Share on
×

Share

เศรษฐกิจไทยในยาม “ความเชื่อมั่น” ล้มละลาย

ในห้วงเวลานี้บริษัทเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนก็ทยอยประกาศอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจคคือ ตัวเลข GDP หรือ ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ ในไตรมาส 1/2567 พลันเห็นตัวเลข GDP ที่แต่ละประเทศรายงานน่าชื่นใจแทน  

ประเทศอินโดนีเซียมีประชากรมากที่สุดในอาเซียน GDP ไตรมาสแรกปีนี้ โตมากที่สุด 5.11% ฟิลิปปินส์ที่เคยถูกตั้งฉายาคนป่วยแห่งเอเซีย แต่ไตรมาสแรกปีนี้ GDP โต 5.7% เวียดนามที่เป็นดาวรุ่งมาในรอบเกือบ 3 ทศวรรษมาตรฐานยังไม่ตก GDP โต 5.66% เพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างมาเลเซีย GDP โต 3.9% สิงคโปร์ที่เจริญทางเศรษฐกิจมากที่สุดในอาเซียน GDP ก็โต 2.7% 

ส่วนประเทศไทยที่เคยอยู่แถวหน้าอาเซียนตอนหลังถูกเพื่อนบ้านปาดหน้าแซงไปเรียบร้อย เดิมคาดว่าไตรมาสแรกปีนี้ GDP จะโตราว 3% แต่ล่าสุดโดนหั่นเหลือ 2.4% เฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา GDP ประเทศไทยโตแค่ 1.9% เท่านั้น 

การที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้มีหลายปัจจัย สิ่งแรกปัจจัยภายนอก คือ เศรษฐกิจโลกต้องดี ไม่มีปัญหาสงคราม ปัจจัยภายใน คือ การเมืองต้องมีเสถียรภาพ เอกชนมีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ ไม่มีการผูกขาดและผู้บริหารประเทศต้องมีความรู้ความสามารถ 

ต้องยอมรับว่า 10 ปีที่ผ่านมาบ้านเรามีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นชนวนนำประเทศไปสู่วงจรอุบาทว์ นั่นคือการเข้ามายึดอำนาจของคสช.ทำให้ประเทศไทยไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมโลกและนักลงทุนจากต่างประเทศ 

ย้อนรอย 6 เดือน ‘เศรษฐา ทวีสิน’ คนไทยได้อะไร

แม้จะมีการเลือกตั้งล่าสุดได้รัฐบาลใหม่แต่กว่า 8 เดือนของรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย มีคำถามมากมายจากนักลงทุนจากต่างประเทศว่า ทำไมพรรคที่ได้อันดับ 1 ในการเลือกตั้งจากประชาชนไม่ได้เป็นรัฐบาล ในสายตานักลงทุนต่างชาติเห็นว่าขัดหลักการประชาธิปไตย ต่างชาติไม่ยอมรับ จึงไม่แปลกใจว่า 10 ปีที่ผ่านมาการลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่ำลงเรื่อย ๆ

อย่าลืมว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้และยั่งยืนส่วนหนึ่งต้องพึ่งพาการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ หากจะคิดหรือทำอะไรจะต้องแคร์สายตานักลงทุนต่างชาติว่าเขามองเราอย่างไร 

จุดอ่อนสำคัญของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ตั้งแต่การจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อมาบริหารประเทศ ไม่ได้พิจารณาคนที่มีความรู้ความสามาถในด้านต่าง ๆ แต่มาจากโควต้าบ้านใหญ่เพื่อเป็นการต่างตอบแทน ทำให้ไม่ได้บุคคลาการที่มีคุณภาพพอที่จะรับมือกับโลกที่ผันผวนแปรปรวน อย่างรวดเร็วได้ 

ปัญหาของครม.เศรษฐกิจใน “รัฐบาลเศรษฐา 1” ไม่มีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลเศรษฐา 1/2 ปิดจุดอ่อนนั้น โดยมอบให้ “พิชัย” เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ก่อนหน้านี้มีปัญบางกระทรวงไม่ได้รับการยอมรับและไม่ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการระดับสูงในกระทรวง ไม่สามารถสั่งการข้าราชการได้ทำให้ต้องมีการย้ายและแลกกระทรวง ในการปรับครม.ล่าสุด

