Share on
×

Share

การผ่อนคลายมาตรการ คาดธุรกิจร้านอาหาร ขยายตัวร้อยละ 26.5 ปี 65

ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 ธุรกิจร้านอาหารให้บริการเต็มรูปแบบหรือ Full-Service Restaurants ได้รับปัจจัยหนุนเพิ่มขึ้นจากการที่ทางการได้ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ลงได้แก่การยกเลิกเคอร์ฟิวในพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวและการอนุญาตให้ธุรกิจร้านอาหารสามารถกลับมาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการนั่งทานในร้านได้ตั้งแต่วันที่ 1 .. 2564 แบบมีเงื่อนไขซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและหากสถานการณ์การระบาดของโควิดในประเทศคลี่คลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการใช้บริการในร้านอาหารน่าจะทยอยกลับมาซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้และแนวโน้มในปี 2565 

การผ่อนคลายมาตรการฯในจังหวะที่จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลท้ายปีหนุนบรรยากาศให้ผู้บริโภคทานในร้านอาหารมากขึ้นใช้เวลาต่อครั้งนานขึ้นคาดทำให้ธุรกิจร้านอาหารเต็มรูปแบบ (Full-Service Restaurants) มีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 2 พันล้านบาทจากคาดการณ์เดิม

จากการที่ทางการได้ผ่อนคลายมาตรการการให้บริการในร้านอาหาร ซึ่งเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full-Service Restaurants) เนื่องด้วยรายได้ของธุรกิจส่วนใหญ่ของร้านมาจากการให้บริการนั่งในร้าน และโดยปกติในช่วงท้ายปีของทุกปี จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของธุรกิจ เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปี

การยกเลิกเคอร์ฟิวในพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากร้านอาหารที่มีระยะเวลาการเปิดทำการจำกัดและร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบส่วนใหญ่จะมียอดขายกระจุกตัวอยู่ในช่วงเวลาเย็นจนถึงค่ำ ขณะที่การอนุญาตให้ร้านอาหารสามารถกลับมาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการนั่งทานในร้าน ในเขตพื้นที่สีฟ้า (ในกรุงเทพอนุญาตให้นั่งดื่มเฉพาะร้านอาหารที่มีเครื่องหมาย SHA จนถึง 21.00 น.) จะช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบที่ผ่านมาตรฐานดังกล่าว  

แม้ท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่ยังอยู่ อาจจะสร้างความกังวลในการกลับมาใช้บริการนั่งทานในร้านอาหารของผู้บริโภคบางกลุ่ม แต่ผู้บริโภคในกรุงเทพฯ ก็ได้เริ่มออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านโดยเฉพาะการใช้บริการด้วยการนั่งทานในร้านอาหารมากขึ้น รวมถึงอาจมีแนวโน้มที่จะไปใช้บริการนานขึ้นหรือบ่อยขึ้นหากสถานการณ์โควิดไม่กลับมารุนแรง สะท้อนจากผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่พบว่า 

  • กลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 72 เริ่มมีความมั่นใจและกลับไปใช้บริการนั่งทานอาหารในร้านหลังจากที่ทางการผ่อนคลายมาตรการอนุญาตให้นั่งทานอาหารภายในร้าน (ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64) แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ร้านอาหารที่กลุ่มตัวอย่างกลับไปใช้บริการส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์ อาทิ ชาบู/ปิ้งย่าง ร้านอาหารญี่ปุ่น และร้านสุกี้ เป็นต้น ขณะที่รองลงมา จะเป็นกลุ่มร้านอาหารประเภทสวนอาหารที่มีคาแรคเตอร์เฉพาะ เช่น ร้านอาหารที่ตกแต่งแบบธรรมชาติ และมีมุมถ่ายภาพที่สวยงาม 
  • กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 77 มองว่าการประกาศขยายเวลาทำการของร้านอาหารและการลดระยะเวลาเคอร์ฟิวของภาครัฐ (ตั้งแต่ 16 ต.ค. 64) สนับสนุนการเข้าใช้บริการร้านอาหารนานขึ้นและบ่อยขึ้น ขณะที่ร้อยละ 23 มองว่าไม่มีผลต่อการเข้าใช้บริการร้านอาหาร ซึ่งกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้กลับไปใช้บริการนั่งทานในร้านอาหาร 
  • แม้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 65 ยังไม่มีแผนที่จะจัดงานสังสรรค์ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาสและส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เนื่องจากยังรอดูสถานการณ์โควิด และรอดูความชัดเจนในการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ของทางการ แต่ประมาณร้อยละ 22 มีแผนที่จะจัดงานรวมกลุ่มสังสรรค์กับเพื่อนฝูงและครอบครัวที่ร้านอาหารในช่วงเทศกาลฯ โดยคาดว่าจะออกไปนั่งทานเฉลี่ย 3-4 ครั้งภายในเดือนธันวาคม ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่มีการแพร่ระบาดระลอกใหม่อย่างรุนแรง

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าการผ่อนคลายมาตรการของภาครัฐอาทิการเปิดให้นั่งทานอาหารในร้านการปรับลดพื้นที่เคอร์ฟิวและการเปิดให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวจะส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจร้านอาหารประเภท Full-Service Restaurants 

ทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มออกไปทานอาหารและใช้เวลาในร้านอาหารมากขึ้นหรือถี่ขึ้นและคาดว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายที่เหลือของปี 2564 จะมีการขยายตัวของจำนวนจำนวนต่อครั้ง (โต๊ะ) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 10 เดือนแรกของปีประกอบกับการเพิ่มขึ้นของยอดการใช้จ่ายจากระยะเวลาในการใช้บริการต่อครั้งที่นานขึ้นทำให้อาจจะมีการสั่งอาหารรวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบน่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2,000 ล้านบาทจากคาดการณ์เดิมและมีมูลค่าทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 1.13 แสนล้านบาทหดตัวร้อยละ 28.5 จากปี 2563

แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบปี 2565 น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ร้อยละ 26.5 จากปัจจัยหนุนที่เพิ่มขึ้นขณะเดียวกันการแข่งขันที่รุนแรงก็ยังเป็นความท้าทายสำคัญ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2565 เริ่มมีปัจจัยหนุนมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการผ่อนคลายมาตรการของทางการและการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและหากสถานการณ์การระบาดของโควิดในประเทศดีขึ้นหรือไม่มีการกลับมาระบาดจนทำให้ทางการต้องกลับมาใช้มาตรการควบคุมอีกครั้ง น่าจะช่วยให้ธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง หลังจากการหดตัวอย่างรุนแรงต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหารให้บริการเต็มรูปแบบ เป็น 2 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 ภายใต้สมมติฐานที่สถานการณ์โควิดมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงต่อเนื่องและการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ตามแผนของภาครัฐ ผู้บริโภคในประเทศมีความเชื่อมั่นในการเข้าใช้บริการ มีการเปิดประเทศนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น ส่งผลให้มีการขยายตัวต่อเนื่องของจำนวนความถี่ในการนั่งทาน และทำให้จำนวนต่อครั้ง (โต๊ะ) 

ในปี 2565 มีจำนวนประมาณ 204 ล้านครั้ง (โต๊ะ) รวมถึงมีการขยายตัวของยอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 4.2 และทำให้ตลาดธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบจะมีมูลค่ายอดขายรวมในกรณีพื้นฐานอยู่ที่ประมาณ 1.43 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 26.5 

กรณีที่ 2 ภายใต้สมมติฐานที่มีการแพร่ระบาดครั้งใหม่เกิดขึ้นและมีการยกระดับของมาตรการควบคุม ไม่ให้จำหน่ายอาหารภายในร้าน แต่ไม่ได้มีการ Lock downจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และทำให้จำนวนต่อครั้งลดลงเหลือเพียงประมาณ 186 ล้านครั้ง (โต๊ะ) โดยประเมินว่าตลาดธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ จะเหลือมูลค่าประมาณ 1.29 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 14.2  

