Share on
×

Share

SEO ในยุค AI: ทำไม SEO ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไข Brand Damage

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัล หลายคนอาจตั้งคำถามว่า SEO หรือ Search Engine Optimization ยังคงมีความสำคัญอยู่หรือไม่? คำตอบคือ “ใช่” อย่างแน่นอน! SEO ไม่เพียงแต่ยังคงมีความสำคัญ แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างและรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเช่นนี้

ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในการค้นหาข้อมูลมากขึ้น SEO จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถควบคุมและจัดการข้อมูลที่ปรากฏในผลการค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ Brand Damage หรือความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ SEO จะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูชื่อเสียงของแบรนด์ให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

The Sotry Thailand จะพาไปพูดคุยกับ ปภาดา อมรนุรัตน์กุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ & SEO และ กรรมการบริหาร บริษัท อัพเลเวลโกล จำกัด ว่า SEO ยังคงมีความสำคัญอย่างไรในยุค AI และ SEO มีบทบาทอย่างไรในการแก้ไขปัญหา Brand Damage เพื่อให้แบรนด์ของคุณสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของการค้นหาและสร้างความสำเร็จในโลกดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน 

บทบาท SEO กับการสร้างและรักษาชื่อเสียงที่ดีของแบรนด์ (Brand Reputation)

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน สื่อออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เกิด “ร่องรอยดิจิทัล” หรือ Digital Footprint ที่อาจส่งผลกระทบต่อแบรนด์ที่ถูกกล่าวถึง ทั้งในแง่บวกและลบ

สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์หรือเพิ่มยอดขายโดยไม่ต้องลงทุนมหาศาลกับค่าโฆษณารายเดือน การทำ SEO (Search Engine Optimization) จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม SEO มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างการรับรู้แบรนด์ โดยช่วยให้เว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ของเราปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาใน Google เมื่อผู้ใช้ค้นหาด้วยคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้า แบรนด์ หรือสิ่งที่พวกเขาสนใจ

การปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหานี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำในตลาดนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น หากต้องการหาผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ในปีนี้ อาจค้นหาด้วยคำว่า “รับทำ SEO 2567” ซึ่งบริษัทที่ปรากฏในอันดับแรกของผลการค้นหาย่อมได้รับความเชื่อถือและความมั่นใจในศักยภาพการทำงานจากผู้ใช้อย่างเป็นธรรมชาติ

“การสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์เป็นกลยุทธ์สำคัญในยุคดิจิทัล ผู้คนมักใช้วิธีการหลากหลาย เช่น การทำคลิปวิดีโอแนะนำตัว หรือนำเสนอความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การปรากฏในอันดับต้นของผลการค้นหา Google มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ดิจิทัล ตัวอย่างเช่น การค้นหาคำว่า “สวย รวย เก่ง ฉลาด” อาจนำไปสู่ประวัติของ “เปิ้ล” สะท้อนภาพลักษณ์ที่ต้องการนำเสนอต่อสาธารณะ”

การปรากฏในอันดับต้นของผลการค้นหาไม่เพียงช่วยสร้างการรับรู้ แต่ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัทและแบรนด์ อย่างไรก็ตาม หากผลการค้นหาแสดงข่าวในแง่ลบหรือการวิพากษ์วิจารณ์ ก็อาจส่งผลเสียอย่างกว้างขวางเช่นกัน ดังนั้น การทำ SEO จึงเป็นดาบสองคม สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้ แต่ในขณะเดียวกัน หากมีข้อมูลในแง่ลบเกี่ยวกับแบรนด์ ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากได้เช่นกัน

“การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยทั้งปัจจัยภายใน (On-page factors) และปัจจัยภายนอก (Off-page factors) ปัจจัยภายในครอบคลุมถึงโครงสร้างเว็บไซต์และคุณภาพของเนื้อหา ในขณะที่ปัจจัยภายนอกเน้นที่การสร้างลิงก์คุณภาพ” 

