Share on
×

Share

AIS และ PJ Wood กับการขับเคลื่อนอนาคตดิจิทัลด้วย SAP และ AI ก้าวสู่ ‘องค์กรอัจฉริยะ’

ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีคลาวด์กลายเป็นหัวใจของการแข่งขันทางธุรกิจ องค์กรชั้นนำของประเทศไทยอย่าง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) และ บริษัท พีเจ ชลบุรี พาราวู้ด จำกัด (PJ Wood) ได้เลือกใช้โซลูชันจาก SAP เพื่อปฏิวัติการบริหารจัดการและขับเคลื่อนสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะที่พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต The Story Thailand สัมภาษณ์ มนตรี คงเครือพันธุ์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจด้านตรวจสอบภายใน AIS และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (CFO) และ แอนดรู เด เฮซูส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ PJ Wood และ กุลวิภา ปิยวัฒนเมธา กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอินโดจีนแห่ง SAP เพื่อถ่ายทอดมุมมองเกี่ยวกับการนำ SAP และ AI มาใช้ในการยกระดับธุรกิจและผลักดันประเทศไทยสู่ยุค Thailand 4.0

AIS บริหารจัดการธุรกรรมมหาศาลด้วย RISE with SAP

AIS ผู้นำด้านโทรคมนาคมของประเทศไทย มีลูกค้ามือถือกว่า 45 ล้านราย ลูกค้าบรอดแบนด์อีกกว่า 5 ล้านราย ความซับซ้อนของธุรกรรมประจำวัน เช่น การเติมเงิน จ่ายบิล ซื้อแพกเกจโรมมิ่ง ดูฟุตบอล หรือสมัครแพ็กเกจใหม่ ล้วนเกิดขึ้นนับล้านธุรกรรมจากทุกช่องทาง ในขณะที่สถานีฐานกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ ต่างก็ต้องการการบริหารจัดการที่แม่นยำและรวดเร็ว ทำให้ระบบเดิมของ AIS ไม่สามารถรองรับการเติบโตในอนาคตได้

“เรามีธุรกรรมจำนวนมหาศาลทุกวัน ตั้งแต่การเติมเงินไปจนถึงการจัดการอุปกรณ์ในสถานีฐาน ระบบเซิร์ฟเวอร์แบบ On-Premise เดิมถึงจุดที่รองรับไม่ได้ถ้าลูกค้าและผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น เราจึงเลือก RISE with SAP เพื่อสร้างระบบที่ยืดหยุ่นและพร้อมสำหรับอนาคต” มนตรีกล่าวเปิดประเด็นระหว่างการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา

RISE with SAP คือโซลูชันแบบ “One Offer – One Contract” ที่รวมทั้ง ERP (Enterprise Resource Planning) หรือ ระบบวางแผนทรัพยากรขององค์กร, Infrastructure และ Technical Services ไว้ในข้อเสนอเดียว ช่วยให้องค์กรเห็นข้อมูลธุรกิจแบบเรียลไทม์ ลดการทำงานซ้ำซ้อน และรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน

3 เสาหลักสู่การเป็น ‘องค์กรอัจฉริยะ’

AIS วางเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 3 ประการในการนำ RISE with SAP มาใช้ คือ

  1. Cost Effective (การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ) จากเดิมที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาระบบ On-Premise อย่างมหาศาล การย้ายสู่ระบบคลาวด์จะช่วยให้ AIS จ่ายเท่าที่ใช้ ลดการลงทุนใน Capacity ที่ไม่ได้ใช้งาน และสามารถปรับเพิ่มได้ตามความต้องการซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในระยะยาวได้
  2. Speed (ความเร็วในการดำเนินงาน)การทำงานบนคลาวด์จะช่วยให้การประมวลผลข้อมูลจำนวนมากเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่พร้อมใช้งานทันที ต่างจากในอดีตที่การขอรายงานแต่ละครั้งต้องใช้เวลากว่า 15 วัน ซึ่งไม่ทันต่อสถานการณ์การแข่งขันในปัจจุบัน
  3. Future (ความยืดหยุ่นเพื่ออนาคต) การมีแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI และ Automation ที่จะเข้ามามีบทบาทในอนาคต การเป็นพันธมิตรกับ SAP ในการนำ RISE มาใช้จะช่วยให้ AIS มีความพร้อมในการปรับตัวและสร้างสรรค์นวัตกรรม

