Share on
×

Share

ธุรกิจยั่งยืนยิ่งขึ้น ด้วยการใส่ใจสิ่งแวดล้อม เปิดประสบการณ์เรื่องราว 4 ธุรกิจ แบบอย่างการรักโลกที่ยั่งยืน

ภายในงาน Earth Jump 2024 The Edge of Action เจาะลึกครบทุกมิติพานักธุรกิจและผู้ประกอบการ ก้าวสู่ความยั่งยืน ได้มีการจัดเซสชัน Excellence in Action Showcasing Success Stories Across Industries ขึ้นมา โดยมี ไอริน ภัทรประสิทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบและพัฒนากระบวนการตลาดสี่มุมเมือง, ทศพล ศุภเมธีกูลวัฒน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง CirPlas, รติยา จันทรเทียร กรรมการผู้จัดการ บจก. เท็กซ์ไทล์ แกลลอรี่ และ ดร.วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ร่วมให้ข้อมูลความสำเร็จ ว่ากว่าจะสามารถก้าวขั้นขึ้นมาเป็นต้นแบบในด้านความยั่งยืนที่สำเร็จได้นั้น มีการปรับเปลี่ยนและผ่านสิ่งไหนมาบ้าง

จัดการขยะ 230 ตันต่อวันที่ตลาดสี่มุมเมือง พร้อมเรียนรู้ถึงความท้าทายในการจูงใจแรงงาน

ไอริน ภัทรประสิทธิ์, ผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบและพัฒนากระบวนการ ตลาดสี่มุมเมือง แบ่งปันเรื่องราวว่า ตลาดสี่มุมเมืองถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง มีสินค้านำเข้าและส่งออกมากถึง 8,000 ตันต่อวัน จึงมองว่าสถานที่นี้ไม่ใช่เพียงแค่ตลาดแต่เป็นเมืองหนึ่งเมืองที่มีประชากร 75,000 คน โดยสิ่งที่ต้องทำเพื่อจัดการของเสีย (Waste management) ที่มากถึง 230 ตันต่อวัน โดยเป็นขยะสด 80% คือการให้แผงค้าภายในตลาดเข้าใจว่าทำไมถึงต้องคัดแยก ซึ่งความท้าทายคือการที่ต้องให้แผงขายผลไม้ต่าง ๆ ประเปลี่ยนพฤติกรรม โดยที่ต้องไม่ทำให้รู้สึกว่าปรับเปลี่ยนอะไร ซึ่งใช้ระยะเวลา 8 ปีกว่าจะดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ ต้องอาศัยสร้างการจะสร้างการรับรู้ได้ (Awareness) ผ่านแคมเปญไปเรื่อย ๆ

กระบวนการแยกและจัดการขยะนั้นคือการแจกแจงหน้าที่ให้แรงงานกว่า 7,000 คนในตลาด ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ โดยให้แรงงานทุกคนต้องมีการเก็บขยะเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินกลับคืนไป โดยคำนวณค่าเงินตามการชั่งน้ำหนักของขยะ ซึ่งแรงงานทุกคนจะเป้าหมายทุก ๆ เดือน และมีการสร้างบ่อบำบัดน้ำ โดยนำน้ำที่บำบัดแล้วมาใช้เพื่อล้างตลาด นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ โดยมองว่าในปัจจุบันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า สามารถคืนทุนค่าแผงโซล่าเซลล์ได้ใน 2-3 ปี และได้วางแผนขยายการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ให้ครอบคลุมทั่วตลาดในปลายปี 2024 นี้ นอกจากนี้ยังมีการนำขยะสดที่ได้จากตลาดมาแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ และกำลังมองหาหนทางในการสร้างคุณค่า (Value) ให้กับสินค้าอีกด้วย ซึ่งในอดีตได้เคยลองเลี้ยงไส้เดือนเพื่อนำมาย่อยอาหารสดแล้วแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ โดยได้มองว่าถือเป็นการทดลองที่ได้ลงมือทำ ลองผิดลองถูกและเรียนรู้ไปกับมัน แต่ก็ต้องมีการประเมินสถานการณ์ ว่าองค์กรพร้อมรับกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นไหมหากการทดลองสิ่งใหม่ ๆ ไม่ประสบผลสำเร็จ