“น้ำดีไล่น้ำเสีย” กลยุทธ์ใช้ SEO เพื่อลดผลกระทบของข้อมูลเชิงลบ

ในกรณีที่แบรนด์เผชิญกับปัญหาข้อมูลเชิงลบบนผลการค้นหา ปภาดา กล่าวว่า กลยุทธ์ “น้ำดีไล่น้ำเสีย” เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ โดยการสร้างเนื้อหาเชิงบวกและมีคุณภาพเกี่ยวกับแบรนด์ เพื่อแทนที่ข้อมูลที่สร้างความเสียหาย แม้ว่าเราไม่สามารถลบข้อมูลเหล่านั้นออกจากระบบได้โดยตรง แต่เราสามารถผลักดันให้มันลงไปอยู่ในอันดับที่ต่ำลงจนยากต่อการค้นพบได้

อย่างไรก็ตาม การสร้างเนื้อหาเชิงบวกเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การให้ความสำคัญกับปัจจัยภายนอก (Off-page) โดยเฉพาะการสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ ก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กันในการยกระดับอันดับการค้นหาและเสริมสร้างภาพลักษณ์ออนไลน์ของแบรนด์ การผสมผสานกลยุทธ์ทั้งสองส่วนนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการชื่อเสียงออนไลน์ได้อย่างครอบคลุมและยั่งยืน

การทำ Off-page SEO คือการสร้าง Backlink คุณภาพให้กับเนื้อหาเชิงบวก เพื่อยกระดับอันดับการค้นหาให้สูงขึ้น ทั้งนี้ สำคัญที่ต้องเข้าใจว่า SEO ไม่จำกัดอยู่แค่เว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสื่อออนไลน์อื่น ๆ เช่น รูปภาพ, โซเชียลมีเดียอย่าง Facebook หรือ X (Twitter), และแม้แต่กระทู้บนเว็บบอร์ดอย่างพันทิพย์ ทั้งหมดนี้สามารถปรับแต่งเพื่อติดอันดับ SEO ได้ 

“ในนบรรดาสื่อออนไลน์ทั้งหมด เว็บไซต์ถือเป็นสื่อที่ง่ายที่สุดในการทำให้ติดอันดับด้วย SEO บน Google แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นสื่อที่ยากที่สุดในการลดอันดับลงด้วยเช่นกัน” ปภาดา กล่าว

SEO กับ Brand Damage Solution

การจัดการกับรีวิวเชิงลบที่ปรากฏในผลการค้นหา Google เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง หากเนื้อหาเชิงลบนั้นได้ติดอันดับบน Google แล้ว ก็จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์การจัดการชื่อเสียงออนไลน์ที่ซับซ้อนมากขึ้น

ในบางกรณีอาจเกิดจากการโจมตีหรือใส่ร้ายจากคู่แข่งทางธุรกิจ ซึ่งหากสื่อเหล่านั้นติดอันดับผลการค้นหาบน Google ก็อาจจำเป็นต้องใช้บริการ Brand Damage Solution เพื่อลดอันดับเนื้อหาที่สร้างความเสียหายเหล่านั้น

ปภาดา กล่าวว่า การจัดการกับความเสียหายต่อแบรนด์บนผลการค้นหา Google นั้นเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลที่สร้างปัญหาติดอันดับสูงในผลการค้นหา การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ SEO ที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพ 

หนึ่งในวิธีการที่มีประสิทธิภาพคือการสร้างและเผยแพร่เนื้อหาเชิงบวกเกี่ยวกับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงจำนวน 10 รายการ เพื่อผลักดันให้ข้อมูลที่สร้างปัญหาตกไปอยู่ในหน้าที่ 2 หรือ 3 ของผลการค้นหา ซึ่งผู้ใช้มักไม่ค่อยเข้าถึง วิธีนี้ต้องอาศัยความพยายามอย่างมากในการสร้างและปรับแต่ง SEO สำหรับเนื้อหาทั้ง 10 รายการ

