Share on
×

Share

เปิดมุมมองใหม่กับนวัตกรรมการรักษาโควิด-19

HIGHLIGHT

  • สถานการณ์ ความท้าทาย และแนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในปัจจุบัน 
  • แนวทางการรักษาใหม่สำหรับโควิด-19
  • มุมมองต่อโควิด-19 ในอนาคตเพื่อการปรับตัวสู่ชีวิตวิถีใหม่ (new normal)

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิและรองผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร ให้สัมภาษณ์พิเศษ ในกิจกรรม  “เปิดมุมมองใหม่กับนวัตกรรมการรักษาโควิด-19”  ให้ข้อมูลเชิงลึกและภาพรวมสำหรับการรับมือกับโควิด-19 โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจดังนี้

ภาพรวมของสถานการณ์โควิด-19

ศ. พญ.ศศิโสภิณ เล่าถึงภาพรวมของสถานการณ์โควิด-19 ว่า ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรงในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 เป็นเวลากว่า 2 ปี สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการรับมือกับโควิด-19 ในครั้งนี้คือ

  1. ต้องมีการอัปเดตความรู้ใหม่ ๆ ตลอดเวลา เพื่อรับมือกับโรคอุบัติใหม่ ทั้งในด้านความเข้าใจเกี่ยวกับโรค แนวทางการรักษา รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมการรักษา
  2. ต้องค้นคว้าวิจัย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาวัคซีนและยารักษาโควิด-19 ที่รวดเร็ว ตลอดจนการวิจัยเพื่อการป้องกันและการรักษาในประเทศโดยเฉพาะ 
  3. การที่ทุกภาคส่วนทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ภาครัฐ และภาคเอกชนต้องร่วมมือกัน ทำงานร่วมกัน เพื่อหาแนวทางการรักษาและช่วยเหลือผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

แพทย์ควรมีอาวุธพร้อมต่อสู้ กับการกลายพันธุ์ของไวรัส

ศ. พญ.ศศิโสภิณ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ คือการต้องทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้แม้เป็นเรื่องที่ไม่เคยทำได้มาก่อน รวมทั้งการต้องหาข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ให้ได้อย่างทันท่วงที ในขณะที่ประเด็นสำคัญทางการแพทย์ที่ต้องจับตามองคือ “การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสหรือสายพันธุ์ที่น่ากังวล (variants of concern; VOC)” ซึ่งที่ผ่านมาโลกต้องเผชิญกับวิวัฒนาการของสายพันธุ์ไวรัส SARS-CoV-2 ถึง 5 สายพันธุ์ นับตั้งแต่อัลฟา เบตา แกมมา เดลตา และโอมิครอน ตามลำดับ ดังนั้น การมีอาวุธที่พร้อมต่อสู้กับการกลายพันธุ์ของไวรัสจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบุคลากรทางการแพทย์

ประเด็นสำคัญที่แพทย์ต้องจับตามองต่อไปคือ การมีวัคซีนที่เพียงพอและการที่ประชาชนเข้าถึงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (booster dose) รวมถึงการมีตัวเลือกของยารักษาโควิด-19 ที่เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากยาที่คนไทยคุ้นเคยอย่างฟาวิพิราเวียร์ (favipiravir) ที่เป็นยารับประทาน และเรมดิซิเวียร์ (remdesivir) ที่เป็นยาฉีด

แนะ ไทยควรมีตัวเลือกยารักษาโควิด

ปัจจุบันปริมาณวัคซีนสำหรับคนไทยมีเพียงพอ แต่ยังคงมีคนบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ และยังคงมีกลุ่มที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน ในส่วนของยารักษาโควิด-19 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่เป็นด่านหน้าของการรักษา ยังคงสามารถจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ได้ตามปกติ ทั้งนี้ ในต่างจังหวัดยังคงมีความเป็นไปได้ที่อาจมีภาวะขาดแคลนยาเกิดขึ้น ดังนั้น จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ประเทศไทยต้องมีตัวเลือกยารักษาโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น

แนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิด-19

นพ.วีรวัฒน์ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ฉบับปรับปรุง เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 โดยคณะกรรมการกำกับดูแลรักษาโควิด-19 ได้ประกาศเกณฑ์จำแนกผู้ป่วยโควิด-19 โดยแบ่งตามความรุนแรงของโรค ได้แก่

  1. กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือสบายดี สามารถรักษาตัวเองที่บ้าน โดยไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสและโดยแพทย์อาจพิจารณาให้รับประทานยาฟ้าทะลายโจร ตามความเหมาะสม
  2. กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง โรคร่วมสำคัญ และมีภาพถ่ายรังสีปอดปกติ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ ยังคงสามารถรักษาตัวเองที่บ้านได้เช่นเดียวกับผู้ป่วยกลุ่มที่ 1 และแพทย์อาจพิจารณาให้รับประทานยาฟาวิพิราเวียร์ โดยให้เริ่มยาเร็วที่สุด
  3. กลุ่มที่ 3 ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรงหรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือผู้ป่วยที่มีปอดอักเสบเล็กน้อย ยังไม่ต้องให้ออกซิเจน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้รักษาตัวเองที่บ้าน หรือเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล

    ซึ่งแนวทางการรักษาใหม่ล่าสุด แนะนำให้ยาต้านไวรัสเพียง 1 ชนิด จากยา 4 ชนิด ดังต่อไปนี้ 1) เนอร์มาเทรลเวียร์/ริโทนาเวียร์ (nirmatrelvir/ritonavir) 2) โมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) 3) เรมดิซิเวียร์ และ 4) ฟาวิพิราเวียร์ โดยพิจารณาตามดุลยพินิจของแพทย์
  4. กลุ่มที่ 4 ผู้ป่วยที่มีปอดอักเสบ หรือมีภาวะออกซิเจนลดลงต่ำกว่า 94% สำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยแพทย์จะพิจารณาให้ยาเรมดิซิเวียร์ ซึ่งเป็นยาฉีด ทั้งนี้ สำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่มีอาการไม่หนักมาก หรือมีค่าออกซิเจนอยู่ในช่วง 94% – 96% แพทย์อาจพิจารณาให้ยาโมลนูพิราเวียร์ ได้เช่นกัน

จากแนวทางการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ฉบับล่าสุดนี้ เห็นได้ชัดว่า ได้มีการเพิ่มทางเลือกเพื่อให้แพทย์สามารถบริหารยาได้ง่ายขึ้น โดยยาชนิดใหม่ที่ได้รับการแนะนำในแนวทางการรักษาฉบับนี้และกำลังจะนำเข้ามาในประเทศไทยคือ “โมลนูพิราเวียร์” 

กลุ่มยารักษาโควิด-19 ในปัจจุบัน 

นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ อธิบายถึงภาพรวมของกลุ่มยารักษาโควิด-19 ในปัจจุบัน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามลำดับการรักษา ได้แก่

  1. กลุ่มที่ 1 กลุ่มแอนติบอดีสำเร็จรูป หรือ monoclonal antibody จะทำงานโดยการจับกับโปรตีนหนาม (spike protein) ของไวรัส ทำให้ไวรัสไม่สามารถเกาะและเข้าสู่เซลล์ในร่างกายหรือออกฤทธิ์โดยการจับเพื่อทำลายไวรัส ซึ่งเป็นยาฉีดทั้งหมด เช่น โซโทรวิแมบ (sotrovimab)
  2. กลุ่มที่ 2 ยาต้านไวรัสซึ่งทำงานโดยการออกฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส สำหรับยาต้านไวรัสที่ประเทศไทยมีใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ ฟาวิพิราเวียร์และเรมดิซิเวียร์ รวมทั้งอีก 2 ตัวที่กำลังจะเข้ามาในประเทศไทย ได้แก่ โมลนูพิราเวียร์แลเนอร์มาเทรลเวียร์/ริโทนาเวียร์ ซึ่งตัวที่คาดว่าน่าจะเข้ามาให้ได้ใช้ก่อน คือ โมลนูพิราเวียร์
  3. กลุ่มที่ 3 ยาลดการอักเสบ ยากลุ่มนี้จะช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อ มักใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะปอดอักเสบหรือเชื้อลงปอด ตัวอย่างเช่น เดกซาเมทาโซน (dexamethasone)

ยาโมลนูพิราเวียร์ ทำงานโดยการออกฤทธิ์กับโครงสร้างของไวรัส ทำให้โครงสร้างผิดไปจากเดิม ไวรัสจึงไม่สามารถจำลองแบบพันธุกรรมและเพิ่มจำนวนได้

ผู้ป่วยควรได้รับยาต้านไวรัส หลังจากตรวจพบเชื้อโดยเร็ว

นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ ยังเน้นย้ำถึงเรื่องระยะเวลาในการเริ่มรับประทานยามีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยผู้ป่วยควรได้รับยาต้านไวรัสหรือยากลุ่มแอนติบอดีสำเร็จรูปหลังจากตรวจพบเชื้อโควิด-19 โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการรักษา ดังนั้น การมาพบแพทย์เร็ว เพื่อรับการวินิจฉัยและรับยาทันทีจึงมีความสำคัญมาก

ทั้งนี้ ยาแต่ละตัวมีบทบาทที่แตกต่างกันและขึ้นอยู่กับข้อมูลจากการศึกษาวิจัย สำหรับยาโมลนูพิราเวียร์ สามารถใช้ได้กับกลุ่มผู้ป่วยทั้งสีเหลือง และผู้ป่วยสีแดงที่อาการไม่หนักมาก ด้วยจุดเด่นในเรื่องการไม่พบปฏิกิริยาระหว่างยาที่ใช้ร่วมกัน (drug-drug interaction) ในการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ ร่วมกับยาตัวอื่น ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการจ่ายยาให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ 