กลยุทธ์ ‘012’ สู่เป้าหมาย

การนำ RISE with SAP มาใช้ไม่ใช่เรื่องง่าย  AIS เริ่มโครงการนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่เผชิญความล้มเหลวในช่วง 2 ปีแรก เนื่องจากความซับซ้อนของระบบและกระบวนการตัดสินใจที่ไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม AIS ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวและปรับปรุงแนวทางใหม่ด้วยกลยุทธ์ “012” นั่นคือ

  • 0 (Zero Customization) นโยบายไม่ปรับแต่งระบบ SAP เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของโซลูชันและลดความซับซ้อน

“AIS ตระหนักดีว่า SAP ได้ลงทุนมหาศาลในการวิจัยและพัฒนาระบบ การที่เราจะไปปรับแต่งทุกอย่างเพื่อให้ตรงกับความต้องการของเรานั้นไม่ถูกต้อง” มนตรีกล่าว

  • 1 (Single Command) การตัดสินใจทั้งหมดต้องผ่านผู้อนุมัติเพียงคนเดียว เพื่อป้องกันความล่าช้าและความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของหลายฝ่าย
  • 2 (Collaboration between IT and Business) การใช้งาน ERP ไม่ใช่แค่เรื่องของฝ่ายไอทีหรือฝ่ายธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่าง CIO (Chief Information Officer) และ CFO เพื่อให้มั่นใจว่าระบบตอบโจทย์ทั้งด้านเทคนิคและกลยุทธ์ธุรกิจ

ด้วยกลยุทธ์นี้ AIS สามารถ Go Live หรือนำระบบมาใช้จริงได้สำเร็จเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือความสามารถในการมองเห็น (Visibility) สต็อกสินค้าและบริหารจัดการสต็อกแบบเรียลไทม์  

“ในอดีต ถ้าลูกค้ามาที่ร้านแล้วไม่มีมือถือรุ่นนั้นสีนั้น เราไม่สามารถบอกได้ว่ามีของที่ร้านไหน แต่ตอนนี้เราสามารถบอกได้ทันที และสามารถจองสต็อกข้ามสาขาได้ทันที ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า” มนตรีกล่าว

ความพึงพอใจลูกค้าสำคัญกว่าตัวเลข

มนตรีบอกว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุตัวเลขที่ชัดเจนเรื่องการประหยัดต้นทุนได้ แต่ AIS เชื่อมั่นว่า Qualitative Measure สำคัญกว่า

“เราทำเพื่อให้บริการดีขึ้น ตอบสนองลูกค้าเร็วขึ้น มีข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงลึกได้เร็วขึ้น เราไม่ได้วัดแค่ตัวเลข แต่เราวัดว่าลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นหรือไม่ นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริงของเรา”

การขับเคลื่อนอนาคตด้วย AI

RISE with SAP ยังปูทางให้ AIS สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ได้อย่างเต็มที่ มนตรีเล่าถึงการใช้ AI ในปัจจุบันของ AIS เช่น การฝึก AI ใน Call Center ให้สามารถสื่อสารเหมือนมนุษย์และเสนอแพ็กเกจที่เหมาะสมให้ลูกค้า รวมถึงการใช้ AI ในการวิเคราะห์การใช้พลังงานของเสาสัญญาณเพื่อลดค่าใช้จ่าย

AIS ยังคาดหวังกับ SAP Joule ซึ่งเป็น AI Copilot ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือพนักงานในทุกแอปพลิเคชันคลาวด์ และทำให้กระบวนการทำงานซับซ้อนเป็นไปโดยอัตโนมัติ

“ผมอยากให้การใช้ SAP ใช้ง่าย ใช้คล่อง โดยที่ไม่จำเป็นต้องฝึกอบรมคนให้เข้ามาใช้งานใน SAP นั่นหมายความว่าเราจะใช้งานอะไร เราก็แค่ ‘Ask Joule’ หรือใช้ Voice Command โดยไม่ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานใหม่ ซึ่งจะช่วยลดทรัพยากรและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน” มนตรีกล่าว