อีกประเด็นที่ท้าทายคือการจัดการกับ Backlink ในบางกรณี มีผู้ใช้วิธีการ “ยิงถล่ม” Backlink ไปยังเนื้อหาที่สร้างปัญหา โดยหวังให้ Google มองว่าเป็น Spam แล้วนำเนื้อหาที่สร้างปัญหานี้ ลดอันดับลงไป แต่วิธีนี้ เป็นดาบสองคม หากทำไม่ถูกต้อง อาจส่งผลให้อันดับของเนื้อหานั้นแข็งแกร่งขึ้นแทน ที่สำคัญ ผลลัพธ์ของวิธีนี้มักไม่ยั่งยืน โดยเนื้อหาที่สร้างปัญหามักจะกลับมาติดอันดับเดิมภายใน 3-6 เดือน และมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้น การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องใช้วิธีการที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง สำหรับผู้ที่ประสบปัญหาการถูกโจมตีหรือใส่ร้ายบนโลกออนไลน์จนติดอันดับใน Google ควรรีบดำเนินการแก้ไขโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้สามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยเฉพาะในกรณีที่เคยมีการใช้วิธีการยิงถล่ม Backlink มาก่อน ซึ่งอาจทำให้การแก้ไขปัญหายากขึ้น

มาตรวัดความสำเร็จของแคมเปญ SEO

มาตรวัดความสำเร็จของแคมเปญ SEO ที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูภาพลักษณ์แบรนด์ มีอยู่ 2  ประการสำคัญ คือ 1. การปรับปรุงอันดับคำค้นหาเชิงลบให้หลุดจากหน้าแรกของผลการค้นหา หรือหายไปจากผลการค้นหาโดยสิ้นเชิง และ 2. การเพิ่มขึ้นของเนื้อหาเชิงบวกที่นำเสนอภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ในอันดับที่ดีขึ้น 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนและพบเจอบ่อยครั้ง คือ กรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในร้านอาหารหรือโรงแรม เช่น พบสิ่งแปลกปลอมในอาหาร แล้วลูกค้าผู้ใช้บริการนำเรื่องราวไปโพสต์ลงในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น Pantip, Facebook หรือ X (Twitter เดิม) ทำให้ผลการค้นหาเกี่ยวกับร้านหรือโรงแรมนั้น ๆ แสดงข้อมูลเชิงลบเหล่านี้ในอันดับต้น ๆ ส่งผลให้ลูกค้าจำนวนมากไม่กล้าใช้บริการและรายได้ลดลงอย่างมาก

การแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย SEO สามารถทำได้โดยการปรับปรุงอันดับของข้อมูลเชิงลบเหล่านี้ให้ตกลงไปอยู่ในหน้าที่ไกลออกไป เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนมักจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ และเมื่อทำการค้นหา ก็จะไม่พบข้อมูลเชิงลบเหล่านี้อีกต่อไป ทำให้ยอดขายและภาพลักษณ์ของแบรนด์ดีขึ้นตามลำดับ

“บางครั้งจะเป็นเรื่องเก่าที่ได้รับการแก้ไขไปแล้ว แต่ข้อมูลเชิงลบเหล่านี้อาจยังคงติดอันดับการค้นหาอยู่ การแก้ไขปัญหานี้ด้วยการปรับอันดับของข้อมูลเชิงลบให้ลดลง ก็สามารถช่วยปรับปรุงภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดีขึ้นได้ทันที”

สำหรับการเพิ่มขึ้นของเนื้อหาเชิงบวกที่นำเสนอภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ในอันดับที่ดีขึ้น การใช้ SEO เพื่อสร้าง Thought Leadership เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญในการฟื้นฟูภาพลักษณ์แบรนด์ ซึ่งเป็นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ สร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นลูกค้าเข้ามาหาแบรนด์ เมื่อเนื้อหาดี ๆ ของแบรนด์ปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา 

การฟื้นฟูภาพลักษณ์แบรนด์ด้วย SEO เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ การวัดผลความสำเร็จอย่างต่อเนื่องผ่านตัวชี้วัดต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม และนำไปสู่การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและยั่งยืนให้กับแบรนด์ในที่สุด

การสร้างเนื้อหาเชิงบวกอย่างสม่ำเสมอผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ บล็อก โซเชียลมีเดีย และสื่อต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ และลดทอนผลกระทบจากข้อมูลเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นได้ 

ปภาดา กล่าวว่า เคล็ดลับที่ไม่ลับในการใช้ SEO เพื่อป้องกันและลดความเสียหายต่อแบรนด์ คือการหมั่นสำรวจและเฝ้าระวังข้อมูลที่อาจสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับแบรนด์อย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถทำได้ผ่านการค้นหาด้วยคำหลักที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ รวมถึงการใช้เครื่องมือ Social Listening ที่ช่วยติดตามความคิดเห็นและการพูดถึงแบรนด์บนโลกออนไลน์ นอกจากนี้ การตั้งค่า Google Alerts ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ได้รับการแจ้งเตือนเมื่อมีเนื้อหาใหม่ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ปรากฏขึ้น

