เมื่อเร็ว ๆ นี้ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ได้โชว์วิสัยทัศน์ในงาน “ถอดระหัสลงทุน ก้าวข้ามวิกฤติ” จัดโดย “ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดถึงนโยบายเปิดประเทศรับนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเล่าว่าในการไปประชุม UNGA ที่สหรัฐอเมริกา ได้ชักชวนบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Tesla, Google เข้ามาลงทุนในเมืองไทย
ย้ำอีกว่า งานนี้ไม่ใช่คุยแล้วจบแค่นั้น แต่จะมีการคุยกันต่อเนื่อง จะหารือกันอีกครั้งในการประชุมเอเปกที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เดือนพฤศจิกายนนี้ นี่เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกประเทศรู้ว่า “เราเปิดประตูบ้านแล้ว”
นายกฯ คนใหม่ ยังบอกอีกว่ารัฐบาลต้องเตรียมแพคเกจการลงทุน เช่นเรื่องของวีซ่า สำหรับคนที่จะเข้ามาทำงาน ทุกวันนี้เรามีโรงเรียนอินเตอร์ มีโรงพยาบาลที่มีคุณภาพไว้รองรับพร้อมแล้ว ประเทศไทยโชคดีมียุทธศาสตร์ที่ดี เป็นประเทศน่าลงทุน มีโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม อินเตอร์เน็ตที่ดีที่สุดในโลก แต่เรื่องน้ำต้องไม่ขาดแคลนเพราะอุตสาหกรรมไฮเทค จำเป็นต้องใช้น้ำ
ได้ฟังนายกฯคนใหม่แล้วค่อนข้างมั่นใจว่าเรามาถูกทาง เพราะเศรษฐกิจไทยจะหวังพึ่งภาคเกษตรอย่างเดียวไม่ได้ เศรษฐกิจจะเข้มแข็งต้องมาจากการลงทุนภาคอุตสาหกรรม ไทยเราห่างหายจากการลงทุนจากต่างประเทศมานาน ทุกวันนี้ประเทศไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาไทยมีเงินลงทุนไหลเข้าโดยเฉลี่ยลดลงอย่างต่อเนื่องเหบือเพียง 1.83% ต่อจีดีพี. จาก 3.23% ต่อจีดีพีในปี 2000
สิ่งที่อยากฟังแต่นายกฯไม่ได้พูดถึง นั่นคือ รัฐบาลมีกลยุทธ์อะไรบ้างที่จะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในบ้านเรา และไม่ได้บอกว่ามีอุปสรรคอะไรบ้างและจะแก้ไขอย่างไร. อย่าลืมว่าทุกวันนี้เรามีคู่แข่งมากมายเพราะทุกประเทศล้วนต้องการเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ขณะที่ปัญหาอุปสรรคการลงทุนนั้นกวักมือรออยู่เพียบ เพราะ 10 ปีมานี้เราซุกขยะไว้ใต้พรมเต็มไปหมด
ตั้งแต่กฏหมายที่ล้าหลังเป็นอุปสรรคสำคัญในการลงทุน หากนับกฎหมายประเทศไทย มีพระราชบัญญัติอยู่ 900 ฉบับ คสช.อีก 100 ฉบับ รวมกฏกระทรวง พระราชกฤษฎีกา อีก 20,000 ฉบับ ถ้ารวมข้อบังคับ คำสั่งต่าง ๆ ที่บังคับใช้กับประชาชน อีก 100,000 ฉบับ ซึ่งกฤษฏีกาบอกว่าเคยรวมได้ราว 100,500 ฉบับ แต่น่าจะมากกว่านั้น
มีตัวอย่างหลายประเทศที่แก้กฏระเบียบ ปฏิรูปกฏหมาย ลดขั้นตอนเอื้อนักลงทุนประสบความสําเร็จ อย่างกรณีเกาหลีใต้ ยกเลิกกฏหมายที่เป็นอุปสรรคทั้งหลาย จาก 11,000 ฉบับ เลิกไป 5,000 ฉบับ อีก 2,800 ฉบับก็พัฒนาทำให้ง่ายขึ้น เวียดนามประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งก็มาจากการปฏิรูปกฏหมายในประเทศตั้งแต่ปี 2015 ทำให้กฏหมายทันสมัย โปร่งใส มีประสิทธิภาพสูง
