ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานทั่วโลก คำถามสำคัญที่ดังก้องอยู่ในสังคมไทยวันนี้ ไม่ใช่แค่ “เราจะเปลี่ยนไปสู่พลังงานสะอาดหรือไม่” แต่เป็น “เราจะเปลี่ยนผ่านอย่างไรให้ยุติธรรมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาขยายความโดย สฤณี อาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ป่าสาละ จำกัด ในเวทีเสวนาหัวข้อ “Unlocking Energy for All ปลดล็อกพลังงานเพื่อทุกคน” ในงาน Sustrends 2025 Year of Volunteers จัดโดย The Cloud
เพราะหากปราศจากคำว่า “ยุติธรรม” การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนผ่านแต่เปลือกนอก ที่เราอาจทำได้แค่ไป “โม้กับต่างชาติ” ว่ามีสัดส่วนพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น แต่โครงสร้างอำนาจและผลประโยชน์ยังคงกระจุกตัวอยู่ที่รัฐและเอกชนรายใหญ่หน้าเดิม
นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ต้องอาศัยการ “ปลดล็อก” ครั้งสำคัญใน 3 มิติ เพื่อมุ่งหน้าสู่ “ประชาธิปไตยพลังงาน” ที่ประชาชนเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
ปลดล็อกที่ 1: ทลายกำแพงทัศนคติ (Mindset) ที่ฉุดรั้ง
เราต่างคุ้นชินกับโลกของเชื้อเพลิงฟอสซิลมานานกว่าครึ่งศตวรรษ กรอบคิดของเราจึงถูกหล่อหลอมให้เชื่อในมายาคติเก่า ๆ ที่จำเป็นต้องถูกท้าทาย
มายาคติที่หนึ่ง: “พลังงานหมุนเวียนไม่มั่นคง” ความเชื่อนี้ถูกหักล้างด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์จากทั่วโลก องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ยืนยันในรายงาน “Net Zero by 2050” ว่า หากโลกต้องการบรรลุเป้าหมาย Net Zero การผลิตไฟฟ้าจะต้องมาจากลมและแสงอาทิตย์ถึง 70% ภายในปี 2050 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นแหล่งพลังงานหลักที่สร้างความมั่นคงได้
ยิ่งไปกว่านั้น หลายประเทศได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเปลี่ยนผ่านอย่างก้าวกระโดดนั้นเป็นไปได้จริง ไม่ว่าจะเป็นเดนมาร์กที่เพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากลมและแสงอาทิตย์จาก 20% เป็น 51% ลิทัวเนียที่เพิ่มจาก 14% เป็น 43% ชิลีที่เพิ่มจาก 10% เป็น 28% หรือแม้แต่ปาเลสไตน์ที่อยู่ในสภาวะสงครามก็ยังสามารถเพิ่มจาก 2% เป็น 22% โดยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียง 5 ปี คำถามที่น่าคิดคือหากประเทศที่เผชิญสงครามยังทำได้ แล้วประเทศไทยที่มีทรัพยากรเหลือเฟือ ทำไมจะทำไม่ได้?
