ในเวทีเสวนา Sustrends 2025 Year of Volunteers ซึ่งจัดโดย The Cloud รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ขึ้นกล่าวในหัวข้อ “Future of Sustainable Health Care” พร้อมชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันเรากำลังเผชิญหน้ากับ “Perfect Storm” ทางสุขภาพอย่างเต็มรูปแบบ วิกฤตการณ์ที่ทุกปัจจัยถาโถมเข้าใส่พร้อมกัน สร้างความไม่แน่นอนให้กับอนาคตระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตัวเลขที่น่าตกใจคือ ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการใช้จ่ายด้านสุขภาพรวมกว่า 350,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 11% ในขณะที่ GDP ของประเทศเติบโตเพียง 2% เท่านั้น นี่คือสัญญาณเตือนภัยที่ดังชัดเจนว่า เส้นทางการใช้จ่ายด้านสุขภาพของเรากำลังเติบโตในอัตราที่น่ากังวลและไม่ยั่งยืน
เมื่อผนวกกับความท้าทายข้างหน้า ทั้งการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โรคอุบัติใหม่ที่ซับซ้อนขึ้น และค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งทะยานจนน่าตกใจ โดยเฉพาะความเสี่ยงที่หลายคนอาจมองข้าม คือการหลุดเข้าไปในโรงพยาบาลเอกชนโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะวิกฤติทางการเงินของทั้งครอบครัวได้ในชั่วข้ามคืน

ท่ามกลางมรสุมลูกใหญ่นี้ รศ.นพ.ฉันชาย ได้เสนอ 3 เมกะเทรนด์สำคัญที่จะเป็นกุญแจนำทางระบบสุขภาพของไทยให้ก้าวข้ามความท้าทายและมุ่งสู่ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
1. พลังแห่งการดูแลตนเอง (Self-Care): เมื่อประชาชนคือหุ้นส่วนสำคัญที่สุด
คำว่า “Self-Care” ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถึงเวลาแล้วที่เราต้องให้ความสำคัญกับมันอย่างจริงจังในมิติที่ลึกซึ้งกว่าเดิม Self-Care ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการปล่อยให้ประชาชนไปซื้อยารักษาตัวเองตามข้อมูลในยูทูบ แต่คือ “การที่เรามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเองในทุกช่วงชีวิต โดยทำงานร่วมกับบุคลากรและบริการสาธารณสุข” อย่างเป็นระบบ
แนวคิดนี้ครอบคลุมตลอดเส้นทางของชีวิต เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ที่ต้องดูแลตัวเองเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดของลูกน้อย ต่อเนื่องมาถึงวัยเด็กและวัยทำงานซึ่งมีหัวใจสำคัญคือการป้องกัน (Prevention) เพื่อไม่ให้ร่างกายเจ็บป่วยหรือเสื่อมก่อนวัยอันควร เมื่อยามเจ็บป่วย Self-Care คือการที่ผู้ป่วยและญาติมีบทบาทในการร่วมมือกับทีมแพทย์ ไม่ใช่แค่การรับยา แต่รวมถึงการใช้ยาและเก็บรักษาให้ถูกต้องตามคำแนะนำ
ตลอดจนการเปิดรับ “ใบสั่งยาทางสังคม” (Social Prescribing) เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจควบคู่กันไป กระทั่งเมื่อเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงในวัยสูงวัย การดูแลร่วมกับครอบครัวและผู้ดูแลก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Self-Care ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่งในสังคมเดี่ยวที่ขนาดครอบครัวเล็กลงและมีผู้ดูแลน้อยลง และท้ายที่สุด ในช่วงสุดท้ายของชีวิต การวางแผนและเลือก “การตายดี” ก็คือการดูแลตนเองจนถึงวาระสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม การจะสร้างวัฒนธรรม Self-Care ที่เข้มแข็งได้นั้น จำเป็นต้องมีรากฐานที่สำคัญที่สุดคือ ความฉลาดรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงและเข้าใจองค์ความรู้ทางการแพทย์ที่ถูกต้องท่ามกลางยุคข้อมูลข่าวสารที่ท่วมท้น โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่ข้อมูลจากงานวิจัยชี้ว่า 46% ของข้อมูลสุขภาพบน TikTok ทั่วโลกคือ ข่าวปลอม (Fake News) และยิ่งคลิปเป็นไวรัล โอกาสที่จะเป็นข่าวปลอมก็ยิ่งสูงขึ้น
ภารกิจเร่งด่วนจึงเป็นการที่ระบบสุขภาพต้องลุกขึ้นมาเสริมพลังให้ประชาชนด้วยการสร้างแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ จัดหาองค์ความรู้ที่ถูกต้อง และพัฒนาระบบที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น เช่น Telemedicine หรือเครือข่ายร้านยาคุณภาพ เพื่อให้ทุกคนสามารถตัดสินใจและมีส่วนร่วมในการดูแลตัวเองได้อย่างมั่นใจตลอดชีวิต
2. เน้นคุณค่าไม่ใช่ปริมาณ (Value-Based Healthcare): เลือกการรักษาที่ฉลาดและคุ้มค่า
ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการรักษาแบบเหมารวม ไปสู่การรักษาที่สร้างคุณค่าและมุ่งเน้นการ รักษาแบบจำเพาะต่อบุคคลมากขึ้น ต้องกล้าที่จะปฏิเสธการรักษาที่มีมูลค่าสูงแต่ให้ผลลัพธ์ต่ำ (High-Cost, Low-Value) และหันมาส่งเสริมการรักษาที่มีต้นทุนต่ำแต่ให้ผลลัพธ์สูง (Low-Cost, High-Value) การรักษาที่คุ้มค่าและให้ผลลัพธ์สูงนั้นอาจเป็นเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว เช่น การออกกำลังกายในสวนสาธารณะ หรือการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในราคาไม่กี่ร้อยบาท ซึ่งสามารถป้องกันการป่วยหนักจนต้องเข้า ICU และประหยัดค่าใช้จ่ายมหาศาลได้
ในทางกลับกัน การดูแลที่สิ้นเปลืองและให้คุณค่าต่ำมักปรากฏในรูปแบบของการ “ยื้อชีวิต” ในช่วงสุดท้าย (End-of-Life Care) ใน ICU ที่ผู้ป่วยต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ มีค่าใช้จ่ายวันละหลายหมื่นบาท แต่กลับไม่มีใครได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ทั้งตัวผู้ป่วยที่ทรมาน ญาติที่ทุกข์ใจ และแพทย์ที่เสียโอกาสในการนำทรัพยากรไปรักษาผู้ป่วยคนอื่นที่ยังมีหวัง
อีกหนึ่งเทรนด์ที่น่ากังวลและเข้าข่าย High-Cost, Low-Value คือ การรักษาเพื่อชะลอวัย ที่มีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว แต่ผลลัพธ์ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนในทางการแพทย์ ซึ่งแนวคิดเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายจากโรงพยาบาลเอกชนไปสู่โรงพยาบาลรัฐจากการเรียกร้องของผู้ป่วย และจะบั่นทอนความยั่งยืนของระบบในที่สุด
3. โอบรับเทคโนโลยีที่ “ใช่” (Appropriate Technology): ปัญญาประดิษฐ์คือเพื่อนร่วมงานคนสำคัญ
เทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งที่มีไว้เพื่อจัดแสดงหรือสร้างภาพลักษณ์ แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่สร้างประโยชน์ได้จริง ช่วยให้การทำงานดีขึ้น แม่นยำขึ้น และถูกต้องขึ้น ซึ่งในปัจจุบันไม่อาจปฏิเสธการมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้อีกต่อไป
รศ.นพ.ฉันชาย ยอมรับว่ามุมมองต่อ AI ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เมื่อ 3 ปีก่อนเคยเชื่อว่าเป็นเพียง “ผู้ช่วย” แพทย์ แต่ปัจจุบัน AI ได้พิสูจน์ศักยภาพที่เหนือกว่าในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านความแม่นยำ โดยยกตัวอย่างว่า “ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ในปัจจุบัน ภาพเอกซเรย์ทุกใบจะถูกอ่านโดย AI ก่อนเสมอ” เพื่อชี้จุดที่น่าสงสัยให้รังสีแพทย์ตรวจสอบซ้ำ ซึ่งช่วยลดโอกาสผิดพลาดได้อย่างมหาศาล
ยิ่งไปกว่านั้น ในด้านองค์ความรู้ AI ก็สามารถทำข้อสอบเอาชนะนิสิตแพทย์ได้ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประมวลผลและให้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง และที่น่าทึ่งที่สุดคือด้านความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ที่ในการทดสอบ AI กลับได้คะแนนสูงกว่าจิตแพทย์ ซึ่งอาจเป็นเพราะ AI สามารถสร้างบทสนทนาที่ผู้ป่วยอยากได้ยินโดยปราศจากอคติส่วนตัว (Bias) ความเหนื่อยล้า หรืออารมณ์ที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษย์
อนาคตของ AI ในวงการแพทย์จึงไม่ใช่การเข้ามาแทนที่ แต่เป็นการเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ทรงประสิทธิภาพ ช่วยทำงานที่ซ้ำซ้อนเพื่อปลดล็อกให้แพทย์มีเวลาไปทำงานที่ต้องใช้ทักษะความเป็นมนุษย์ขั้นสูง (Value-Added Work) และดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่มากขึ้น
ทางรอดจากพายุ “Perfect Storm” ครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่การทุ่มงบประมาณที่มากขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด แต่อยู่ที่การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางผ่านการดูแลตนเองอย่างชาญฉลาด (Self-Care) การเลือกแนวทางการรักษาที่เน้นคุณค่าอย่างแท้จริง (Value-Based) และการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมอย่าง AI เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อสร้างระบบสุขภาพที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับคนไทยทุกคน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
รพ.วิมุตพลิกเกมสู่ ‘Tertiary Care’ เจาะตลาดโรคซับซ้อนด้วยโมเดล ‘Health to Home’
โรคหัวใจในคนรุ่นใหม่ ภัยเงียบใกล้ตัว รพ.วิมุตชูเทคโนโลยีรักษาครบวงจร