อย่างไรก็ตาม ในรัฐบาลเศรษฐา 1/2 ยังมีบางกระทรวงที่เจ้ากระทรวงไม่ได้รับการยอมรับจากข้าราชการแต่ยังอยู่ที่เดิม บางกระทรวงรัฐมนตรีไม่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจ ก็ยกอำนาจการบริหารกระทรวงทั้งหมดอยู่ในมือข้าราชการ 

แรก ๆ ก็หวังว่าครม.ในรัฐบาลเศรษฐา 1/2 ที่น่าจะมีคนที่มีความรู้ความสามารถเพื่อสร้างความเชื่อมั่น แต่พอเผยโฉมออกมากลับดูแย่กว่าเดิม แทนที่จะมีเสถียรภาพมากขึ้น กลับมีความขัดแย้งหนักขึ้นไปอีก เพียงแต่ไม่กี่วัน มีรัฐมนตรีลาออกในเวลาใกล้เคียงกันถึง 2 คน 

คนแรก “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” รองนายกรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศที่มีผลงานในการเจรจาบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ของโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและมีบทบาทผลักดันประเทศไทยเป็นสมาชิก OECD เป็นองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ มีภารกิจหลักกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าโลก

ไม่กี่วันต่อมา “กฤษฎา จีนะวิจารณะ” รัฐมนตรีช่วยคลังโควต้ารวมไทยสร้างชาติ ลาออก เพราะไม่พอใจการแบ่งงานของ “พิชัย ชุณหวชิร” รัฐมนตรีคลังคนใหม่ อาจจะทำให้การบริหารงานของรัฐมนตรีเพื่อไทยที่ดูแลกระทรวงคลังมีปัญหา เพราะกฤษฏา คืออดีตปลัดกระทรวงคลังมาก่อน ย่อมมีเครือข่ายที่เป็นข้าราชการระดับสูง 

นอกจากนี้ รัฐบาลเศรษฐา 1/2 เริ่มส่งสัญญาร้าวลึก ส่อเค้าไม่ราบรื่นเมื่อพรรคร่วมเริ่มมีปฏิกริยาไม่พอใจแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย กรณีแรก เริ่มที่พรรคร่วมไทยสร้างชาติ โฟกัสไปที่ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพลังงาน ที่กำลังงัดข้อกระทรวงคลังเรื่องพลังงานเกี่ยวกับนโยบายภาษี 

ส่วนรอยร้าวกับพรรคภูมิใจไทย มาจากกรณี “กัญชาเสรี” พรรคเพื่อไทยซึ่งคุมกระทรวงสาธารณสุข ยกเลิกกฎหมายกระทรวง คืนกัญชาสู่บัญชียาเสพติด รวมทั้งกรณี ขึ้นค่าแรง 400 บาท ที่ภูมิใจไทยดูแลกระทรวงแรงงานแต่เพื่อไทยพยามดึงมาเป็นผลงานของรัฐบาลความขัดแย้งอาจจะทำให้การอยู่ร่วมกันของ “พรรคร่วมรัฐบาล” ลำบากมากขึ้น

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีปัญหาแบงก์ชาติที่ดูแลนโยบายการเงิน คนของเพื่อไทยออกมากดดัน “ดร.เศรษฐพุฒิ  สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการฯแบงก์ชาติ สามเวลาหลังอาหาร ทั้งที่รัฐบาล แบงก์ชาติ และคลัง ต้องทำงานร่วมต้องเกื้อหนุนกัน แต่วาทะกรรมที่ออกมา กดดัน “แบงก์ชาติ” เกือบทุกวัน เป็นสิ่งที่นักลงทุนรับไม่ได้ เขามองว่าแบงก์ชาติถูกการเมืองแทรกแซง ทำให้ไม่มีความเป็นอิสระ ขัดหลักสากล

เพื่อไทย ในอดีตได้รับการยอมรับว่าอุดมไปด้วยมือเศรษฐกิจมีความรู้ความสามารถ ประชาชนเชื่อมั่น แต่เพื่อไทยวันนี้ ในสายตาประชาชนและนักลงทุน เฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนต่างประเทศ ความเชื่อมั่นนั้นได้ละลายหายไปอย่างสิ้นเชิง

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

VIRTUAL BANK ในอุ้งมือทุนใหญ่ ประชาชนได้อะไร

มหัศจรรย์ “มังกรน้อย”

ย้อนรอย 6 เดือน ‘เศรษฐา ทวีสิน’ คนไทยได้อะไร

×

Share