Share on
×

Share

สร้างป่าสมบูรณ์ – สร้างรายได้ยั่งยืนชุมชน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผนึกรัฐ-ชุมชน-เอกชน จัดการคาร์บอนเครดิต

ดอยตุง ภูเขาในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เดิมเป็นเทือกเขาหัวโล้นจากการรุกพื้นที่เพื่อทำการเกษตร ปัจจุบันการพัฒนาดอยตุง ปลูกป่าคืนความสมบูรณ์กลับคืนสู่ธรรมชาติ ในความดูแลของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เพื่อสืบสานพระราชปณิธาน “ปลูกป่า ปลูกคน”

จากเขาหัวโล้น ณ ส่วนหนึ่งของเทือกเขาแดนลาว กำลังพัฒนาสู่ป่าสมบูรณ์ และป่ายั่งยืนต่อไป ซึ่งต้องเริ่มจากการขจัดความอดอยากยากจนของคน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุ “คนหิว ป่าหาย” ซ้ำเดิมอีก โดยประสบการณ์ปลูกป่ามาเกือบ 40 ปี ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ได้นำมาขยายผลเพื่อร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนในป่า พร้อมกับร่วมแก้ปัญหาสภาพแวดล้อมของไทยและของโลกไปในคราวเดียวกัน

ร่วมสร้างแหล่งทำกิน ลดคนหิว

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่าสภาพการณ์การปลูกป่าว่า มูลนิธิปลูกป่าโดยรวมมาแล้วกว่า 4 แสนไร่ แต่ป่าไม้กลับหายไปเรื่อย ๆ จากสภาพคนหิว ป่าหาย เมื่อชาวบ้านไม่มีกินก็บุกรุกป่าเพื่อใช้พื้นที่ทำเกษตรกรรม การพัฒนาต้องทำให้คนอยู่ได้ก่อน ต้องปลูกคนให้มีรายได้เพียงพอ ลงทุนสร้างอนาคตได้ แล้วป่าจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งหลังปลดล็อก พ.ร.บ.ป่าชุมชน ทำให้ป่ายั่งยืนขึ้น โดยเกิดจากการร่วมกันแก้ปัญหา

ทั้งนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ได้รับความสนับสนุนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภาคเอกชน และชุมชนในการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่ามาตั้งแต่ปี 2563 โดยงบประมาณสนับสนุนจากภาคเอกชนนำไปใช้ในการพัฒนาระบบประเมินคาร์บอนเครดิต และจัดตั้งกองทุนสองประเภท คือ กองทุนดูแลป่า และกองทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อเป็นรายได้แก่ชุมชน

ขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต

จากการดำเนินงานช่วงพัฒนาระบบ ปี 2563-2565 มีพื้นที่ปฏิบัติการใน 52 ป่าชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ 51,354 ไร่ ใน 7 จังหวัด และมีชุมชนเข้าร่วม 12,361 ครัวเรือน ปัจจุบันเกิดความชำนาญจนนำมาสู่การขยายพื้นที่อย่างจริงจัง โดยปี 2566 ได้รับความสนับสนุนจากประชาชนเพิ่มเป็น 77 ป่าชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ 143,496 ไร่ ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ อำนาจเจริญ และยโสธร

ดังนั้นจะเป็นพื้นที่ขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตได้ประมาณ 1 แสนไร่ มีผู้เข้าร่วม 12,721 ครัวเรือน และมีภาคเอกชนชั้นนำเข้าร่วมสนับสนุนการพัฒนา 14 ราย การขยายงานครั้งนี้เมื่อรวมกับระยะพัฒนาระบบ ทำให้โครงการมีความร่วมมือในป่าชุมชนรวม 129 แห่ง 9 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ 194,850 ไร่ ป้อนคาร์บอนได้ 5 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และสร้างประโยชน์แก่ชุมชนในป่า 25,082 ครัวเรือน

ทั้งนี้ การดำเนินงานในแต่ละป่าชุมชนครอบคลุมระยะเวลา 10 ปี คาดว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ทางตรงด้านรายได้ชุมชนรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 500-630 ล้านบาท

“โครงการนี้ได้สร้างประโยชน์ได้ทุกมิติ ทั้งชุมชนที่ดูแลป่ามีชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยผลิตคาร์บอนเครดิตมาช่วยให้ประเทศไทยบรรลุข้อตกลงลดโลกร้อน และมีป่าสมบูรณ์ขึ้น เฉพาะในช่วงฤดูไฟป่าที่ผ่านมา จากที่พบว่าพื้นที่โครงการมีไฟป่าลดลงประมาณ 6,500 ไร่ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 191 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากชุมชนในโครงการให้การดูแลป่าอย่างจริงจัง”

นำเทคโนโลยีเข้าช่วยปลูกและดูแลป่า

จากเดิมป่าที่หายไป ต้องรอถึง 50 ปีกว่าความหลากหลายทางชีวภาพจะกลับมา แต่ด้วยเทคโนโลยีจะทำให้การปลูกและดูแลรักษาพื้นที่ป่าเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น