การจูงใจผู้เช่าแผงขายสินค้าภายในตลาดสี่มุมเมืองนั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เพราะผู้เช่ามักคิดว่า ‘ทำไมต้องแยกขยะในเมื่อก็นำไปเททิ้งรวมกันที่ทั้งเดียวอยู่ดี’ โดยต้องทำให้ผู้เช่าแผงเห็นถึงคุณค่าของการคัดแยกขยะ เช่น การจัดกิจกรรมในวัน World earth day เพื่อให้ความรู้กับคนในตลาดถึงคุณค่าและความสำคัญของการคัดแยกขยะ แสดงให้เห็นถึงกระบวนการหลังจากการคัดแยกขยะ และผลกระทบในการใช้ชีวิตหากไม่ร่วมมือกัน

ซึ่งตลาดสี่มุมเมืองนั้นถือเป็นตลาดต้นแบบที่หลากหลายธุรกิจและบริษัทได้เข้ามาศึกษาดูงานด้านความยั่งยืน ซึ่ง Key สำคัญที่จะทำให้บริษัทประสบผลสำเร็จถึงการเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืนได้นั้น คือ ‘การเข้าใจจุดแข็งของตัวเอง’ จากนั้นมองหาโอกาสที่จะต่อยอดจุดแข็งนั้นไปให้ได้ เช่น การมองหาผู้ที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน (Vision) เป็นต้น

การรีไซเคิลพลาสติก สร้างโซลูชันที่เชื่อถือได้สู่ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม

Earth-Jump-2024-CirPlas

ทศพล ศุภเมธีกูลวัฒน์, ผู้ร่วมก่อตั้ง CirPlas กล่าวว่า CirPlas เป็นบริษัทใหม่ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเน้นการช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมโดยการเก็บขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (single-use plastic) กลับมาทำความสะอาดและรีไซเคิล (Recycle) ซึ่งหากต้องการทำเพื่อช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมจริง ๆ จำเป็นต้องผลิตวัตถุดิบ (Raw material) พลาสติกที่อำนวยความสะดวกให้แก่โรงงาน โดยมองว่าการนำภาระไปทิ้งไว้ที่ผู้บริโภคเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงหาทางส่งมอบพลาสติกรีไซเคิลที่พร้อมใช้แก่โรงงาน ซึ่งท้าทายในการรีไซเคิลพลาสติกก็คือ ความหลากหลายและความไม่สม่ำเสมอของขยะพลาสติกที่เจอ แต่ผ่านความท้าทายนั่นมาได้โดยสร้างความเข้าใจให้กับคนในองค์กร และใช้การทดลองสิ่งใหม่ ๆ จนได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ

ในปัจจุบันได้มีบางองค์กรนำวัสดุที่มาจากของเสียภายในโรงงานมาใช้ผลิตสินค้าต่อ (Post Industrial Recycled) โดยอ้างว่าผลิตภัณฑ์นี้ ผลิตมาจากวัสดุรีไซเคิลรักโลก ซึ่งแท้จริงแล้วนั้นเป็นเพียงแค่การลดต้นทุน โดยที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากของเสียภายในโรงงานหรือมาจากการเก็บขยะตามสิ่งแวดล้อมที่มีต้นทุนสูงกว่ามาก เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35 บาท แพงกว่าขยะที่ซื้อขายกันในตลาด 2-3 เท่า หากบางองค์กรยังคงทำสิ่งนี้ต่อไป ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่านี่คือการกระทำที่ยั่งยืน ซึ่งสิ่งที่ทาง CirPlas ได้ออกมาแก้ปัญหาก็คือ พยายามสร้างการรับรู้ (Awareness) ว่าการใช้สินค้าชิ้นนี้หรือการสนับสนุนแบรนด์นี้อยู่นั้น ผู้บริโภคกำลังได้ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมอยู่จริง ๆ จากการใช้วัสดุพลาสติกรีไซเคิลของ CirPlas โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) มาเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีโปรแกรม โดยผู้ที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์สามารถแสกน QR Code เพื่อย้อนกลับไปตรวจสอบได้ว่าแบรนด์นี้ได้ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมจริง ๆ โดยมีข้อมูลแสดงผล เช่น ขยะถูกเก็บมาวันที่เท่าไหร่ มาจากที่ไหน น้ำหนักเท่าไหร่ ลดคาร์บอนไปเท่าไหร่ เป็นต้น โดยในประเทศไทยนั้นมีความต้องการใช้พลาสติกใหม่เพียง 15% เนื่องจากต้องผลิตวัสดุสัมผัสอาหาร (Food contact materials) ดังนั้นอีก 85% จึงสามารถใช้พลาสติกรีไซเคิลได้