อย่างไรก็ดีโอกาสการกลับมาฟื้นตัวและมูลค่ายอดขายของธุรกิจดังกล่าวยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบด้านต่างๆที่สำคัญอาทิกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นต้นรวมถึงปัจจัยเฉพาะที่มีผลต่อรูปแบบการฟื้นตัวของร้านอาหารในกลุ่มนี้ที่แตกต่างกันโดยในปีข้างหน้าคาดว่าตลาดธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ จะกลับมามีสีสัน โดยมีแรงขับเคลื่อนจากทั้งแผนการลงทุนของผู้ให้บริการรายใหญ่ซึ่งถูกชะลอมาจากปี 2564 รวมถึงการเร่งขยายพอร์ตอาหารให้ครอบคลุมประเภทอาหารมากยิ่งขึ้น 

คาดว่าในปี 2565 ผู้ประกอบการรายใหญ่จะลงทุนเพิ่มเติมในแพลตฟอร์มธุรกิจร้านอาหารของตนให้สามารถรองรับการทำตลาดทั้งในส่วนของการขายภายในร้าน การขายแบบ Delivery และการขายสินค้าระหว่างแบรนด์ในพอร์ทของตน (Cross-selling) มากยิ่งขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการร้านอาหารรายเล็ก-กลาง คาดว่ายังคงดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและรอการกลับมาของลูกค้ากลุ่ม mass โดยคาดว่าจะมีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป

โดยสรุปศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าแม้ทิศทางธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบจะกลับมาดีขึ้นแต่ผู้ประกอบการต้องเผชิญโจทย์ทางธุกิจที่สำคัญอย่างเช่นแนวโน้มต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้นอาทิ ราคาวัตถุดิบ อาหารปรับตัวสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าเช่าพื้นที่ ค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น กอปรกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานการรักษาความสะอาดและตรวจคัดกรองโรคที่อาจทำให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มราวร้อยละ 2-5 (เมื่อเทียบกับก่อนโควิด) ได้แก่ ชุดตรวจ ATKของพนักงาน น้ำยาทำความสะอาด ค่าเจลแอลกอฮอล์ ระบบฟอกอากาศและเครื่องอบค่าเชื้ออุปกรณ์ 

ขณะเดียวกัน การรักษาระยะห่างและจำกัดจำนวนคนเข้าใช้บริการก็น่าจะส่งผลให้รายได้ต่อพื้นที่ (Sales per Square Foot) ของร้านอาหารยังไม่สามารถกลับมาอย่างเต็มที่ ซึ่งปัจจัยต่างๆดังกล่าวคาดว่าจะสร้างแรงกดดันต่อกำไรสุทธิรายได้สภาพคล่องและสถานะทางการเงินโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่มีประเด็นสภาพคล่องและมีภาระทางการเงินด้านสินเชื่อ

ดังนั้น ผู้ประกอบการร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ จำเป็นต้องปรับรูปแบบธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ที่เปลี่ยนไป เช่น การเพิ่มสัดส่วนการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการมีแอดมินเพจหรือแชทบอทที่คอยดูแลตอบคำถาม และรับออร์เดอร์บนช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งการผสมผสานระหว่างช่องทางการขายและการทำการตลาดผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้จากหลากหลายช่องทาง (Omni Channel) จะกลายเป็นสิ่งจำเป็น 

นอกจากนี้ เทคโนโลยีที่ช่วยลดการสัมผัส (Contactless) อาทิ หุ่นยนต์จัดส่งอาหาร Digital menus และ Mobile payment จะกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ที่ทุกร้านอาหารจำเป็นต้องมี เพื่อลดโอกาสการสัมผัสเชื้อ และเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่จะเข้ามาใช้บริการในร้านอาหาร

×

Share

ผู้เขียน