ความโดดเด่นของยาโมลนูพิราเวียร์ คือ การที่มีข้อมูลศึกษาวิจัยที่รองรับว่าสามารถลดอัตราการนอนโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้

ต้องมีอาวุธที่พร้อมต่อสู้กับโรคโควิด-19

ศ. พญ.ศศิโสภิณ อธิบายว่า การป้องกันตัวเองที่เราทำกันตลอด 2 ปีที่ผ่านมายังเป็นสิ่งที่ต้องทำต่อไปจนกว่าจะมีการประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ถ้าใช้คำว่าโรคประจำถิ่น แปลว่าสามารถอยู่กับมันได้โดยไม่มีข้อจำกัด นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 ประเด็นในเรื่องของการอยู่อย่าง new normal คือ เราต้องมีอาวุธที่พร้อมต่อสู้กับโรคโควิด-19 ไปเรื่อย ๆ คือ

  1. วัคซีน ในอนาคตเราอาจมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทำให้เกิดนวัตกรรมวัคซีนที่ดีขึ้น เช่น สามารถฉีดวัคซีนแค่ปีละครั้งหรือมีวัคซีนที่รวมเข็มกับไข้หวัดใหญ่
  2. เรื่องยา ถ้ามียาที่พร้อมและสามารถเป็นเครื่องมือในการรักษาได้ดี ลดอัตราการเสียชีวิต ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล และมีทางเลือกที่หลากหลายขึ้นก็จะเป็นอาวุธให้เราสามารถอยู่กับโควิด-19 ได้ต่อไป และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นได้

นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ กล่าวว่า ในระยะนี้ เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนผ่านจากโรคระบาดเป็นโรคประจำถิ่น ทุกคนต้องเตรียมพร้อมในการดูแลตัวเอง เพื่อให้อยู่กับมันได้แบบปกติ ต้องรู้จักวิธีการรักษาตัวเอง ทั้ง self-test, self-monitor และ self-treatment 

ดังนั้น การประเมินตัวเองถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ถ้ามีอาการของระบบทางเดินหายใจผิดปกติร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ท้องเสีย อาจจะต้องตั้งข้อสงสัย และมีการตรวจสอบด้วยตัวเองในเบื้องต้นก่อน เช่น ปัจจุบันที่มีเครื่องมือตรวจแบบใช้ที่บ้าน (home use) ที่เราสามารถตรวจได้เอง และเมื่อติดเชื้อให้ติดต่อกับบุคลากรทางการแพทย์หรือสายด่วน 1330 เพื่อเข้าสู่ระบบการรักษา

โดยจะมีการประเมินอาการว่าให้ผู้ป่วยพักรักษาตัวที่บ้านหรือเข้าโรงพยาบาลตามความเหมาะสม ซึ่งน่าจะเป็นระยะที่จะไปสู่จุดที่ดูแลตัวเองมากขึ้นและพึ่งพาตัวเองมากขึ้น เพื่อให้ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยยั่งยืนต่อไปได้

เกณฑ์ในการพิจารณาให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น

ศ. พญ.ศศิโสภิณ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขในการพิจารณาให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. ยอดผู้ติดเชื้อต้องน้อยกว่าวันละ 10,000 คน
  2. อัตราของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลต้องน้อยกว่าร้อยละ 10 และอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าร้อยละ 0.1
  3. ต้องเป็นโรคที่มีการคาดการณ์ได้

ขณะนี้การรักษาพบว่าอัตราการครองเตียงสูง แต่อัตราการป่วยหนักไม่มากเท่าช่วงที่เป็นการระบาดของสายพันธุ์เดลตา ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่จะช่วยให้ระบบสาธารณสุขสามารถที่จะก้าวต่อไปสู่ระยะที่จะเป็นโรคประจำถิ่น อีกปัจจัยคือปัจจัยเรื่องการมีวัคซีนที่จะต้องครอบคลุมเชื้อสายพันธุ์ต่าง ๆ ให้ได้กว้างมากขึ้นและตามทันต่อการกลายพันธุ์ของไวรัส” นพ.วีรวัฒน์ กล่าวปิดท้าย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

นาโนเทคพัฒนา ‘น้ำยาฆ่าเชื้อโรคผสมซิงค์นาโนอิมัลชัน’ ส่งต่อเอกชนตอบโจทย์ยุคโควิด-19

สถานการณ์โควิด-19 ต่ออนาคตของสาธารณสุข

ทำความรู้จัก T-cells เซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยป้องกันโรคโควิด-19

×

Share

ผู้เขียน