มายาคติที่สอง: ประชาชนและชุมชนจัดการพลังงานเองไม่ได้ นี่คืออีกหนึ่งความเชื่อที่สวนทางกับความเป็นจริงของโลกปัจจุบัน ปากีสถาน คือตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจ เมื่อปรากฏการณ์สงครามราคาทำให้แผงโซลาร์เซลล์ราคาถูกจากจีนทะลักเข้าประเทศ ประชาชนทั้งในเมืองและชนบทต่างลุกขึ้นมาติดตั้งแผงโซลาร์ด้วยตนเอง เกษตรกรรวมกลุ่มลงทุนและสร้างระบบบริหารจัดการพลังงานกันเองในชุมชนเพื่อรับมือกับระบบไฟฟ้าของรัฐที่ไม่เสถียร นี่คือการสร้างประชาธิปไตยจากฐานรากที่ขับเคลื่อนด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจล้วน ๆ
สำหรับประเทศไทย ศักยภาพระดับท้องถิ่นนั้นมีอยู่มหาศาล จังหวัดกระบี่ อุดมด้วยชีวมวลจากปาล์มและยางพารา และมีภาคการท่องเที่ยวที่ต้องการพลังงานสะอาดเพื่อยกระดับเป็นแหล่งท่องเที่ยวสีเขียว หรือจังหวัดสระบุรี ที่เป็นหัวใจของภาคอุตสาหกรรมซีเมนต์ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นเมือง Net Zero และมีโครงการเรือธงอย่าง Sandbox รองรับ แต่ความฝันของทั้งสองจังหวัดกลับต้องสะดุด เพราะติดกับดักของระบบพลังงานชาติที่รวมศูนย์และขาดความยืดหยุ่น
ปลดล็อกที่ 2: โอบรับเทคโนโลยีแห่งการกระจายศูนย์
การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม คือกุญแจสำคัญที่จะทำลายข้ออ้างเรื่องความไม่มั่นคง และส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ เทคโนโลยีสำคัญที่พร้อมใช้งานแล้วมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบโซลาร์เซลล์ที่ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ ซึ่งไม่ได้แพงอย่างที่คิดอีกต่อไป
โดยเฉพาะเมื่อปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียว ต้นทุนแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนลดลงถึง 20% ทำให้รายงานล่าสุดจาก Bloomberg New Energy Finance (BNEF) ยืนยันว่าระบบโซลาร์พร้อมแบตเตอรี่ในไทยมีต้นทุนที่แข่งขันกับโรงไฟฟ้าฟอสซิลได้แล้ว ตามมาด้วยพลังงานน้ำแบบสูบกลับที่ใช้อ่างเก็บน้ำของเขื่อนทำหน้าที่เป็นเสมือนแบตเตอรี่ธรรมชาติขนาดยักษ์
นอกจากนี้ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ก็ไม่ได้เป็นแค่ยานพาหนะอีกต่อไป แต่สามารถทำหน้าที่เป็นโรงไฟฟ้าเคลื่อนที่เพื่อขายไฟกลับเข้าระบบได้ และที่สำคัญคือการจัดการฝั่งผู้ใช้ (Demand-Side Management) ผ่านโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) และการสร้างแรงจูงใจเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องของโลกอนาคต แต่เกิดขึ้นแล้วและพร้อมใช้งาน เพียงแค่เราต้องเปิดใจและลงทุนอย่างจริงจัง
ปลดล็อกสุดท้าย: ทลายอำนาจผูกขาดและคืนสู่ประชาชน

สฤณี กล่าวว่า ต่อให้เราปลดล็อกทัศนคติและมีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดอยู่ในมือ ก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ หากโครงสร้างอำนาจพลังงานของไทยยังคงเป็นแบบ “รวมศูนย์ ผูกขาด และปกป้องกลุ่มผลประโยชน์เดิม”
อุปสรรคที่สำคัญที่สุดคือพันธสัญญาที่เปรียบเสมือนกล่องดวงใจที่รัฐไม่เคยกล้าแตะต้อง นั่นคือ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคบังคับ (Take-or-Pay) ของโรงไฟฟ้าฟอสซิล ซึ่งผูกมัดให้รัฐและประชาชนต้องจ่ายเงินแม้จะไม่ได้ใช้ไฟฟ้าก็ตาม ประกอบกับ “ค่าความพร้อมจ่าย” ที่ประชาชนไม่เคย “พร้อม” ที่จะจ่าย สิ่งเหล่านี้คือโซ่ตรวนที่ฉุดรั้งการเปลี่ยนผ่านของประเทศ
ดังนั้น การปลดล็อกด่านสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจังผ่านการเปิดเสรีภาคพลังงานอย่างแท้จริง เพื่อทลายการผูกขาด การปลดล็อก Third Party Access เพื่อให้บุคคลที่สามสามารถเข้าใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าได้ และการผลักดัน Net Metering เพื่อสร้างกลไกให้ประชาชนที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง สามารถขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับเข้าระบบได้อย่างเป็นธรรม
การเดินทางสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม คือการเดินทางสู่ “ประชาธิปไตยพลังงาน” ที่อำนาจการผลิตและจัดการพลังงานอยู่ในมือของประชาชนทุกคน ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านเพื่อลดคาร์บอน แต่เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสร้างสังคมที่มั่นคง ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เบื้องหลังกระจกเงา: ถอดโมเดลจัดการของบริจาคสู่การสร้างงาน-ลดขยะ
“ขยะที่คนไม่กล้าทิ้ง” พลิกซากรถเก่าเป็นขุมทรัพย์ 2 แสนล้าน