Share on
×

Share

บทเรียนประกันโควิด … ความเสี่ยงที่เกินคาดของบริษัทประกันภัย

การประกันภัย คือ การบริหารความเสี่ยงภัยวิธีหนึ่ง ซึ่งจะโอนความเสี่ยงภัยของผู้เอาประกันภัยไปสู่บริษัทประกันภัย เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันภัยตามที่ได้ตกลงกันไว้

เมื่อบริษัทประกันเห็นโอกาสความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด–19 และมีความมั่นใจ เชื่อมั่นรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) และกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การควบคุมดูแลของ อนุทิน ชาญวีรกูล ว่าสามารถเอาสถานการณ์อยู่ จึงเป็นที่มาของประกันกรมธรรม์ใหม่ ที่ชื่อ “ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ” 

เวที RCEP ตลาดร่วมที่ช่วยประเทศไทยก้าวต่อไปเชื่อมตลาดโลก

กางแผน นโยบายกระทรวงคมนาคม ปี 2565

ในปี พ.ศ.2563 ที่หลายธุรกิจหลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบเชิงลบจากการแพร่ระบาดของโควิด แต่ในส่วนของธุรกิจประกันภัยกลับได้รับผลกระทบในทางบวก เรียกวาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำให้ระบบการซื้อขายช่องทางออนไลน์ล่มเพราะรองรับคำสั่งซื้อจำนวนมากไม่ทัน ปริมาณกรมธรรม์เติบโตแบบทวีคูณ บริษัทประกันภัยที่เห็นปรากฏการณ์นี้ ถึงขนาดรีบกระโจนเข้าร่วมขบวนด้วย

แต่สิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อการระบาดของไวรัสโควิดรอบที่ 3 เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2564 เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อครบทุกจังหวัด จากการระบาดเชื้อไวรัสสายพันธุ์อังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลัสเตอร์ทองหล่อเหมือนไฟลามทุ่ง สถานการณ์โรงพยาบาลหลายแห่ง เริ่มเตียงไม่เพียงพอรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ และในขณะนี้เองที่ ประกัน เจอ จ่าย จบ เริ่มสร้างความสั่นสะเทือนให้กับธุรกิจประกันภัย  

บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด หรือ SMK ของตระกูลดุษฎีสุรพจน์ บริษัทประกันภัยรายแรกที่เริ่มเห็นสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ ธุรกิจเริ่มเซจากการเคลมประกันของ ผู้ถือกรมธรรม์ “โควิด เจอ จ่าย จบ”  โดยกลางเดือนกรกฎาคม ส่งจดหมายไปยังผู้ถือกรมธรรม์ บอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) โดยระบุว่า สืบเนื่องจากการระบาดของโรคติดเชื้อ โควิด-19 สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้สินมั่นคงประกันภัย ต้องบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ และจำเป็นต้องใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อไวรัสโคโรนาแบบ เจอ จ่าย จบ หรือ COVID 2 in 1

บริษัทต่อมา คือ บริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เพิ่มเปลี่ยนชื่อเมื่อ วันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา เนื่องจากเปลี่ยนมือจากตระกูลชลวิจารณ์มาเป็นตระกูลศรีอรทัยกุลเดิม คือ บมจ.สินทรัพย์ประกันภัย ได้รับผลกระทบเมื่อยอดเคลมประกันมากกว่ารายได้จากการขายกรมธรรม์ ทำผู้ถือกรมธรรม์ต้องรวมตัวกันที่สำนักงาน เพื่อเรียกร้องเงินค่าชดเชยค่าสินไหม  

บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นอีกบริษัทที่มีผู้ประกันโควิดแบบเจอจ่ายจบ แห่ไปสำนักงานใหญ่เพื่อขอให้บริษัทจ่ายค่าสินใหม่ทดแทนเป็นจำนวนมาก

บริษัทที่ได้รับผลกระทบรุนแรงสุดน่าจะเป็น บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) ที่ถูกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1936/2564 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย

ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ระบุว่า ตั้งแต่เริ่มขายประกันโควิด เจอ จ่าย จบ ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2563 จนถึง วันที่  31 คุลาคม 2564 มีกรมธรรม์โควิดจำนวน  44 ล้านกรมธรรม์ รวมเป็นเบี้ยประกัน 11,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดเคลมของกรมธรรม์ดังกล่าว จำนวน 25,000 ล้านบาท และมีกรมธรรม์ที่ยังอยู่ในการคุ้มครองในระบบถึงมิถุนายน 2565 อีก  7 ล้านกรมธรรม์

ดังนั้นหากเกิดการแคลมประกัน คาดว่า น่าจะต้องใช้เม็ดเงินอีกจำนวนมาก ถ้าประมาณทุนประกัน กรมธรรม์ละประมาณ 50,000 -100,000 บาท

จากกรมธรรม์โควิด เจอ จ่าย จบ ยังสร้างปรากฎการณ์ ให้กับอุตสาหกรรมประกันภัย ขาดทุนผลประกอบการไตรมาสที่ 3  เดือน กรกฎาคม – กันยายน 2564 หลายบริษัทรวมประกอบการขาดทุนสุทธิประมาณ 5,782 ล้านบาท เช่น 

บริษัท กรุงเทพประกันภัย ของตระกูลโสภณพนิช  นับตั้งแต่ตั้งบริษัทมาจนปัจจุบัน เป็นครั้งแรกที่ผลประกอบการขาดทุน 885 ล้านบาท 

บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ตระกูล สิริวัฒนภักดี ผลประกอบการขาดทุน 662 ล้านบาท ติดลบ 843% 

บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด ของตระกูลดุษฎีสุรพจน์ ขาดทุน 3,662 ล้านบาท 

บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด ขาดทุน 331 ล้านบาท

 นวกิจประกันภัย ขาดทุน 28.66 ล้านบาท

บริษัท จรัญประกันภัย จำกัด (มหาชน) ขาดทุน 13.71 ล้านบาท

 บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) ขาดทุน 21.16 ล้านบาท

ปรากฏการณ์ประกันภัยโควิดเจอ จ่าย จบ ที่เกิดขึ้น ถือเป็นการประเมินสถานการณ์ และประเมินศักยภาพของภาครัฐ กลไกรัฐผิดพลาดมาก ทำให้บริษัทประกันภัยที่ขายผลิตภัณฑ์ประเภท “เจอ จ่าย จบ” ต้องได้รับผลกระทบในเชิงลบอย่างเลี่ยงไม่ได้

×

Share

ผู้เขียน