ต้องเข้าใจว่ากฏหมายที่ล้าหลังเป็นภาระต้นทุน กรณีสหรัฐอเมริกา บอกว่าต้นทุนอยู่ที่ 13% ของจีดีพี แต่ของไทยน่าจะอยู่ที่ 20 กว่า % ของจีดีพี ไม่มีกฏหมายเลยก็ไม่ได้ แต่ต้องปรับปรุงให้ทันสมัยทันสถานการณ์
ต้องมีการปฏิรูประบบราชการอย่างจริงจัง เพราะที่ผ่านมาเป็นอุปสรรคในการลงทุน ระบบการทำงานที่ล่าช้า มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ใบอนุญาตในเมืองไทย กพร. รวบรวมได้มี 1,544 ชนิดขณะที่ โออีซีดี. บอกว่าไม่ควรเกิน 300 ชนิด อีกทั้งการให้ข้าราชการออกใบอนุญาต ยิ่งมากยิ่งเปิดโอกาสให้มีการทุจริต เรียกเก็บเงินใต้โต๊ะสูงตามไปด้วย
ในอดีตเคยมีนักลงทุนหลายรายที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ.แล้วหนีไปลงทุนที่อื่นแทนเพราะเจอเรียกเงินใต้โต๊ะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลายหน่วยงาน ไม่เฉพาะข้าราชการเท่านั้น ยังรวมถึงนักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองท้องถิ่น ผู้มีอิทธิพลเรียกค่าคุ้มครอง มีรัฐบาลบางประเทศมีนโยบายห้ามนักลงทุนของเขาเข้าไปลงทุนในประเทศที่มีการทุจริต คอรัปชันเลยทีเดียว อันนี้เป็นอุปสรรคอันหนึ่ง
นอกจากนี้มีปัญหาแรงงานมีคุณภาพพอหรือไม่ ยิ่งหากเราจะเน้นเปิดรับนักลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทค ต้องมีวิศวกรเพียงพอ ขนาดของตลาดก็เป็นปัจจัยสำคัญให้นักลงทุนตัดสินใจว่าจะลงทุนหรือไม่ ตลาดในประเทศมีขนาดใหญ่พอหรือไม่ ตลาดต่างประเทศเป็นอย่างไร จะเห็นว่าไทยกับเวียดนามมีการทำเอฟทีเอ. ใกล้เคียงกันแต่ไทยคลุม 18 ประเทศ ในขณะที่เวียดนามครอบคลุม 53 ประเทศ
เท่าที่ฟังนายกฯคนใหม่พูดดูเหมือนจะให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างมาก โดยรัฐบาลจะเน้นทำเอฟทีเอ. มากขึ้น
เหนือสิ่งใดปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามคือ เสถียรภาพทางการเมือง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยไร้เสถียรภาพเพราะเป็นรัฐบาลผสม การเมืองมีความเปราะบาง มีประท้วง มีรัฐประหารทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจ คงไม่มีใครอยากหอบเงินมาลงทุนในประเทศที่ไม่มีอนาคต
จึงไม่แปลกใจว่าทำไมสิบปีให้หลังมานี้ เศรษฐกิจไทยโตอย่างเชื่องช้า ประเทศอื่นขยายตัวได้ 6-10% ต่อปี ไทยมีอัตราเติบเฉลี่ยแค่ 3% ต่อปีเท่านั้น
ทั้งหมดนี้คือ ปัจจัยสำคัญในการที่จะดึงดูดนักลงทุนโดยตรงหรือ FDI ให้เข้ามาลงทุนในบ้านเรา นี่คือภารกิจเร่งด่วนของนายกฯป้ายแดง เศรษฐา ทวีสิน
ผู้เขียน: ทวี มีเงิน
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
“วันหยุดยาว” กับ “ราคาที่ต้องจ่าย”
“การเมือง” เดดล็อก ..“ตลาดหุ้น-ลงทุน-กำลังซื้อ” วูบ