Share on
×

Share

ส่องภารกิจ “AIEAT” ปลดล็อกสตาร์ตอัพ AI ดันไทยสู่ผู้นำปัญญาประดิษฐ์อาเซียน

กว่า 3 ปี ของการก่อตั้ง สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) นำธงโดย ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ผู้ก่อตั้งและดำรงตำแหน่งนายกติดต่อกันสองสมัย ยังคงเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศ ผ่านการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมธุรกิจผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ AI ไทย พร้อมผลักดันไทยสู่ผู้นำปัญญาประดิษฐ์แห่งอาเซียน

“ศ.ดร.ธนารักษ์ ธีระมั่นคง อาจารย์ผู้สอนผมด้านปัญญาประดิษฐ์ที่สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นนายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) เปรยว่า AIAT เป็นองค์กรที่ทำได้ดีในเรื่องการสอน การพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพราะสมาชิกส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ แต่ขาดกลุ่มผู้ประกอบการมารองรับให้พวกเขามีงานทำเมื่อเรียนจบ จึงชักชวนลูกศิษย์ที่ทำธุรกิจสตาร์ตอัพ AI เช่น ตัวผมซึ่งทำบริษัท iApp Technology พี่กล้า (กล้า ตั้งสุวรรณ) ซีอีโอ บริษัท ไวซ์ไซท์ (Wisesight) มาช่วยกันตั้ง AIEAT ปัจจุบัน มีสมาชิกรวมทั้งหมด 65 บริษัท สมาชิกซึ่งเป็นที่รู้จักในตลาด เช่น ไวซ์ไซท์ บอทน้อย บิทคับ เป็นต้น ” ดร.กอบกฤตย์ กล่าว

ทั้งนี้ AIAT ทำหน้าที่หลักในการสร้างทาเลนต์ ส่วน AIEAT รับไม้ต่อในการทำให้เกิดสตาร์ตอัพ AI ให้มากที่สุด เพราะคนที่ทำด้าน AI ส่วนใหญ่เป็นวิศวกรที่อาจไม่สันทัดวิธีการทำธุรกิจ รวมถึงมีบทบาทปรับแก้อินฟราสตัรคเจอร์ การพัฒนาโมเดลเอไอภาษาไทยที่เป็นโอเพ่นซอร์ส ซึ่งทุกคนสามารถนำไปปรับปรุงต่อยอดได้

“ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร” จากเด็กติดเกม สู่นักพัฒนา AI แห่ง iApp Technology

มุมมอง AIEAT ต่อภูมิทัศน์สตาร์ตอัพ AI ไทย

ผลสำรวจของ AIEAT เมื่อปี 2565 พบสตาร์ตอัพ AI ในประเทศไทยรวม 129 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในระยะเริ่มต้น (Seed Stage) ยอดการระดมทุนรวมอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ส่วนในปี 2567 คาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 กว่าราย โดยเป็นตัวเลขที่นับเฉพาะผู้เริ่มก่อตั้งธุรกิจเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ได้นับรวมกลุ่มบริษัทที่ก่อตั้งมานานและหันมาจับธุรกิจนี้ ขณะเดียวกัน การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ของไทยที่มาเป็นอันดับหนึ่ง คือ เรื่องบิ๊กดาต้า การวิเคราะห์ข้อมูลที่แสดงผลด้วยภาพ (Visualization) หรือในหน้าจอเดียว (Dashboard) คิดเป็น 15% รองลงมาเป็นด้านภาษา เช่น แชตบอต และหุ่นยนต์ ซึ่งมีสัดส่วนพอ ๆ กัน

ส่วนการเติบโตของสตาร์ตอัพ AI ไทย ซึ่งอาศัยการเทียบเคียงจากรายได้ผลประกอบการของสมาชิกสมาคมทั้ง 65 ราย ถือว่ามีอัตราเติบโตอย่างรวดเร็วเฉลี่ย 35% ต่อปี

“ธุรกิจ AI ไทยถือว่าบูมขึ้นจากปีก่อน ๆ ในอดีตเราใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยการตัดสินใจ แต่การเกิดขึ้นของ Generative AI หรือกระทั่ง Discriminative AI ที่สามารถต่อยอดไปเป็นอะไรได้หลายอย่าง ทำให้ AI สามารถช่วยเราร่างจดหมาย ร่างงานเขียนเชิงสร้างสรรค์ การพัฒนา AI ที่เคยอยู่ในขั้นทดลองในปีที่ผ่านมา ถูกนำมาใช้จริงในการสนับสนุนลูกค้า หรือแทรกอยู่ในกระบวนการปฎิบัติงานของบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นในปีนี้ ทำให้เกิดยูสเคสจำนวนมหาศาล เกิดสตาร์ตอัพมากมายเพื่อตอบโจทย์”