นอกจากนี้ยังได้เผยถึงข้อควรระวังหากผู้ประกอบท่านไหนต้องการประกอบธุรกิจรีไซเคิลพลาสติก ดังนี้

  • ต้องมองถึงทางออกหลังจากเก็บขยะพลาสติก ว่าจะดำเนินการจัดการอย่างไรต่อไป มองหาความต้องการของลูกค้า
  • การทำธุรกิจในลักษณะนี้ถือเป็นเสกลที่ใหญ่มาก มีความเสี่ยงสูง แต่หากลดเสกลลงก็อาจจะไม่คุ้มค่า
  • ธุรกิจในลักษณะนี้ลูกค้าและผู้คนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นกิจกรรม CSR จึงก่อให้เกิดความไม่แน่นอนของลูกค้าจำนวนมาก

ดังนั้น จึงต้องหาโมเดลธุรกิจ (Business Model) ที่ยั่งยืนทั้ง ‘เม็ดเงิน’ และ ‘สิ่งแวดล้อม’

อุตสาหกรรมสิ่งทอกับการรักโลก สามารถทำควบคู่กันไปได้จริงหรือ?

รติยา จันทรเทียร, กรรมการผู้จัดการ บจก. เท็กซ์ไทล์ แกลลอรี่ ออกมาแบ่งปันถึงเรื่องราวว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ปล่อยของเสียต่าง ๆ และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ซึ่งสิ่งที่ทำให้ธุรกิจสิ่งทอกับความยั่งยืนสามารถทำควบคู่กันไปได้ด้วยนั้น คือแรกเริ่มเดิมทีอยู่ในโครงการของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่าง มูลนิธิสืบนาคะเสถียรมาก่อนที่จะมาทำโรงงาน พอได้มีโอกาสทำโรงงานอย่างจริงจัง เรื่องสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องแรกที่นึกถึง และได้มีปรัชญาแนวคิดคือ ‘คุณภาพชีวิตที่ดีเป็นที่มาของคุณภาพสินค้าที่ดี’ โดยเริ่มตั้งแต่ดูแลคุณภาพชีวิตที่ดีของพนักงาน ดูแลชุมชนระแวกใกล้เคียง ดูแลสิ่งแวดล้อมในประเทศไปจนถึงระดับโลก ซึ่งน้ำเสียจากโรงงานสิ่งทอของเท็กซ์ไทล์ แกลลอรี่ จะถูกนำไปรีไซเคิล (Recycle) ใหม่ทั้งหมด โดยที่ไม่ปล่อยน้ำเสียออกนอกโรงงาน เป็นการหมุนเวียนน้ำเสียเข้าสู่กระบวนการบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่

นอกจากนี้ ในช่วงระยะที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2018 ได้มีการใช้วัสดุจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ถูกใช้งานแล้ว เพื่อสร้างสิ่งใหม่ (Upcycling) จากขยะสามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งที่สร้างมูลค่าใหม่ได้เช่น กระเป๋า เสื้อแจคเก็ต เป็นต้น ซึ่งต้นกำเนิดของโปรเจกต์นี้มาจากบริษัทการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) นับตั้งแต่นั้นก็ได้มีการนำเส้นใยที่เป็นการ Upcycling เข้ามาใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังคงสามารถใช้ในบางผลิตภัณฑ์เท่านั้น

