ด้วยวิกฤติการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และแนวโน้มโลกที่ผลักดันการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด และก้าวต่อไปได้อย่างยั่งยืน
การสนทนากับ มงคล เฮงโรจนโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ บริษัทเอสซีจีเคมิคอลส์จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ทำให้ The Story Thailand เห็นเส้นทางการเปลี่ยนผ่านของ REPCO NEX (เร็ปโก เน็กซ์) ที่เติบโตจากกลุ่มวิศวกรซึ่งรับผิดชอบงานดูแลรักษาและซ่อมบำรุงเครื่องจักรให้กับ เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) สู่การดำเนินธุรกิจในฐานะ “ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการและโซลูชันสำหรับภาคอุตสาหกรรมแบบเอนด์ทูเอนด์”
พลิกบทบาทจาก Maintenance Service สู่ผู้ให้บริการ Industrial Service Solutions ครบวงจร
REPCO NEX ประเมินภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้น และตระหนักว่าองค์กรจะไปต่อไม่ได้หากยังคงดำเนินงานเช่นในอดีต อีกทั้งการทำงานให้กับเอสซีจีซีมาอย่างยาวนาน องค์กรได้สร้างทีมบุคลากรที่เป็นทั้งผู้เชี่ยวชาญและนักแก้ปัญหาเป็นจำนวนมาก ที่พร้อมส่งต่อความชำนาญและนวัตกรรมการบริการที่พัฒนาขึ้นออกสู่ตลาด จึงตัดสินใจแยกตัวออกมาตั้งบริษัท เพื่อดำเนินธุรกิจรับจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรมเต็มตัว
“การตั้งบริษัทในช่วงเวลานั้น ถือเป็นจังหวะวัดใจแบบ Do or Die” มงคล กล่าวว่า แม้ REPCO NEX มีความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมเป็นทุนเดิม แต่การเปลี่ยนบทบาทจากหน่วยงานที่ใช้งบประมาณ (Cost Center) มาเป็นองค์กรที่ต้องสร้างรายได้และผลกำไร (Profit Center) ทำให้โมเดลการดำเนินธุรกิจไม่ชัดเจน เป็นผลให้การดำเนินงานปีแรกไม่สู้ดี เมื่อเกิดการเรียนรู้และเข้าใจตลาดมากขึ้นในปีถัดมา จึงจัดรูปแบบบริการของบริษัทออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ “บริการงานอุตสาหกรรมทั่วไป” เช่น งานตรวจสภาพเครื่องจักรตามมาตรฐาน งานทำความสะอาดเครื่องจักร งานบริหารจัดการงานโครงการต่าง ๆ กับ “บริการความเชี่ยวชาญเฉพาะ” ซึ่งเป็นการบูรณาการความสามารถของบุคลากร นวัตกรรม ดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาเพนพอยต์ของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ตรงความต้องการของตลาดแบบครบถ้วนมากขึ้น
“เพนพอยต์ของลูกค้าส่วนใหญ่มีอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ ปัญหาการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน ปัญหาการใช้ข้อมูลในองค์กรให้เกิดประโยชน์ และปัญหาการเดินเครื่องจักรที่ไม่ต่อเนื่อง”
กุญแจเปลี่ยนผ่านภาคอุตสาหกรรมสู่ Digital Transformation
REPCO NEX ให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม ในมิติของการปรับโฉมวัฒนธรรมองค์กร (Shaping Culture) ที่ไม่ใช่แค่เรื่ององค์ความรู้ เครื่องจักร หรือนวัตกรรม แต่เริ่มต้นด้วยการทำ “Lean Manufacturing” ทั้งการลีนชุดความคิดของคนในองค์กร และการใช้ทรัพยากร ซึ่งทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลไม่ต่างจากการบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
โดยกระบวนการ คือการนำข้อมูลในองค์กรมาทำ Visualization ให้ทุกคนเห็นภาพ เป้าหมาย และตัวชี้วัดความสำเร็จที่สอดประสานกัน ผสมผสานกับวัฒนธรรมการทำงาน เพื่อยกระดับคุณค่า ลดความสูญเสียและสูญเปล่าในกระบวนการผลิตเป็นลำดับแรก เช่น การนำเทคโนโลยี เซ็นเซอร์และไอโอที ในการเสริมประสิทธิภาพการทำงาน และเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์และประเมินผล (Monitoring) โดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงพัฒนาต่อยอดไปสู่ปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น
มงคล กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา REPCO NEX มีการพัฒนานวัตกรรมไว้มาก อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เพื่อลีนระบบการซ่อมบำรุงในโรงงาน ที่เดิมต้องตั้งนั่งร้านนานราว 15 วัน เพื่อขึ้นไปเช็คจุดบกพร่องต่าง ๆ มาใช้หุ่นยนต์ไต่ไปตามท่อแทน ข้อมูลที่ได้จากการตรวจวัดด้วยหุ่นยนต์จะให้ความละเอียดสูงมาก เมื่อนำมาวิเคราะห์ประมวลผลด้วยเอไอจะได้ผลประเมินสภาพและอายุการใช้งานที่เหลืออยู่ของท่อที่แม่นยำ ทำให้การวางแผนการซ่อมบำรุงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถใช้งานเครื่องจักรได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
การพัฒนานวัตกรรมด้านไอโอทีในการทำงานร่วมกับเอไอ อาทิ การวัดค่าความกัดกร่อนของท่อที่อยู่ภายใต้ฉนวนด้วยเซ็นเซอร์ไอโอที สามารถส่งข้อมูลผ่านคลาวด์มาประมวลผลที่เอไอ เพื่อประเมินว่า ท่อของเครื่องจักรมีปัญหาหรือไม่ และจะสั่งการแก้ไขอย่างไร โดยไม่ต้องเปิดฉนวนท่อออก นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมการวัดค่าความสั่น (Vibration) ของเครื่องจักรกลหมุนประเภท Rotating Machine และการวัดค่าความสั่นสะเทือนในตัวเครื่องจักรกลหมุนความเร็วต่ำที่ยังไม่มีใครทำได้นอกจาก REPCO NEX หรือ การตรวจจับความเสียหาย (Failure) ของมอเตอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป โดยนำข้อมูลจากไอโอทีมาเข้าสมการประมวลผลโดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าก่อนเกิดปัญหา เป็นต้น
REPCO NEX มีความร่วมมือทางธุรกิจกับพาร์ตเนอร์ระดับโลก เช่น AVEVA (อาวีวา) ผู้นำด้านวิศวกรรมและซอฟต์แวร์ระดับโลก ในการบูรณาการเทคโนโลยีการปฏิบัติงาน (Operational Technology: OT) เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT) และ ในการพัฒนาศูนย์บริหารจัดการข้อมูลด้านการปฏิบัติงานและการดูแลรักษาโรงงานแบบเรียลไทม์ ด้วยเอไอและแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Unified Operations Center Solutions) หรือใช้วิธีเข้าซื้อบริษัทที่พัฒนาโซลูชัน นำมาเชื่อมต่อกับนวัตกรรมของบริษัท เสนอเป็นโซลูชันแบบครบวงจรให้กับลูกค้า
“สิ่งสำคัญที่ทำให้บริการของเราแตกต่างคู่แข่ง คือ การยกระดับการ Predictive ที่ทำได้แค่ทำนายหรือคาดการณ์ความผิดปกติไปสู่ระดับ Prescriptive ที่สามารถวิเคราะห์และให้แนวทางแก้ไข เหมือนแพทย์ที่ออกใบสั่งยาได้ ทำให้เราเป็นผู้ให้บริการภาคอุตสาหกรรมที่ครบวงจร ทั้งการให้บริการทั่วไป และบริการเฉพาะทางในการแก้ปัญหา”
บทบาทต่อ Inclusive Green Growth
เอสซีจีซีให้ความสำคัญเกี่ยวกับ Inclusive Green Growth ต่อประเด็นการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ โดยนำโซลูชันดิจิทัลมาปรับปรุงกระบวนการผลิตในองค์กรให้เดินได้ต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพสูง การใช้ดิจิทัลในการลีนระบบทำให้เกิดการใช้อุปกรณ์ที่บริโภคพลังงานน้อยลง เป็นการบริหารการใช้พลังงานในองค์กร เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน โซลูชันเหล่านี้ได้แนะนำให้กับลูกค้าภายนอก ซึ่งการันตีโดยองค์กรเอสซีจีซีว่า เกิดประสิทธิผลจริง
ขณะเดียวกัน เทรนด์เรื่องพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ที่กำลังมาแรง ประกอบกับเอสซีจีซีเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุ่นลอยน้ำสำหรับวางแผ่นโซลาร์บนผิวน้ำ เสนอเป็นบริการร่วมกับ EPC (Engineering, Procurement & Construction) ซึ่งรับดำเนินงานออกแบบก่อสร้าง จัดซื้อ และซ่อมบำรุงโรงงานแบบครบวงจร รวมถึงงานติดตั้งโซลาร์ เซลล์ นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาระบบตรวจติดตามพลังงานทดแทนให้กับโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่แตกแขนงเพิ่มเติม
ก้าวถัดไปของ REPCO NEX
ปัจจุบัน REPCO NEX แบ่งหมวดหมู่การบริการเป็น 4 กลุ่มหลัก ตั้งแต่การออกแบบก่อสร้างงานโครงการในลักษณะ EPC การให้บริการเซอร์วิสโซลูชันสำหรับภาคอุตสาหกรรม การปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ยุคดิจิทัลและการสนับสนุนความยั่งยืนผ่านธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
คุณมงคล กล่าวว่า “เป้าหมายในอนาคตของ REPCO NEX คือ การเป็น Industrial Service Solution Provider ที่ลูกค้านึกถึงเมื่อประสบปัญหาด้านการจัดการอุตสาหกรรมหรือเมื่อต้องการพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัล มาช่วยยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมให้เกิดประสิทธิภาพในวิถีที่ยั่งยืน”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
5 สิ่งที่จะได้จากการทำ Data Governance