ปัจจุบัน เทคโนโลยี AI ถูกสอดแทรกอยู่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตและกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กรมากขึ้น เช่น ไวซ์ไซท์ ได้พัฒนาเครื่องมือ AI ในการทำ Social Media Monitoring เพื่อประเมินอารมณ์ความรู้สึกของผู้สื่อสารจากการแยกแยะข้อความที่โพสต์บนอินเทอร์เน็ต แพลตฟอร์มเอไอ CIRA CORE ในรูปแบบ Low-Code AI พัฒนาโดย รศ.ดร.ศิริเดช บุญแสง จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อใช้ในการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ

เมื่อประเมินจากธุรกิจของสมาชิกทั้ง 65 ราย พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ B2B ที่เน้นการนำ AI ไปใช้ลดต้นทุน สร้างความแม่นยำทางธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แล้วแต่ว่าจะเป็นการพัฒนาในหมวดหมู่ใด เช่น การพัฒนาโมเดลภาษา เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล หรืออื่น ๆ เพราะ B2C ทำตลาดค่อนข้างยาก ที่พอเป็นไปได้ เช่น การทำ Text to Speech

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุดของสตาร์ตอัพทั้ง B2B และ B2C ไทย คือ การพัฒนาเอไอ แชตบอตด้านภาษา โดยเฉพาะ LLM ที่เป็น Generative AI ดร.กอบกฤตย์ ให้ความเห็นว่า ไทยค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านภาษาทั้งการพัฒนาภาษาไทย และควรต่อยอดไปยังภาษาในภูมิภาคเดียวกัน เช่น ลาว พม่า เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย เป็นต้น เพื่อก้าวสู่ผู้นำ AI ด้านภาษาของอาเซียน ซึ่งน่าจะสร้างความได้เปรียบมากกว่ากว่าการพัฒนา AI Vision ในการแยกแยะหรือจดจำใบหน้าที่ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่างประเทศจีนได้เลย เนื่องจากรัฐบาลจีนสนับสนุนให้นำช้อมูลประชากรของประเทศไปใช้ในการฝึก AI

“สตาร์ตอัพ AI ไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังไม่มีบริษัทไหนที่เป็นแชมเปี้ยน หรือทำ AI อย่างจริงจัง แล้ว IPO ได้สำเร็จ เพราะหากเกิดขึ้นได้ จะเป็นฐานในการสร้างงานและสร้างคน เท่าที่เห็นตอนนี้น่าจะมีแค่ไวซ์ไซท์ ที่ทำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AIซึ่งพยายาม IPO มา 2-3 ปี แต่ยังไม่สำเร็จ”

ทุน-บุคลากร-ความเชื่อมั่น คือปัจจัยที่ท้าทาย

เมื่อเส้นทางสตาร์ตอัพ AI ไทยยังต้องเผชิญความท้าทายหลายประการ

เรื่องแรกที่สำคัญมาก ๆ  คือ การขาดความเชื่อมั่นในคุณภาพ AI ฝีมือคนไทยเมื่อต้องวัดฝีมือกับต่างประเทศ ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ไทยยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานด้าน AI ที่ชัดเจน ตัวเลขวัดผล (Benchmark) เช่น ความแม่นยำของ AI ที่ควรมากกว่า 95% มักถูกเก็บเป็นความลับทางการค้าแทนที่จะเปิดเผยออกมาเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

เรื่องที่ 2 ไทยไม่มียูสเคสที่มากพอ และการสร้างสิ่งเหล่านี้ต้องใช้กำลังเงิน กำลังคน และกำลังข้อมูล อีกทั้งบริษัทในไทยส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงอินฟราสตรัคเจอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ หรือการอนุญาตให้มีการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก เพื่อนำมาประกอบการสร้างยูสเคสที่นำไปใช้งานได้จริง ซึ่งต้องได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเสียก่อน  

เรื่องที่ 3 การลงทุนของ VC ในบริษัทสตาร์ตอัพ AI ไทยตลอด 10 ปีอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ซึ่งน้อยเกินไป ทำให้การพัฒนา AI ไทยทำได้แค่ระดับ Weak AI ที่มีประสิทธิภาพใช้งานค่อนข้างจำกัด หรือแค่ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้น แต่ไม่สามารถโตไปในระดับสตาร์ต AI ที่เป็น Hard Tech หรือ Deep Tech เช่น การพัฒนาชิป AI ซึ่งยังไม่มีในประเทศไทย

ดร.กอบกฤตย์ ยกตัวอย่างมิติการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น รัฐบาลสิงคโปร์ที่ให้การสนับสนุนเงินทุนจากภาษีที่เก็บได้ราว 52 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (70 ล้านเหรียญดอลลาร์สิงคโปร์) ในการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ให้เป็นอินฟราสตรัคเจอร์ของประเทศ แต่โครงการพัฒนา LLM ภาษาไทย ขอทุนสนับสนุนได้เพียง 3 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (100 ล้านบาท) ถีงแม้ค่าแรงของไทยไม่ได้สูงเท่าสิงคโปร์ แต่ควรจะได้งบสนับสนุนอย่างน้อย 30% ของงบฯ ประเทศสิงคโปร์ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลยังให้การสนับสนุนสตาร์ตอัพ AI ไทยน้อยเกินไป เมื่อมองไปอีก 5 ปี ข้างหน้า ยอดเงินลงทุนด้าน AI ของไทยควรเพิ่มขึ้นประมาณ 10 เท่าของยอด 1,500 ล้านบาท หรืออย่างน้อยประมาณครึ่งหนึ่งชองประเทศสิงคโปร์

ส่วนปัญหาที่สะท้อนจากมิติของนักลงทุนภาคเอกชน ได้แก่ การขาดแรงงานที่มีทักษะด้าน AI จึงไม่มีประโยชน์จะมาลงทุนในไทยเพราะหาคนทำงานไมได้

ความท้าทายเรื่องที่ 4 จึงเป็นเรื่องการขาดแคลนแรงงานมีฝีมือด้าน AI ขาดการพัฒนาทักษะเพื่อสร้างทาเลนต์ รวมถึงทักษะด้าน STEM ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไปต่อได้ยาก และต้องแก้ไขให้เร็วที่สุด

“แม้การสำรวจร่วมกันเมื่อไม่นานมานี้ จะพบว่า ไทยมีวิศวกร AI ราว 3,000 คน โดยนับจากคนที่รับเงินเดือนหรือมีรายได้จากการสร้างหรือพัฒนาโมเดล AI แต่โชคดีที่ไทยผ่านร่างแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย มีคณะขับเคลื่อนร่วมกันจาก 2 สมาคม คือ AIAT และ AIEAT ในการทำงานร่วมกับเนคเทค กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรม (อว.) โดยตั้งเป้าผลิตบุคลากรให้ได้ 3 หมื่นคน”

หนุนโครงการ Accelerator ปั้นแรงงานมีฝึมือ Super Engineer

ภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งของ AIEAT คือ การสนับสนุนผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ AI ไทย ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การจัดงาน “AI Thailand Forum” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ปัญญาประดิษฐ์ไทยให้เป็นที่รู้จัก การสร้างการรับรู้ในตลาดว่า ประเทศไทยมีทูลด้าน AI ที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้ต่างชาติ ตลอดจนเป็นสื่อกลางนำพาลูกค้าและผู้ประกอบการมาพบปะพูดคุย

การจัดทำโครงการ “AIEAT Accelerator” ในระดับที่ช่วยให้ผู้เข้าโครงการสามารถจัดตั้งเป็นบริษัท มีผลิตภัณฑ์สำเร็จ รวมถึงการแนะนำคนในวงการหรือนักลงทุน เพื่อสร้างโอกาสและเพิ่มทางรอดให้กับสตาร์ตอัพ AI มากขึ้น แต่ละปีจะมีบริษัทเข้าร่วมประมาณ 6-7 บริษัท โดยได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจาก AIAT และบริษัทใหญ่ ๆ เช่น SCG ซึ่งยินดีมาร่วมในการฝึกอบรมและเป็นพี่เลี้ยง

“การเป็นสตาร์ตอัพ AI ไม่จำเป็นว่า ต้องคิดเทคโนโลยีที่เป็นคอร์เท่านั้น แค่ปรับแต่งสิ่งที่มีอยู่ เช่น พัฒนาให้เป็นภาษาไทยก็ถือว่าใช้ได้แล้ว เพียงแต่ AI ที่ทดลองทำเล่น ๆ กับ AI ที่ใช้ในธุรกิจนั้นแตกต่างกัน จึงต้องผ่านการประยุกต์ขัดเกลาให้ใช้งานได้จริง“

โครงการ “School” เป็นพื้นที่ ๆ เปิดโอกาสให้สตาร์พอัพที่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ สามารถทำคอร์สฝึกอบรม โดยสมาคมอำนวยความสะดวกเรื่องสถานที่ เรียนเชิญผู้ที่สนใจ และมอบฐานข้อมูลผู้เข้าร่วมงานให้สตาร์ตอัพไปดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีภารกิจในเรื่องการพัฒนาแรงงานมีฝีมือด้าน AI ผ่านโครงการ “Super AI Engineer” โครงการอบรมเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาบุคลากรด้านปัญญาประดิษฐ์ของไทย โดย AIAT ที่ได้งบสนับสนุน 35 ล้านบาท จากกระทรวง อว. ซึ่ง AIEAT ได้เข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่แรกก่อตั้งสมาคมจนถึงปัจจุบันเป็นซีซันที่ 4 โดยผู้ได้รับคัดเลือกต้องผ่านการเรียน การฝึกงาน และเข้าค่ายอบรม รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 6-8 เดือน เมื่อจบโครงการ ผู้รับการอบรมจะมีทักษะในการสร้างโมเดล AI สามารถเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ตอัพ AI หรือทำงานในอุตสาหกรรม AI ได้เลย

“โครงการนี้ทำให้พบคนที่มีแพสชันเรื่อง AI เยอะมาก เพราะเราเปิดรับผู้สมัครทุกช่วงอายุ แต่ส่วนใหญจะเป็นสายฮาร์ดคอร์ เช่น เด็กที่เรียนวิศวกรรมศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ มาสมัครกันมาก ยกตัวอย่างปีนี้มีคนมาสมัครหมื่นกว่าคน แต่รับได้จริงในรอบออนไลน์แค่พันกว่าคน ถึงแม้ว่าจะสามารถผลิตบุคลากรในระดับมืออาชีพเพียง 130 กว่าคนต่อปี แต่ถือว่าเป็นโครงการเรืองธง ยกตัวอย่างนักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ได้รับเหรียญทองแดงเรียนดีเมื่อจบการอบรม สามารถเข้าเรียนต่อคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้โดยไมต้องสอบ เป็นต้น”

ดร.กอบกฤตย์ กล่าวว่า ตัวเลขการผลิตบุคลากรจากโครงการในแต่ละปี เมื่อนับรวมกับบุคลากรที่มีอยู่ในปัจจุบันอีกประมาณ 3,000 คน จะยังน้อย ขณะที่ไทยวางเป้าการพัฒนาบุคลากรเอไอให้ได้ 30,000 คน ภายใน 5 ปีข้างหน้า แต่โครงการนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้น และต้องผลักดันให้มากกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถดึงดูด VC ให้เข้ามาลงทุน หากไทยไม่มีทาเลนต์ ไม่มีแรงงานฝีมือด้าน AI ที่มากพอ

“โครงการนี้ทำให้เราเห็นน้อง ๆ มีความหวังมากขึ้น มีโอกาสที่จะได้ทำสิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นเป็นอย่างดี ขอเพียงภาครัฐสนับสนุนให้มากกว่านี้ เพราะ AI เป็นเมกะเทรนด์ที่ใหญ่จริง ๆ และกำลังพาเราก้าวไปสู่ยุคใหม่ ถ้าไทยสามารถวางตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่ง พื้นที่ของเราพร้อม สตาร์ตอัพพร้อม นักลงทุนก็อยากเข้ามาลงทุน และเราจะได้ประโยชน์เยอะมาก”

ปั้น OpenThaiGPT ชนะเลิศโมเดล LLM ภาษาไทยรุ่นเล็ก

“OpenThaiGPT” โมเดล LLM ภาษาไทย อินฟราสตร์คเจอร์ในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส อีกหนึ่งภารกิจความร่วมมือระหว่าง AIEAT, AIAT และเนคเทค ซึ่งใช้ข้อมูลหลักในการสอนเอไอที่มากที่สุด คือ กว่า 65,000 ล้านคำไทย โดยรวบรวมจากฐานข้อมูลและกระทู้ต่าง ๆ บนพันทิป.คอม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรวม 20 ปี และประมวลผลโดยเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ลันตา (LANTA) ของ สวทช.