ในส่วนของการจัดทำ Carbon footprint ทางองค์กรได้มีการทำมาแล้วมากกว่า 10 ปี ซึ่งตอนที่เริ่มทำเมื่อ 10 ปีที่แล้วนั้นยังคงเป็นช่วงที่ต้องเรียนรู้อีกมาก และได้ลองผิดลองถูก จนกระทั่งปี 2020 ได้เริ่มมีการทำ Carbon footprint ที่โรงงานอย่างจริงจัง โดยจากข้อมูลในปี 2021 นั้นพบว่าทั้งโรงงานปล่อยก๊าซคาร์บอนประมาณ 13,000 ตัน จนเกิดเป็นการตั้งเป้าหมายเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ที่โรงงานมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท โดยเฉลี่ยแล้วโรงงานใช้เงินไปกับค่าไฟฟ้าประมาณ 4-5 ล้านบาทต่อเดือน โดยมีเป้าหมายคือการมุ่งสู่ Net Zero

นอกจากนี้ ยังได้มีการปลูกป่าเปลี่ยนพื้นที่ที่ยังไม่มีต้นไม้ในโรงงานทั้งหมดให้เป็นพื้นที่ป่า การมีพื้นที่สีเขียวเพิ่มนั้นได้มากการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น ได้ความหลากหลายทางชีวภาพ ได้ความสบายใจผ่านพื้นที่สีเขียว ได้ความร่มรื่น เป็นต้น โดยตั้งเป้าปลูกป่าภายในบริเวณโรงงานให้ได้ 100 ไร่ โดยปีที่ผ่านมาปลูกไปทั้งหมด 2,500 ต้น แต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมากลับพบว่าเหลือต้นไม้อยู่เพียง 500 ต้น จึงได้หาสาเหตุและรีบแก้ไข โดยมีเป้าหมายปลูกต้นไม้ใหม่ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2024 นี้ โดยได้เผยตัวสถิติสถานการณ์ป่าไม้ไทยในปี 2022 – 2023 ว่าปัจจุบันป่าไม้ลดลงมากกว่า 3 แสนไร่ภายในปีเดียว โดยมีพื้นที่ป่าสีเขียวคิดเป็นร้อยละเหลือเพียงแค่ 31.4% ลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี

ด้านการรักษาสมดุลของการลงทุนธุรกิจและการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนนี้ สามารถนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยได้ นอกจากนี้ลูกค้าต้องทราบถึงคุณค่าที่จะได้รับคืออะไร โดยคุณค่านั้นต้องมีประโยชน์ทางตรงกับลูกค้า ยกตัวอย่างสินค้าของเท็กซ์ไทล์ แกลลอรี่          เช่น เป็นสินค้าที่ส่งเสริมให้ลูกค้าสุขภาพดี เป็นสินค้าที่ช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นสินค้าที่ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น เป็นต้น โดยสินค้าดังกล่าวนั้นได้มาจากนวัตกรรม โดยสามารถสอดแทรกคุณค่าทางอ้อมอย่างการรักโลกของสินค้านั้นเข้าไปได้ ก่อให้เกิดการรักษาสมดุลของการลงทุนธุรกิจและการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ธุรกิจ สิ่งแวดล้อม ความท้าทายที่ผู้ประกอบการไทยต้องเจอในปี 2024

Earth-Jump-2024-KBank

ดร.วิชัย ณรงค์วณิชย์, ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า หลังจากที่ผู้ประกอบการไทยได้ผ่านพ้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการไทยยังคงต้องพบเจอกับกฎเกณฑ์มากมาย โดยความท้าทายที่ผู้ประกอบการไทยต้องพบเจอมี 2 เรื่องหลักดังนี้

  1. CBAM คือ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment)
  2. ร่าง พรบ. เกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate change) โดยจะต้องมีการเก็บภาษีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  

