จากยุคดอทคอมบูม สู่ฟองสบู่แตก ผ่านวิกฤติโควิด-19 จนเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ นี่คือเรื่องราว 25 ปีของ ReadyPlanet ที่เต็มไปด้วยบทเรียนล้ำค่าสำหรับนักธุรกิจและสตาร์ตอัพทุกคน เรื่องราวที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “ความมุ่งมั่นของ Founder คือหัวใจสำคัญที่สุดในการพาธุรกิจให้รอดพ้นจากทุกวิกฤติ”
ยุคที่ 1: บุกเบิกในห้องเก็บของ (ปี 2000)
เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1999 ท่ามกลางกระแสดอทคอมที่กำลังเฟื่องฟูสุดขีด ทรงยศ คันธมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของบริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) ชายหนุ่มผู้บริหารไอทีดีกรีวิศวะคอมพิวเตอร์ เขามีความรู้เรื่องระบบเครือข่ายและอินเทอร์เน็ตอย่างลึกซึ้ง แต่กลับมองดูคนอื่นที่ไม่ได้จบสายตรงสร้างธุรกิจดอทคอมอย่าง Sanook, Pantip หรือ Thaitown จนโด่งดังด้วยความทึ่ง จนกระทั่งประโยคที่ว่า “It’s not what you know, it’s how you use what you know” (ไม่ใช่ว่าคุณรู้อะไร แต่มันคือคุณใช้สิ่งที่รู้ได้อย่างไร) ได้จุดประกายให้เขากล้ากระโดดออกจากงานประจำที่มั่นคง ซึ่งมาพร้อมรถประจำตำแหน่งและทีมงานหลายคน เพื่อมาทำธุรกิจดอทคอมที่ยังมองไม่เห็นอนาคต
–เรดดี้แพลนเน็ต ตำนาน ‘เว็บสำเร็จรูป’ 22 ปี แห่งความท้าทาย สู่เส้นทางโตยั่งยืน
เขาเริ่มต้นธุรกิจในห้องเก็บของที่บ้าน โดยเปลี่ยนมันให้เป็นออฟฟิศแห่งแรก ที่มีเพียงโต๊ะทำงานที่ซื้อตอนแต่งงาน และสร้าง ReadyPlanet ขึ้นมาในฐานะผู้ให้บริการ “เว็บไซต์สำเร็จรูป” เจ้าแรก ๆ ของไทย ในยุคที่การมีเว็บไซต์เป็นเรื่องยากและต้องใช้ทักษะหลายด้าน เขาจึงพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ทำให้ใคร ๆ ก็สามารถมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้ง่าย ๆ โดยมีภรรยาเป็นเพื่อนคู่คิดคนสำคัญที่รับบทบาททั้ง CFO แอดมิน HR และช่วยขับรถขนของไปออกบูธด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นการ “Work from home” มาตั้งแต่ 25 ปีที่แล้ว
เขาตั้งราคาเริ่มต้นเพียง 1,500 บาทต่อปี และสามารถหาลูกค้าได้กว่า 1,000 รายในปีแรก ทำให้กระแสเงินสดดีพอที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจได้ท่ามกลางวิกฤติฟองสบู่ดอทคอมแตก ซึ่งในช่วงนั้นคำว่า “สตาร์ตอัพ” กลายเป็นคำแสลงที่ไม่มีใครอยากใช้ เขาจึงต้องเรียกตัวเองว่าเป็น “SME” เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ในช่วงเวลานั้น เขาต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตอนกลางวันเป็นเซลส์ ตอนบ่ายเป็น Customer Support ส่วนตอนกลางคืนก็กลับมาเป็นโปรแกรมเมอร์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไป เมื่อธุรกิจเริ่มโต เขาได้ชวนเพื่อนสนิทสมัย ม.1 (บุรินทร์ เกล็ดมณี) ที่ทำงานในตำแหน่งใหญ่โตที่เซเว่นอีเลฟเว่นมาร่วมบุกเบิกด้วยกัน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยผลักดันบริษัทมาจนถึงปัจจุบัน