ปัจจุบัน OpenThaiGPT เรียกได้ว่า เป็นโอเพ่นซอร์ส ThaiGPT ภาษาไทยรุ่นเล็ก ซึ่งใช้ดาต้าในการเทรนเอไอ 70 พันล้านพารามิเตอร์ที่สมบูรณ์และเก่งที่สุด เมื่อเทียบกับโมเดล ChatGPT สำหรับภาษาไทยยี่ห้ออื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน เช่น GPT-3, Gemini, Claude 3, SCB 10X เป็นต้น โดยผลการวัดคะแนน Benchmark ด้วยข้อสอบภาษาไทยชุดเดียวกัน เช่น ข้อสอบ A Level TGAT TPAT โอเน็ต ม.3 โอเน็ต ม.6 ข้อสอบให้คำแนะนำการลงทุนของ กลต. ข้อสอบของเฟซบุ๊ก และข้อมูลอื่น ๆ ในการประเมินขีดความสามารถ อาทิ ความฉลาดของ AI เมื่อต้องสื่อสารกับมนุษย์ ความเข้าใจภาษาไทยและการเลือกคำตอบได้ถูกต้อง การคิดวิเคราะห์ ความเข้าใจบริบทของภาษา และการเลือกใช้คำที่สละสลวยในการตอบคำถาม เป็นต้น ซึ่ง OpenThaiGPT ได้ค่าเฉลี่ย 55.87% สูสีกับ GPT-3.5 ของบริษัท OpenAI ขณะที่ GPT-3 ภาษาไทยได้ 43.07% Claude 3 ของ Anthropic ได้ 50% และเอาชนะ Gemini โมเดลรุ่นเล็กของกูเกิล

“ข้อดี คือ นักพัฒนา AI ไทยมีเครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น สามารถดาวน์โหลดใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ที่สำคัญ คือ มีความมั่นคงทางข้อมูลมากขึ้น ตรงที่ไม่ต้องอัปโหลดข้อมูล คำถาม ไฟล์ต่าง ๆ ออกไปนอกประเทศ ความมั่นคงทางเทคโนโลยี (Sovereign AI) ในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์โดยใช้ข้อมูลหรือทรัพยากรที่ไหลเวียนอยู่ในประเทศของเราเอง”

ดร.กอบกฤตย์ กล่าวว่า ธุรกิจหลายรายนำ OpenThaiGPT ไปใช้พัฒนาบริการผ่าน API เช่น บริษัท Float16.Cloud นำไปพัฒนา Generative AI ภาษาไทย อย่างบริษัท iApp เอง นำไปใช้เป็นตัวตั้งต้นพัฒนาน้องทนอย (Thanoy) สอนให้เป็น AI ที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ส่วนบอทน้อยได้นำไปพัฒนา AI แชตบอตในการตอบแชต ตอบโจทย์การใช้งานทางธุรกิจ  การนำไปพัฒนาระบบ Call Center ให้เกิดประสิทธิภาพในองค์กรธุรกิจทั่วไปและบริการภาครัฐ

เป้าหมายผู้นำปัญญาประดิษฐ์ของอาเซียน

สำหรับบทบาทในเชิงนโยบาย คือ การเป็นตัวแทนพูดคุยกับรัฐบาล การเข้าร่วมเป็นกรรมาธิการด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐสภา ร่วมวางนโยบายด้านปัญญาประดิษฐ์ให้กับรัฐบาล ตลอดจนอยู่ในคณะขับเคลื่อนปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ซึ่งนำโดยเนคเทค

“ไทยยังไม่มีเจ้าภาพเรื่อง AI ซึ่งในความเห็นของผมคิดว่า ควรจัดตั้งเป็นกระทรวง AI เพราะ AI เป็นเมกะเทรนด์ เป็น The Next Big Thing ที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราในอนาคต และประเทศไทยไม่ควรตกขบวน เหมือนที่เคยพลาดในยุคการพัฒนาโปรแกรมค้นหา Search Engine หรือการสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์”

ขณะที่เป้าหมายสูงสุดของ AIEAT คือ การผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ของอาเซียน ซึ่งหากมองความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล (AI Government Readiness) ไทยอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน เป็นรองแค่ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ แต่ถ้าเป็นสมรภูมิธุรกิจยังตอบยากเพราะการแข่งขันดุเดือด แต่สมาคมพยายามทำเต็มที่เพื่อให้ประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งหรืออันดับที่ดีขึ้น

“อยากเชิญชวนผู้ที่สนใจอยากทำธุรกิจสตาร์ตอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ สามารถติดต่อกับทางสมาคมได้ เพราะเรายินดีช่วยและช่วยได้จริง ๆ เพราะคนที่ทำสตาร์ตอัพจะมีความเครียดจึงอยากให้มาแบ่งเบาความเครียดกันที่นี่ มาช่วยเหลือกันเพื่อให้ธุรกิจสตาร์ตอัพ AI ไทยไปต่อได้อย่างแข็งแกร่ง” ดร.กอบกฤตย์ กล่าวในที่สุด

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

วารีกุญชร ‘บพข.’ นำสตาร์ตอัพไทยเปิดตลาดโลก

KX เปิดตัว 27 นวัตกรรม โครงการ TECHBITE ลุยตลาดโลก

×

Share

ผู้เขียน