บางองค์กรต้องการทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในปัจจุบันก็ได้มีบริษัทขนาดใหญ่เริ่มทำการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปแล้วบ้าง แต่จากการคาดการณ์ คาดว่าจะต้องมีผู้ประกอบการหรือบริษัทต่าง ๆ มากกว่า 80,000 ราย ที่ต้องเริ่มมีการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนี้ ซึ่งค่อนข้างน่าเป็นห่วง

โดยยังมีกฎเกณฑ์จากทางภาคธนาคาร ที่ทางธนาคารจำเป็นต้องขอเงินจากลูกค้าว่าทางลูกค้ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากน้อยเพียงใด เพื่อนำมาจัดมาจัดกิจกรรมดูสถิติว่าทางธนาคารได้มีการสนับสนุนธุรกิจที่รักโลกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด ซึ่งเกิดความกังวลว่าทางลูกค้านั้น ได้มีความพร้อมแล้วจริงหรือ? โดยทางภาคธนาคารก็ได้เร่งหาวิธีทางช่วยเหลือลูกค้าในเรื่องขององค์ความรู้ ความเข้าใจ และเริ่มสอนให้ธุรกิจมีการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ นอกจากนี้ยังได้ช่วยเข้าไปเป็นที่ปรึกษาในการตั้งเป้าหมายเพื่อลดจำนวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปลายปี 2021 ทางธนาคารกสิกรไทยได้มีการตั้งเป้าหมายไว้ว่า ‘เราจะสนับสนุนสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน’ เป็นจำนวนเงิน 2 แสนล้านบาท จากการดำเนินงานกว่า 2 ปีที่ผ่านมา คาดว่าในปลายปี 2024 นี้จำนวนเงินกว่า 1 แสนล้านบาทจะถูกใช้ไปเพื่อสนับสนุนธุรกิจสีเขียวเพื่อความยั่งยืน

นอกจากนี้ยังได้มีการดำเนินการแก้ปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Climate Solutions) 7 หัวข้อด้วยกัน ดังนี้

  1. WATT’S UP เป็นการสร้าง E-Marketplace สำหรับ Rider ที่ขับรถมอเตอร์ไซค์แบบน้ำเติมน้ำมันเปลี่ยนไปใช้แบบพลังงานไฟฟ้า (EV)
  2. Green Pass เป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ารายย่อยที่ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์อยู่ที่บ้าน แต่สามารถนำไฟฟ้าแลกเปลี่ยนเป็นสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากทางกสิกรได้
  3. Punfai เป็นแอปพลิเคชันแลกเปลี่ยนไฟฟ้าและบริหารจัดการไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถแบ่งปันไฟฟ้าที่เหลือใช้และได้ผลตอบแทนที่ดีกลับมา เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้า ร่วมมือกันกับองค์กร EGAT (P2P Energy trading platform)
  4. Carbon Accounting เป็นระบบการจัดการคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพ มีระบบที่คล่องตัว พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญแก่ลูกค้า
  5. Advisory เป็นการให้บริการคำปรึกษาด้านกฎระเบียบและมาตราฐานด้านอุตสาหกรรมแก่ลูกค้า
  6. CCRC เป็น One-stop shop ที่ให้ความรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate change) อย่างครอบคลุม
  7. Net zero CEO course by CBIS เป็นหลักสูตรพิเศษที่จัดทำเพื่อผู้บริหารในหลักสูตรด้านความยั่งยืน (Sustainability Program)

อย่างไรก็ตาม การจัดการผลกระทบด่านสิ่งแวดล้อม และจัดการเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate change) นั้น จำเป็นต้องร่วมมือกันในทุกฝ่าย ไม่ใช้หน้าที่ขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง และสิ่งสุดท้ายที่สำคัญและจำเป็นมากที่สุดคือ ‘การลงมือทำ’

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

KCG ชูกลยุทธ์ “Fusion กินnovation” ดันรายได้ปี 66 แตะ 7,157 ล้านบาท เติบโตสูงสุดในรอบ 65 ปี

ความแตกต่างระหว่าง Traditional AI และ Generative AI 

จีดีพีไตรมาสแรก แตะจุดต่ำสุดแล้ว  

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน