ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายของผู้คน เราจะสร้างอนาคตของเมืองและโลกใบนี้ให้เดินไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างไร? คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีหรือเม็ดเงินมหาศาล แต่อยู่ที่จุดเริ่มต้นที่ทรงพลังที่สุด นั่นคือ “จินตนาการ” และความเชื่อร่วมกันของทุกคน กชกร วรอาคม ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ โปรเซส จำกัด กล่าวบนเวทีเสวนาหัวข้อ “Adaptation Techniques for a Regenerative Future” ในงาน Sustrends 2025 Year of Volunteers จัดโดย The Cloud
ดังคำกล่าวที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” จินตนาการและความเชื่อคือพิมพ์เขียวที่กำหนดทุกสิ่งที่เราสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเมือง นโยบายสาธารณะ หรือแม้แต่วิถีชีวิตของเรา การจะโน้มน้าวให้ใครสักคนเชื่อในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงได้นั้น จำเป็นต้องทำให้พวกเขาเห็นภาพและเชื่อว่าโลกแบบนั้นมีอยู่จริง เชื่อว่าคลองเป็นได้มากกว่าทางระบายน้ำ และสวนสาธารณะเป็นได้มากกว่าลู่วิ่ง
ในการทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง กชกรได้แบ่งโลกทัศน์หรือความเชื่อที่ขับเคลื่อนสังคมออกเป็น 3 ใบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินใจใหญ่ ๆ ของเราล้วนมีที่มาจากโลกใบใดใบหนึ่ง
โลกใบที่หนึ่ง: ขับเคลื่อนด้วยความกลัว (Fear-Based World)
โลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นจากบาดแผลในอดีตและความกังวลต่ออนาคตที่ไม่พึงประสงค์ เราทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ที่ถูกออกแบบโดยมีน้ำท่วมใหญ่ปี 2511 เป็นพื้นฐาน เราใช้เงินหลายแสนล้านบาทเพื่อสร้างระบบป้องกันบนฐานของความกลัวนั้น
เช่นเดียวกับรายงานของ IPCC เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่คาดการณ์ว่าในอีก 25 ปีข้างหน้า ปริมาณน้ำฝนในไทยจะเพิ่มขึ้น 30% ข้อมูลนี้สร้างความตระหนกและกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่ปัญหาคือการขับเคลื่อนด้วยความกลัวมักนำไปสู่การทำสิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ แต่กลับคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป ดังที่เราเห็นงบประมาณแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งปีละ 45,000 ล้านบาท แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่ไม่ต่างจากเดิม
โลกใบที่สอง: วิ่งหาความหวัง (Hope-Based World)
เมื่อมีโลกที่ขับเคลื่อนด้วยความกลัว ก็ย่อมมีโลกที่เป็นขั้วตรงข้ามโดยสมบูรณ์ นั่นคือโลกแห่งความหวัง ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อเป็นทางออกในการเอาชนะความกลัวนั้น แน่นอนว่าความหวังย่อมดีกว่าความสิ้นหวัง แต่ความหวังที่เกิดขึ้นเพียงเพื่อจะ ‘เตะความกลัวออกไป’ มักเป็นความหวังที่ไม่สมบูรณ์ (incomplete) เพราะไม่ได้ตั้งอยู่บนความเข้าใจอย่างรอบด้าน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ‘วัคซีนโควิด’ ที่กลายเป็นความหวังของคนทั่วโลกในการเอาชนะโรคระบาด ทุกคนต่างมีความหวังที่จะกลับไปใช้ชีวิตปกติ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรากลับเริ่มเห็นผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิด ซึ่งวิทยากรยกตัวอย่างถึงสภาวะภูมิคุ้มกันที่แปรปรวน หรืออาการแพ้โดยไม่ทราบสาเหตุที่หลายคนเผชิญ
ดังนั้น แม้โลกใบนี้จะเกิดขึ้นจากเจตนาที่ดีและเป็นสิ่งจำเป็นในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่มันยังคงเป็นโลกที่ไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นเพียงการวิ่งหนีจากขั้วหนึ่ง (ความกลัว) ไปยังอีกขั้วหนึ่ง (ความหวัง) โดยที่อาจยังไม่ได้แก้ปัญหาที่รากฐานอย่างแท้จริง
โลกใบที่สาม: อยู่กับ ‘ธรรมะ’ และความจริง (Nature-Based World)
โลกใบสุดท้ายคือโลกที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจใน “ธรรมชาติ” ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ต้นไม้ใบหญ้า แต่หมายถึง “ธรรมะ” หรือ “หน้าที่” คือการยอมรับความจริงของสิ่งที่เป็น รากเหง้า และตัวตนที่แท้จริงของเรา
กรุงเทพฯ และอยุธยา คือตัวอย่างที่ชัดเจน ทั้งสองเมืองมีรากฐานเป็น “เมืองน้ำ” วิถีชีวิตและประวัติศาสตร์ผูกพันอยู่กับสายน้ำมาอย่างยาวนาน อยุธยาเคยใช้น้ำในการทำสงครามและสร้างความมั่นคงทางอาหาร แต่ปัจจุบันเรากลับใช้เงินหลายหมื่นหลายแสนล้านเพื่อทำให้กรุงเทพฯ “ไม่เปียก” และสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ทำให้อยุธยาซึ่งเคยเป็น “Venice of the East” กลับไม่มีน้ำ
การกระทำเช่นนี้สะท้อนว่า เรากำลังสร้างเมืองบนความกลัวน้ำ และปฏิเสธธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเอง เรากำลังทำลายรากเหง้า และอาจสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าให้กับคนรุ่นต่อไป โดยมีข้อมูลชี้ว่า หากเราทำลายธรรมชาติ GDP ของประเทศจะลดลงถึง 44%
เมื่อจินตนาการไปถึงดวงจันทร์ก่อนความเป็นจริง
พลังของการสร้างโลกที่ถูกต้องอยู่ที่การมี “จินตนาการร่วมกัน” เรื่องเล่าในการ์ตูนเรื่องหนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า ในวินาทีที่ นีล อาร์มสตรอง กำลังจะเปิดประตูยานอวกาศเพื่อเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรก เมื่อเขาเปิดประตูออกไป กลับพบว่ามี “มิกกี้เมาส์” และ “ตินติน” รออยู่ก่อนแล้ว
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จินตนาการของมนุษย์ได้เดินทางไปถึงดวงจันทร์ก่อนที่ความจริงทางกายภาพจะเกิดขึ้นเสียอีก ดังนั้น หากเราจะฝันถึงอนาคตของเมืองและโลกใบนี้ เราต้องตรวจสอบให้ดีว่าความฝันนั้นตั้งอยู่บนฐานของความกลัว หรือตั้งอยู่บนความเข้าใจในความจริงและธรรมชาติของเรา
โจทย์ใหญ่ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่การพัฒนา แต่คือการตั้งคำถามว่า เรากำลังสร้างโลกบนความเชื่อแบบใด เพื่อที่จะได้ร่วมกันจินตนาการถึงโลกที่ถูกต้อง และสร้างมันให้เกิดขึ้นจริงไปพร้อมกัน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
AI: ทางลัดเศรษฐกิจไทย สู่การเติบโตที่ไม่ต้องเดินตามใคร
เบื้องหลังกระจกเงา: ถอดโมเดลจัดการของบริจาคสู่การสร้างงาน-ลดขยะ