–Readyplanet คว้ารางวัลชนะเลิศ การใช้ AI และแมชชีนเลิร์นนิง จาก Google
ยุคที่ 2: จับมือยักษ์ใหญ่และบทเรียนราคาแพง
เมื่อธุรกิจเติบโตจนมีฐานลูกค้า SME ในมือหลายพันราย ชื่อของ ReadyPlanet ก็เข้าไปเตะตาเหล่าเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก การได้รับเกียรติจาก Google ให้เป็นพาร์ตเนอร์รายแรก ๆ ในไทยทำให้บริษัท หลงตัวเองไปกับความสำเร็จ ช่วงเวลานั้นเป็นยุคทองที่ผู้ก่อตั้งบรรยายว่า “หัวบันไดออฟฟิศไม่เคยแห้ง” เพราะมีพาร์ตเนอร์ระดับโลกแวะเวียนมาเจรจาธุรกิจไม่ขาดสาย ทั้ง Baidu, Meta (Facebook) และ Alibaba ที่ผู้บริหารบินตรงมาจากเมืองจีนเพื่อเจรจาด้วยตัวเอง
ความสำเร็จนี้ผลักดันให้บริษัทขยายตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทีมงานเพิ่มจากหลักสิบเป็นเกือบ 200 คน มีการขยายออฟฟิศ และยังกล้าที่จะออกไปเปิดตลาดต่างประเทศที่พม่า โดยส่งทีมงานไปประจำและสร้างออฟฟิศที่ย่างกุ้ง นอกจากนี้ยังได้รับเงินลงทุนจากกองทุน VC ซึ่งนำไปสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยการเข้าซื้อกิจการ (M&A) อีก 2 บริษัท
แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วก็มาพร้อมกับ “กับดัก” ราคาแพงที่เรียกว่า Shiny Object Syndrome หรือการเห็นอะไรก็อยากทำไปหมด ทำให้บริษัทเริ่มทำธุรกิจในหลายสมรภูมิรบพร้อมกัน ผู้ก่อตั้งและทีมงานหลักเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง “ตัวจิ๋วลง” เพราะต้องทำงานหนักและเหนื่อยเกินไปจากการบริหารจัดการหลายแพลตฟอร์ม อีกทั้งการเป็นพาร์ตเนอร์กับยักษ์ใหญ่ก็ไม่ได้สวยหรูเสมอไป เพราะต้องแบกรับแรงกดดันจากเป้าหมายที่ต้องทำให้ได้ในแต่ละปี ต้องต่อสัญญา และต้องบริหารความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน มันคือบทเรียนราคาแพงที่ทำให้ตระหนักว่า การเอาอนาคตของบริษัทไปผูกไว้กับนโยบายของคนอื่นนั้นมีความเสี่ยงสูงเหมือนการ “เล่นรูเล็ต” ที่อาจพังครืนลงมาเมื่อไหร่ก็ได้
ยุคที่ 3: กลับสู่แก่นแท้ และวิกฤติที่กลายเป็น “โชคดี”
จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อผู้ก่อตั้งตระหนักว่าบริษัทกำลังหลงทาง พวกเขาตัดสินใจครั้งใหญ่ด้วยการ “ลด ละ เลิก” การเป็นพาร์ตเนอร์กับหลายเจ้า และหันกลับมาโฟกัสการพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองในชื่อ ReadyPlanet All-in-One Sales and Marketing Platform ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์แบบ SaaS (Software as a Service) ที่ครอบคลุม 3 ส่วนหลัก คือ 1) เครื่องมือสร้างและบริหารจัดการเว็บไซต์ 2) เครื่องมือโฆษณาออนไลน์ เช่น Dynamic Retargeting, Email และ SMS Marketing และ 3) ระบบบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM)
