วันที่ 23 มกราคม 2567 อาจเป็นวันที่ใครหลายคนเฉลิมฉลองให้กับประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศไทย เมื่อกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” มีผลบังคับใช้ แต่สำหรับ ศิริวรรณ พรอินทร์ เจ้าหน้าที่ประจำโปรแกรม Feminist Human Rights and Digital Rights Education มูลนิธิสร้างสรรค์อนาคตเยาวชน และในฐานะบุตรของครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศ ชัยชนะครั้งนี้เป็นเพียงก้าวแรกของการเดินทางที่ยังอีกยาวไกล จากประสบการณ์ตรงที่ต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรมมาตั้งแต่เด็ก เธอได้ขึ้นเวทีในงาน Sustrends 2025 Year of Volunteers ที่จัดโดย The Cloud ในหัวข้อ “ก้าวต่อไปของไทยหลังมีสมรสเท่าเทียม” เพื่อส่งเสียงสะท้อนถึงช่องว่างที่ยังคงดำรงอยู่ และเรียกร้องให้สังคมร่วมกันขับเคลื่อนสู่ความเท่าเทียมอย่างแท้จริงในทุกมิติ
จากความเจ็บปวดส่วนตัวสู่พลังขับเคลื่อนสังคม
ศิริวรรณ เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นการต่อสู้ของเธอว่าเกิดขึ้นเมื่ออายุเพียง 12 ปี เมื่อตระหนักว่าครอบครัวของเธอ ซึ่งมีแม่สองคน ไม่ได้รับการยอมรับและคุ้มครองตามกฎหมาย การไม่มีสถานะทางกฎหมายที่ชัดเจนนี้ได้สร้างอุปสรรคมากมายในชีวิต ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานอย่างการทำพาสปอร์ตให้ลูกไปจนถึงการทำประกันชีวิตที่แม่ไม่สามารถเซ็นเอกสารยินยอมให้กันได้ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยและความไม่เป็นธรรมเหล่านี้หล่อหลอมให้เธอเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง
ประสบการณ์ในวัยเด็กได้ผลักดันให้ศิริวรรณก้าวเข้าสู่เส้นทางนักกิจกรรมตั้งแต่อายุ 17 ปี โดยเริ่มจากการเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิสร้างสรรค์อนาคตเยาวชน ที่นี่เองที่เธอได้เรียนรู้ว่าการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนที่ทรงพลังที่สุดไม่ได้มาจากเพียงหลักการในตำรา แต่เกิดจากการตกผลึกประสบการณ์ของผู้ที่ถูกกดขี่โดยตรง มูลนิธิฯ ได้ใช้แนวคิดสตรีนิยม (Feminism) และหลักสิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้และพื้นที่ปลอดภัยให้กับกลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้หญิง ผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือแม้แต่ชนเผ่าพื้นเมือง เพื่อให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนประสบการณ์ความเจ็บปวดให้กลายเป็นพลังในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเองและผู้อื่น
สมรสเท่าเทียม: ชัยชนะที่ยังไม่สมบูรณ์
แม้การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเป็นหมุดหมายสำคัญที่สร้างความยินดีให้กับครอบครัวของเธอและคู่รักเพศหลากหลายอีกนับไม่ถ้วน แต่ศิริวรรณชี้ให้เห็นว่าในรายละเอียดของตัวบทกฎหมายยังคงมีช่องว่างสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน
- สถานะ “บุพการีลำดับที่ 1” ที่ยังไม่ถูกยอมรับ: ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับครอบครัวเพศหลากหลายคือ กฎหมายยังไม่ยอมรับสถานะของผู้ปกครองที่ไม่ใช่พ่อแม่ทางสายเลือดอย่างสมบูรณ์ ทำให้ “แม่” หรือ “พ่อ” ที่เลี้ยงดูบุตรมาทั้งชีวิตไม่มีสิทธิ์ตามกฎหมายทัดเทียมกับผู้ให้กำเนิด ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่าง ๆ ในชีวิตของลูก
- สิทธิในมรดกที่ไม่เป็นธรรม: ช่องว่างทางกฎหมายนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงสิทธิในการรับมรดก ในกรณีที่บุตรเสียชีวิตโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม มรดกจะตกเป็นของพ่อแม่ทางสายเลือด แม้ว่าในความเป็นจริงพวกเขาอาจไม่ได้มีส่วนในการเลี้ยงดูบุตรคนนั้นเลยก็ตาม สิ่งนี้สร้างความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งต่อผู้ปกครองที่ทุ่มเทดูแลมาโดยตลอด
- การเข้าถึงเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์: ปัจจุบัน คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศยังคงถูกจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงบริการช่วยตั้งครรภ์ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นการปิดกั้นโอกาสในการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ ศิริวรรณและนักเคลื่อนไหวจึงเรียกร้องให้มีการแก้ไข พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิ์ในการสร้างครอบครัวอย่างเท่าเทียม
การต่อสู้เพื่อสิทธิที่ครอบคลุมทุกคน
ศิริวรรณย้ำว่า การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องการสมรส แต่ยังครอบคลุมถึงมิติอื่นๆ ที่ชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIAN+) ยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนคำนำหน้านาม สำหรับบุคคลข้ามเพศ (Transgender) และนอนไบนารี (Non-binary) หรืออัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลที่ไม่ได้ระบุว่าตนเองเป็นเพศชายหรือเพศหญิงตามกรอบแนวคิดแบบทวิเพศเพื่อให้เอกลักษณ์ทางเพศของพวกเขาสอดคล้องกับตัวตน การผลักดันให้การเข้าถึงฮอร์โมนเป็นสวัสดิการของรัฐ เพื่อให้คนข้ามเพศสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่จำเป็นได้ การสร้างโรงเรียนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย ที่ปราศจากการบูลลี่และการใช้ความรุนแรงต่อนักเรียนที่มีความหลากหลายทางเพศ และการจัดหาผ้าอนามัยเป็นสวัสดิการเพื่อสุขอนามัยของผู้หญิงและบุคคลที่มีมดลูกทุกคน
ท้ายที่สุด ศิริวรรณได้ส่งสารถึงทุกคนในสังคมว่า การต่อสู้เพื่อสิทธิของ LGBTQIAN+ ไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของคนทุกคน เพราะความเป็นธรรมในสังคมนั้นเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว การขับเคลื่อนเพื่อสิทธิของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศนั้นแยกไม่ออกจากการต่อสู้เพื่อสิทธิเด็ก สิทธิผู้หญิง สิทธิชนเผ่าพื้นเมือง การรักษาสิ่งแวดล้อม และประชาธิปไตย
“เราเชื่อมั่นในหลักการของสิทธิมนุษยชน เราเชื่อมั่นว่าสังคมของเราจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงและความเป็นธรรมทางเพศให้เกิดขึ้นได้ในสังคมไทย” ศิริวรรณ กล่าวทิ้งท้ายด้วยความหวัง พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐ ภาคประชาสังคม หรือประชาชนทั่วไป ร่วมกันเป็นพลังในการเติมเต็มช่องว่างที่ยังขาดหายไป เพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรมสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สวนทางยุค Pet Parent? เปิดวิกฤติคุณภาพชีวิตสัตวแพทย์ไทย ที่สังคมต้องรู้
แฉกลโกง ‘หลอกลงทุน-บัญชีม้า’ แนะวิธีเช็กก่อนโอน