เมื่อพูดถึงผลกระทบของ AI ต่อพนักงาน มนตรีเน้นว่า AIS ในฐานะ Tech Company มีแนวทางที่ชัดเจนในการยอมรับและปรับตัวต่อเทคโนโลยี

“AI ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์ แต่ช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พนักงานของเรายังคงต้องให้คำสั่งหรือ Prompt กับ AI เพราะฉะนั้นเรามุ่งเน้นการพัฒนาทักษะ AI Literacy ผ่าน AIS Academy”

AIS ได้จัดตั้ง AIS Academy เพื่อฝึกอบรมพนักงานในเรื่อง AI และวัดผลผ่าน Pre-Assessment และ Post-Assessment เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง มนตรีประเมินว่า พนักงานกว่า 80-90% มีความรู้และทักษะด้าน AI ในระดับที่น่าพอใจ

PJ Wood แก้ไขคอขวดเพื่อการเติบโตระดับโลก

ในขณะที่ AIS มุ่งเน้นการบริหารจัดการธุรกรรมมหาศาล PJ Wood ผู้นำด้านการส่งออกสินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์จากไม้ยางพาราเผชิญความท้าทายที่แตกต่างออกไป แอนดรู จาก PJ Wood  เล่าว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัทตั้งแต่ปี  2553 ซึ่งครอบคลุมร้านค้าปลีกกว่า 20,000 แห่ง ใน 20 ประเทศ ทำให้ระบบ ERP เดิมกลายเป็นคอขวด

“ระบบเดิมทำให้การอัปเดตต้องใช้โปรแกรมเมอร์เฉพาะ นอกจากนี้ข้อมูลในระบบยังขาดความน่าเชื่อถือ ทีมงานเสียเวลาในที่ประชุมไปกับการถกเถียงว่าข้อมูลถูกต้องหรือไม่ แทนที่จะแก้ปัญหาที่รากเหง้า” แอนดรูกล่าว

PJ Wood จึงเลือกใช้ SAP เพื่อแก้ไขปัญหาและรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยนำโซลูชัน GROW with SAP ที่ช่วยสนับสนุนองค์กรในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลโดยการยกระดับระบบ ERP ที่ทำงานบนคลาวด์มาใช้งานจริงตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 โดยมีทีม SAP ในกรุงเทพฯ และพันธมิตรอย่าง Nexus ช่วยปรับโซลูชันให้เข้ากับกระบวนการทางธุรกิจของ PJ Wood โดยไม่ต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานเดิม

PJ Wood วางเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ไว้  3 ประการ คือ

  1. ความเร็ว (Speed) เพื่อลดเวลาในกระบวนการตัดสินใจและการตอบสนองลูกค้า
  2. แหล่งข้อมูลเดียว (Single Source of Truth) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูล
  3. รากฐานสำหรับ AI เตรียมข้อมูลเพื่อรองรับการนำ AI มาใช้

ลดเวลา-ลดต้นทุน-เพิ่มความคล่องตัว

หลังการใช้ SAP  PJ Wood เริ่มเห็นผลลัพธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมชัดเจน

ผลลัพธ์ทางตรง เช่น สามารถปิดงบการเงินเร็วขึ้น 10 วัน  ลดรอบเวลา Work-in-Process จาก 9 วันเหลือ 7 วัน ระยะเวลาในการเสนอราคาให้ลูกค้า จากเดิมใช้เวลา 14–15 วัน เหลือเพียง 1–3 วัน และสามารถประหยัดต้นทุนวัตถุดิบตรงได้ 5% ซึ่งวัตถุดิบตรงคิดเป็น 60–70% ของต้นทุนรวมของบริษัท

ส่วนผลลัพธ์ทางอ้อม อาทิพนักงานรู้สึกมีคุณค่าและมีเวลาโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่า เพราะระบบช่วยลดงานซ้ำซ้อน ผู้นำและทีมงานสามารถตัดสินใจได้เองจากข้อมูลที่โปร่งใสและตรงกัน วัฒนธรรมองค์กรเปลี่ยนจาก “ยึดตามกระบวนการ” มาเป็น “ยึดตามผลลัพธ์”