ทว่าในระหว่างที่เตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มานาน 3-4 ปี วิกฤติที่ไม่คาดฝันอย่าง โควิด-19 ก็ซัดเข้ามาอย่างจัง รายได้ของบริษัทที่เคยสูงถึง 256 ล้านบาทในปี 2019 ดิ่งลงเหวทันที รายได้หลักที่เป็นรีเบตจากพาร์ตเนอร์รายใหญ่ซึ่งเคยทำได้ปีละ 90 ล้านบาท หายวับไปเหลือเพียง 10 ล้านบาท ประกอบกับธุรกิจซอฟต์แวร์โรงแรมที่เพิ่งซื้อกิจการมามีรายได้กลายเป็นศูนย์ ส่งผลให้ผลประกอบการปี 2020 พลิกจากกำไรเป็น ขาดทุนสุทธิ 98 ล้านบาท
–ผู้บริหาร ReadyPlanet ปลื้ม ขาย IPO หมดเกลี้ยง เดินหน้าเทรด mai 22 ก.พ.นี้
แผนการเข้าตลาดที่เตรียมมาหลายปีพังทลายลง แต่แทนที่จะยอมแพ้ ผู้ก่อตั้งกลับมองว่านี่คือโอกาสที่จะได้ Reset ทุกอย่าง เขาปฏิเสธทางลัดที่อาจทำให้กลับมามีกำไรเร็ว ๆ แต่ไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาว และมุ่งมั่นปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนทีมเซลล์ทั้งหมดให้มาโฟกัสขายแพลตฟอร์มของตัวเอง และ ปรับราคาขายจากเดิมที่หลักพัน (ประมาณ 6,500 บาท) ไปสู่แพ็กเกจหลักหมื่น (30,000 บาท) จนถึงหลักแสนบาท เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมียมที่มีศักยภาพ
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงปีถัดมา บริษัทสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ 13.8 ล้านบาท และเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ MAI ได้สำเร็จในปี 2022 ก่อนจะเติบโตต่อเนื่องจนมีรายได้ 195 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 40.5 ล้านบาท (Net Profit Margin 21%) ในปีล่าสุด
บทเรียนสำคัญจากเส้นทาง 25 ปี

จากเส้นทาง 25 ปีนี้ สามารถสรุปบทเรียนสำคัญได้หลายประการ บทเรียนแรกมาจาก นิทานกบหูหนวก เรื่องเล่ามีอยู่ว่า หมู่บ้านแห่งหนึ่งได้จัดการแข่งขันให้กบหนุ่มสาวมาปีนเสาธงที่สูงและลื่น ผู้ชนะจะได้รับรางวัลใหญ่ กบหลายสิบตัวต่างเข้าร่วมแข่งขันอย่างคึกคัก แต่ขณะที่พวกมันปีนขึ้นไป เสียงจากฝูงชนข้างล่างก็ตะโกนบั่นทอนกำลังใจไม่หยุดว่า “ทำไม่ได้หรอก!” “เสามันสูงเกินไป เดี๋ยวก็ตกลงมา!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น กบส่วนใหญ่ก็เริ่มท้อใจและร่วงลงมาทีละตัว ๆ จนหมด เหลือเพียงกบตัวเดียวที่ยังคงปีนต่อไปอย่างมุ่งมั่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนในที่สุดมันก็ไปถึงยอดเสาได้สำเร็จ ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน เมื่อลงมาแล้วนักข่าวไปถามถึงเคล็ดลับความสำเร็จ กบตัวนั้นกลับทำหน้างง ๆ ก่อนจะเขียนตอบว่า “โทษที ผมหูหนวก”… มันไปถึงเป้าหมายได้เพราะมันไม่ได้ยินเสียงบั่นทอนเหล่านั้นเลย นิทานเรื่องนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของผู้นำธุรกิจ ที่ต้องมีความเชื่อมั่นในเป้าหมายของตนเอง และบางครั้งก็ต้อง “หูหนวก” ต่อเสียงวิจารณ์เชิงลบหรือคำสบประมาท เพื่อที่จะพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างไม่ไขว้เขว
