Share on
×

Share

“คลัง-แบงก์ชาติ” สงบศึกหรือแค่พักยก

ผิดความคาดหมายของนักสังเกตการณ์พอสมควร ที่หลาย ๆ เคยคนมองว่า การเข้ามานั่งตำแหน่ง รองนายกฯด้านเศรษฐกิจและรัฐมนตรีคลังคนใหม่ ของ ”พิชัย ชุณหวชิร” อาจจะทำให้ความขัดแย้งระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ ”แบงก์ชาติ” กับรัฐบาลจะบานปลายและดุเดือดเข้มข้นกว่าเดิม อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากในยุคที่ ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีคลังที่เปิดฉากกดดันแบงก์ชาติ ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่เข้ามาบริหารประเทศให้ ”ลดดอกเบี้ยนโยบาย” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

แต่ภายหลังจากที่ พิชัย นัดหมาย ”ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าแบงก์ชาติมาหารือ ที่กระทรวงคลัง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา การหารือนานเกือบ 2 ชั่วโมงกลายเป็นหนังคนละม้วน ยิ่งได้ฟังการแถลงข่าวของขุนคลังคนใหม่น่าจะไปในทิศทางที่ดี

หากเปรียบไปแล้วท่วงทำนองของพิชัยนั้น เป็นมวยชั้นเชิงประเภท ”บ็อกเซอร์” จับทางยากต่างจากเศรษฐา เป็นมวยบุกประเภทไฟต์เตอร์ ไม่ซับซ้อน ซัดตรงๆแถมดุดัน

ภายหลังการหารือ “พิชัย” ได้ให้สัมภาษณ์สื่อ ถึงประเด็นการหารือว่า มี 2 ประเด็นหลัก ๆ

ประเด็นแรก เรื่อง ”ดอกเบี้ยนโยบาย” ที่เป็นชนวนขัดแย้งระหว่างคลังกับแบงก์ชาติมาตลอด 7 เดือนที่เศรษฐาสวมหมวกรัฐมนตรีคลัง พิชัยบอกว่า ให้เป็นหน้าที่ของแบงก์ชาติ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สามารถใช้วิจารณญาณ เครื่องมือ และผลวิเคราะห์มาใช้ประกอบพิจารณาดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างอิสระ เพื่อให้เป็นไปตามกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ตกลงกับรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม พิชัยขมวดปมไว้น่าสนใจ ตรงที่บอกว่า กรอบเงินเฟ้อปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 1-3% ซึ่งปกติจะมีการทบทวนทุก ๆ ปี ตามกระบวนการนั้น แบงก์ชาติจะทำการวิเคราะห์เงินเฟ้อ ทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง จากนั้น ก็จะนำผลการศึกษามาหารือกับกระทรวงการคลัง จนในที่สุดก็ได้กรอบเงินเฟ้อเป้าหมายที่ตรงกัน ซึ่งตรงนี้เป็นหน้าที่ของแบงก์ชาติ ที่ต้องดำเนินการไปตามปกติ ทุก ๆ ปี

ตรงนี้น่าสนใจ เพราะจะเป็นช่องทางให้รัฐบาลยังใช้เป็นเครื่องมือกดดันแบงก์ชาติผ่านการเจรากรอบเงินเฟ้อได้ แต่ก็ยังดีกว่าเนียนกว่าใช้การเมืองมากดดันเหมือนที่ผ่านมา

ประเด็นที่ 2 ที่หารือกัน คือ เรื่องการเข้าถึงสินเชื่อ หรือแหล่งเงินทุนของภาคธุรกิจและประชาชน ตรงนี้ พิชัย บอกว่า สำคัญกว่าเรื่องดอกเบี้ยนโยบาย แม้ดอกเบี้ยจะสูงหรือต่ำลงนิดหน่อยจริง ๆ แล้วการเข้าถึงสินเชื่อมีความสำคัญมากกว่า และยังบอกอีกว่า ตนและผู้ว่าแบงก์ชาติเห็นตรงกันในเรื่องนี้ ก็ต้องบอกว่าตรงนี้ ถือว่ามาถูกทาง การที่ทั้งสองฝ่ายก็เห็นตรงกันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้มีโอกาส

จากลีลาการเจรจาคงต้องยอมรับว่า พิชัยนั้นผ่านงานใหญ่ ๆ มามากมาย เคยเป็นผู้บริหารในองค์กรขนาดใหญ่มาก่อน ทั้งเคยเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน ปตท.ประธานกรรมการบริษัทบางจากและองค์กรอื่น ๆ ทั้งรัฐและเอกชนมากมาย มีประสบการณ์ทำงานมาอย่างโชกโชน

ที่สำคัญเคยเป็นกรรมการของแบงก์ชาติมาแล้ว ย่อมเข้าใจปรัชญาของแบงก์ชาติ ในฐานะธนาคารกลางต้องมีความเป็นอิสระ ปลอดการเมืองเข้าแทรกแซง ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารกลางทั่วโลกยึดถือปฏิบัติ  

นอกจากนี้ พิชัยยังเข้าใจบทบาทหน้าที่ของแบงก์ชาติอย่างดีว่า มีหน้าที่หลัก ๆ ต้องดูแลเสถียรภาพ (ราคารักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม) นั่นหมายถึงต้องดูแลกรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย และต้องดูแลเสถียรภาพของระบบเงิน (ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่และรักษาเสถียรภาพภาคการเงิน) ซึ่งคนละบทบาทของกระทรวงคลังที่มุ่งเน้นทำให้เศรษฐกิจเติบโต

อีกทั้งพิชัยยังเข้าใจบทบาทการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของแบงก์ชาติโดยตรง แต่เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งมีทั้งผู้บริหารแบงก์ชาติแบงก์ชาติและตัวแทนคนนอกที่มีความรู้ความสามารถเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ร่วมเป็นกรรมการ และยังรู้วิธีการทำงานว่าแบงก์ชาติทำงานมีการเก็บข้อมูลอย่างไรก่อนที่จะนำมาวิเคราะห์

ส่วนหนึ่งที่ทำให้การเจรจาราบรื่น ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ นั่นคือ ทั้งพิชัยและเศรษฐพุฒิ เคยรู้จักกันและเคยทำงานงานร่วมกันมาก่อน

จึงไม่แปลกใจ ที่ผลการหารือจึงออกมาราบรื่นผิดคาด ต่างจาก ”เศรษฐา” ที่เป็นนักธุรกิจ และไม่เข้าใจการทำงานของระบบราชการ ใช้วิธีกดดันผ่านสื่อ กระทั่งถูกมองว่าใช้อำนาจการเมืองเข้าแทรกแซงการทำงานของแบงก์ชาติ จะทำให้นักลงทุนต่างชาติมองประเทศไทยในแง่ลบได้ แต่การเจรจาระหว่างพิชัยและเศรษฐพุฒิที่เริ่มต้นด้วยดี น่าจะทำให้นักลงทุนคลายกังวลและมองประเทศไทยดีขึ้น ว่าแบงก์ชาติมีความเป็นอิสระ การเมืองไม่ได้เข้าไปแทรกแซง

แต่ยังมีสิ่งที่น่ากังวล เนื่องจากบทบาทคลังกับแบงก์ชาติมีวัตถุประสงค์ต่างกัน ในการหารือจึงมีโอกาสกระทบกระทั่งกันได้ง่าย เหมือนลิ้นกับฟันจึงต้องจับตาดูต่อไปว่า กระบวนการทำงานระหว่างรัฐบาลโดยกระทรวงคลังและแบงก์ชาติจากจะมีปัญหาหรือไม่

หากจะให้ทุกอย่างราบรื่นทั้งรัฐบาลและแบงก์ชาติ จะต้องลบภาพความขัดแย้ง การตีความนโยบายทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง เช่น กรณีกรอบเงินเฟ้อ ที่เป็นปัญหาเพราะการตีความระหว่าง 2 หน่วยงานต่างกัน ทำให้มีผลถึงการกำหนดนโยบายดอกเบี้ยนโยบาย จากนี้ไปจะต้องทำงานใกล้ชิดกัน มีการสื่อสารข้อมูลแบบตรงไปตรงมาและโปร่งใส

ที่สำคัญคงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ว่ารัฐบาลจะให้อิสระกับแบงก์ชาติตามที่ “พิชัย” พูดนั้นจริงหรือไม่ เพราะประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงเพื่อไทยภาระกิจหลักคือ แก้ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ลดความเป็นอิสระลงบ้าง และให้การเมืองเข้าไปกำหนดบทบาทบางอย่างได้

การจับเข่าคุยกันรอบนี้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทั้งคลังและแบงก์ชาติจะทำงานร่วมกัน แต่จะเป็นแค่สงบศึกชั่วคราวหรือไม่  ต้องจับตาดูต่อไป

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

มหัศจรรย์ “มังกรน้อย”

ย้อนรอย 6 เดือน ‘เศรษฐา ทวีสิน’ คนไทยได้อะไร

“คนไทยไร้ทักษะ”​ วิกฤติใหญ่ของชาติ

×

Share