไทยในอนาคต
สำหรับประเทศไทย การผลักดัน AI Sandbox ไม่ใช่แค่การทดลองเทคโนโลยี แต่คือการวางรากฐานของ ระบบนิเวศ AI ที่มี ธรรมาภิบาล เปิดโอกาสให้รัฐ เอกชน นักพัฒนา และประชาชนมีส่วนร่วมเรียนรู้และร่วมกำหนดทิศทาง AI ของประเทศ ช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายเข้าใจเทคโนโลยีอย่างลึกซึ้ง มองเห็นโอกาสและความเสี่ยง นำไปสู่การพัฒนาร่าง กฎหมาย AI ที่มุ่งคุ้มครองผู้ใช้งานโดยไม่ปิดกั้นนวัตกรรม ภายใต้กฎกติกาใหม่ที่เป็นผลลัพธ์จากการ “ออกแบบร่วมกันของทุกฝ่าย” อย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
PRIMO เปิดตัว ‘ใบเตย’ Agentic AI บนระบบ Loyalty CRM เจ้าแรกในไทย
สรรพากร ผนึก สวทช. และกรุงไทย พัฒนา AI อัปเกรดบริการภาครัฐสู่ยุคดิจิทัล