บทเรียนต่อมาคือเรื่องราวของ สุนัขจิ้งจอกกับเม่น นิทานเรื่องนี้เปรียบเทียบสัตว์สองชนิด สุนัขจิ้งจอกนั้นเป็นสัตว์ที่สวยงาม ฉลาด มีความสามารถรอบด้าน หูตาไว และเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ในขณะที่คู่แข่งของมันอย่างเม่นนั้นดูไม่มีอะไรโดดเด่นเลย เป็นสัตว์ที่อ้วนเตี้ย เชื่องช้า และไม่สวยงาม แต่เม่นมีสิ่งเดียวที่พิเศษคือ “ขนที่แหลมคม” ในทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากัน สุนัขจิ้งจอกที่เก่งกาจกลับไม่สามารถเอาชนะเม่นได้เลย เพราะเมื่อใดที่มันเข้าใกล้ เม่นจะทำเพียงแค่ม้วนตัวและพองขนแหลมออกมาเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในการทำธุรกิจ เราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่างเหมือนสุนัขจิ้งจอก แต่เราต้องหาให้เจอว่า “ขนแหลม” หรือจุดแข็งหนึ่งเดียวที่ทรงพลังที่สุดของเราคืออะไร แล้วมุ่งเน้นพัฒนาสิ่งนั้นให้แข็งแกร่งจนไม่มีใครสู้ได้ แทนที่จะเปลี่ยนจุดแข็งไปเรื่อย ๆ
เมื่อรู้จักจุดแข็งของตัวเองแล้ว ก็ต้องรู้จัก เลือกสนามรบให้ถูก เพราะการทำตลาดกับลูกค้าองค์กร, ธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก หรือลูกค้ารายย่อยนั้น ใช้กลยุทธ์และทรัพยากรต่างกันโดยสิ้นเชิง
และบทเรียนสุดท้ายคือปรัชญาที่ว่า โชคดีหรือโชคร้าย…ใครจะรู้? ซึ่งมาจากเรื่องเล่าของชาวนาคนหนึ่งที่มีม้าแสนสวย เพื่อนบ้านต่างชมว่าเขา “โชคดี” แต่ชาวนากลับตอบว่า “โชคดีหรือโชคร้ายใครจะรู้” ต่อมาม้าตัวนั้นหนีเข้าป่าไป เพื่อนบ้านก็มาแสดงความเสียใจว่าเขา “โชคร้าย” เขาก็ตอบเช่นเดิม ไม่นานม้าตัวนั้นกลับมาพร้อมม้าป่าอีกนับสิบตัว เพื่อนบ้านก็กลับมาดีใจด้วย แต่แล้วลูกชายของชาวนาก็ตกหลังม้าป่าจนขาหัก เพื่อนบ้านก็มองว่าเป็น “โชคร้าย” อีกครั้ง จนกระทั่งเกิดสงคราม ทหารมาเกณฑ์ชายหนุ่มทุกคนในหมู่บ้านไปรบ มีเพียงลูกชายของชาวนาที่รอดพ้นเพราะขาหัก
–READY โชว์ผลกำไรนิวไฮ 9 เดือนแรกเกือบ 30 ล้าน รายได้กว่า 145 ล้านบาท
เรื่องเล่านี้สะท้อนมุมมองของผู้ก่อตั้ง ReadyPlanet ต่อวิกฤติโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี เพราะเหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็น “โชคร้าย” ที่สุด ที่ทำให้รายได้มหาศาลหายไปและบริษัทขาดทุนอย่างหนัก กลับกลายเป็น “โชคดี” ที่บังคับให้บริษัทต้องเลิกพึ่งพาพาร์ตเนอร์ และหันกลับมาสร้างความแข็งแกร่งจากแก่นแท้ของธุรกิจตัวเอง จนสามารถยืนหยัดได้อย่างยั่งยืนกว่าเดิม
จากห้องเก็บของสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มหากาพย์ 25 ปีของ ReadyPlanet สอนให้รู้ว่า ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่การเติบโตที่รวดเร็วที่สุด แต่คือการสร้างธุรกิจที่รอดพ้นได้ทุกวิกฤติ ด้วยการเดิมพันบนแก่นแท้ของตัวเอง ไม่ใช่โชคชะตาที่ฝากไว้กับพาร์ตเนอร์ และพิสูจน์ให้เห็นว่าในทุก “โชคร้าย” ย่อมมีเมล็ดพันธุ์แห่ง “โชคดี” ซ่อนอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่ไม่เคยหยุดเดิน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ถอดรหัสธุรกิจ SaaS ฉบับไทย: ‘ไผท ผดุงถิ่น’ กับวิวัฒนาการจากซอฟต์แวร์กล่องสู่โมเดลที่ยั่งยืน
กรณีศึกษา Wongnai POS: กลยุทธ์สร้าง SaaS ที่สตาร์ตอัพไทยต้องเรียนรู้