“SAP ช่วยให้ทีมงานไม่ต้องทำงานด้วยมือ ทำให้สามารถมุ่งเน้นงานที่มีคุณค่า และทุกคนมีข้อมูลเดียวกันในการตัดสินใจ ซึ่งทำให้ทีมรู้สึกมีส่วนร่วมและมีความสุขมากขึ้น” แอนดรูกล่าว

และเมื่อคำถามสุดท้ายถูกโยนไปถึงเรื่อง “นวัตกรรม” คำตอบของแอนดรูตอกย้ำว่าระบบหลังบ้านที่ดีคือจุดเริ่มต้นของการคิดนอกกรอบ

“SAP ช่วยให้เรามองเห็นทั้งจุดเล็กอย่างการลดต้นทุนสี ไปจนถึงจุดใหญ่ เช่น โครงสร้างราคาสินค้าในระดับสากล มันคือเครื่องมือที่ทำให้บริษัทสามารถพัฒนาได้เหนือคู่แข่ง”

SAP ชี้ไทยเผชิญ 3 ความท้าทาย

ด้านกุลวิภา จาก SAP เผยถึงภาพรวมการตื่นตัวในการนำ AI มาใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Deloitte ที่ระบุว่า 43% ของพนักงานในอาเซียนใช้ Generative AI ในการทำงาน ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของการนำ AI มาต่อยอดในภาคธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย ยังมี 3 ความท้าทายสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข เพื่อผลักดันให้ธุรกิจไทยก้าวสู่ยุค Industry 4.0 ได้อย่างเต็มศักยภาพ

กุลวิภากล่าวว่า แม้ความตื่นตัวในการใช้ AI จะสูง แต่การนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทธุรกิจให้ประสบความสำเร็จยังคงเป็นความท้าทาย โดยมีปัจจัยหลัก 3 ประการ

ประการแรก ทักษะดิจิทัลที่ประยุกต์ใช้กับธุรกิจการใช้ AI ไม่ใช่แค่การใช้งานเครื่องมือทั่วไป แต่ต้องมีความเข้าใจในบริบททางธุรกิจและความน่าเชื่อถือของข้อมูล SAP ในฐานะผู้ให้บริการยังคงต้องให้ความรู้และสร้างทักษะที่ถูกต้องให้กับตลาดอย่างต่อเนื่อง

ประการที่ 2 ข้อจำกัดของเทคโนโลยีและการจัดการข้อมูล  AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น และไม่ได้มาแทนที่คนทั้งหมด แต่สามารถแทนที่งานบางอย่างได้ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

“AI ที่ดีต้องมีการฝึกฝนข้อมูล (Train Data) มีการเชื่อมต่อ (Connectivity) และบูรณาการข้อมูลทั้งหมด (Integrated Data) รวมถึงกระบวนการทางธุรกิจเข้าด้วยกัน หากเลือกใช้เทคโนโลยีแบบแยกส่วน (Silo) จะทำให้การดำเนินงานช้าลงและไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร” กุลวิภากล่าว

ประการสุดท้าย การสนับสนุนจากภาครัฐสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การทำ Digitalization และการนำ AI มาใช้ต้องใช้เงินลงทุนสูง โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ SMEs ซึ่งยังต้องการการสนับสนุนด้านเงินทุนอย่างต่อเนื่อง

กุลวิภากล่าวว่า SAP มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เพื่อผลักดันให้เกิด Framework สำหรับบริษัทผู้ผลิตที่ต้องการนำ AI มาใช้ในบริบทของ Thailand 4.0

“สถิติที่เก็บโดย TDRI ในระหว่างการวิจัยเพื่อทำสมุดปกขาวว่าด้วยการประยุกต์ใช้ AI ในภาคธุรกิจ พบว่า  ปัจจุบันมีผู้ผลิตไทยเพียง 2% เท่านั้นที่เปลี่ยนผ่านสู่ Industry 4.0 ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสในการเติบโตอย่างมหาศาล” กุลวิภากล่าวสรุป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

กรณีศึกษา Wongnai POS: กลยุทธ์สร้าง SaaS ที่สตาร์ตอัพไทยต้องเรียนรู้

SAP เผยกลยุทธ์ ‘Suite First, AI First, Ecosystem’ ดันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นแท่นผู้นำ AI โลก

×

Share

ผู้เขียน