ทั้งนี้ ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าวว่า ปี 2567 โครงการมีเป้าหมายจะขยายงานครอบคลุมพื้นที่อีก 1.5 แสนไร่ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายผลิตคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันภายในปี 2570 โดยการร่วมมือกับภาคีเครือข่าย และภาคเอกชน รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ จะทำให้ขยายพื้นที่ได้ถึง 5 แสนไร่ต่อปีต่อไป

“เทคโนโลยีที่นำมาใช้จะเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ข้อมูลจากดาวเทียม ภาพถ่ายเชิงซ้อน ชุดข้อมูลการเติบโตของไม้แต่ละชนิด ซึ่งมีอัตราการเติบโตแตกต่างกัน จะต้องนำข้อมูลมาปรับปรุงให้เหมาะสมต่อการปลูกป่าและดูแลรักษา”

ลดคาร์บอน 18,000 ตันต่อปี

สุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เล่าถึงความร่วมมือดำเนินโครงการกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงว่า มีมาตั้งแต่ปี 2531 ในจังหวัดเชียงราย และจังหวัดน่าน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 3.5 แสนไร่

จากปี 2558 ถึงปัจจุบัน กรมป่าไม้ร่วมกับชุมชนดำเนินการขึ้นทะเบียน T-VER ภาคป่าไม้ จำนวน 40 แห่ง เนื้อที่ประมาณ 45,000 ไร่ สามารถลดก๊าซคาร์บอนได้ประมาณ 18,000 ตันต่อปี นี่คือที่มาของ พ.ร.บ.ป่าชุมชน 2562 ที่เปิดให้ชุมชนทำงานร่วมกับกรมป่าไม้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ดังนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้ และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ได้ร่วมกันทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือใน “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2565 และร่วมมือขยายงานมาอย่างต่อเนื่อง

โครงการดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ภาคป่าไม้ ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.)  จากแนวคิดว่าคาร์บอนเครดิตเป็นกลไกที่จะกระตุ้นให้ชุมชนดูแลป่าและดูแลตัวเองได้ดีขึ้น ส่งผลให้ลดการสูญเสียพื้นที่ป่า ลดอัตราการเกิดไฟป่าและลดปัญหาฝุ่นควัน pm 2.5 ซึ่งเมื่อชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีก็จะบรรเทาปัญหาการว่างงาน หนี้ครัวเรือนและในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยภาคเอกชนในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจได้ด้วย

14 เอกชน ร่วมจัดการคาร์บอนเครดิต

สร้างป่าสมบูรณ์ - สร้างรายได้ยั่งยืนชุมชน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผนึกรัฐ-ชุมชน-เอกชน จัดการคาร์บอนเครดิต

บริษัทเอกชนชั้นนำ 14 รายที่เข้าร่วมโครงการระยะขยายผล ปี 2566 ประกอบด้วย บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. นํ้ามัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) บริษัท พีทีทีโกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) (GC)

บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ยูนิชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด

เอกชนกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์

ทั้งนี้ แต่ละบริษัทต่างมีนโยบายเป็นกลางทางคาร์บอน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น บางจาก ประกาศเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2030 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2050 โดยมุ่งมั่นร่วมขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำด้วยแผน BCP316 NET เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง

ธนาคารออมสิน ซึ่งประกาศเป็น “ธนาคารเพื่อสังคม (Social Bank)” ได้ดำเนินงานตามกรอบ Triple Bottom Line เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการดูแลสังคม การรักษาสิ่งแวดล้อม และการเติบโตขององค์กร ซึ่งด้านสิ่งแวดล้อม ได้กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 เช่นกัน

ยูนิชาร์ม ผู้ผลิตผ้าอนามัย ผ้าอ้อมเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมบางส่วนมาแล้ว เพื่อช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมคือ การรีไซเคิลผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ใช้แล้วในประเทศญี่ปุ่น และจะขยายออกต่างประเทศในอนาคต บริษัทวางเป้าหมายสิ่งแวดล้อมปี 2030 ไว้ 3 ประการ ได้แก่ ขยะพลาสติก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการไม่มีส่วนร่วมกับการตัดไม้ทำลายป่า

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) (ไทยเบฟ) ตั้งเป้าหมายบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2040 อีกทั้งให้ความสําคัญและมุ่งมั่นส่งเสริมการปลูกป่า เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนผู้ดูแลรักษาป่า

ปตท.สผ. ซึ่งดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบแนวคิดด้านความยั่งยืน ได้ผลักดันการดำเนินงานภายในองค์กรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเคมี

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป และผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศไทย

หัวเว่ย แนะ 4 กลยุทธ์สำคัญ พลิกโฉมประเทศสู่พลังงานแห่งอนาคต

×

Share