จาก SEO สู่ AEO

ผู้คนยังคงนิยมค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine อยู่ แต่รูปแบบของ SEO จะเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ในอนาคตอันใกล้นี้ การแสดงผลการค้นหาจะเปลี่ยนไปเป็นการให้คำตอบโดยตรงตามความต้องการของผู้ค้นหา โดยอาศัยเทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์และสรุปข้อมูล ทำให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบที่ตรงใจและรวดเร็วมากขึ้น ระบบนี้เรียกว่า “Answer Engine” และส่งผลให้การทำ SEO เปลี่ยนไปเป็น “AEO” หรือ Answer Engine Optimization

แม้ว่า SEO และ AEO จะมีหลักการคล้ายกัน คือการปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับผลการค้นหา แต่ AEO จะให้ความสำคัญกับ “เนื้อหา” มากกว่า “อันดับ” ในผลการค้นหา เนื่องจาก AI จะเรียนรู้จากเนื้อหาเพื่อนำเสนอคำตอบที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้

การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลให้รูปแบบของผลการค้นหาเปลี่ยนจาก SERP (Search Engine Results Page) ไปเป็น CHERP (Chat Experience Results Page) ซึ่งเน้นการแสดงคำตอบที่รวบรวมและวิเคราะห์โดย AI มากกว่าการแสดงผลเป็นอันดับต่างๆ

นอกจากนี้ AEO ยังช่วยจัดการกับปัญหาเว็บไซต์ปั่น เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาซ้ำซ้อนและไม่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของ Search Engine ในปัจจุบัน ทำให้ผลการค้นหามีความน่าเชื่อถือและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้มากยิ่งขึ้น

“ผู้ที่ทำ SEO ควรปรับตัวและเรียนรู้เกี่ยวกับ AEO เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และยังคงสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

จากการมาของ Answer Engine เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง Google ยังคงพัฒนาและทดลองฟีเจอร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ การไม่หยุดเรียนรู้จะช่วยให้นัก SEO สามารถปรับตัวและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

“การทำความเข้าใจ Google SGE ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ผสานรวม Search Engine และ Answer Engine เข้าด้วยกัน ก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อหาและการตอบสนองต่อ User Intent ที่แม่นยำ เพื่อให้ AI สามารถเข้าใจและนำเสนอเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง”

ในยุคของ Answer Engine เนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้จะมีความสำคัญมากขึ้น นัก SEO ควรเน้นการสร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ น่าเชื่อถือ และมีความครอบคลุม เพื่อให้ AI สามารถเข้าใจและนำเสนอเนื้อหาของเราได้อย่างถูกต้อง 

นอกจากนี้ การเรียนรู้เกี่ยวกับ AI และ Machine Learning จะช่วยให้เข้าใจกลไกการทำงานของ Answer

Engine และสามารถปรับกลยุทธ์ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก Google กำลังให้ความสำคัญกับ Voice Search และ Short Video มากขึ้น เพราะ AI Google สามารถเรียนรู้ คำสั่งเสียง และ เนื้อหาภายใน Video ซึ่ง SEO ในวันข้างหน้า ต้องมีการนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลง

สุดท้าย การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ User Intent เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์และดึงดูดผู้ใช้ นัก SEO ควรเรียนรู้วิธีการวิเคราะห์ User Intent และนำมาปรับใช้ในการสร้างเนื้อหาและกลยุทธ์ SEO เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างตรงจุด

เกาะติดเทคโนโลยีใหม่เสริมการใช้งาน SEO ให้ดีขึ้น

ปภาดา กล่าวว่า ในงาน Google I/O ที่ผ่านมา Google ได้เปิดเผยถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี AI ที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น Bard,Project Astra, AI Overviews และ LaMDA 2 ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Google ในการพัฒนา AI เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้

สิ่งที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือ AI Overviews ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ใน Google Search ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเชิงลึกได้อย่างครบถ้วน นี่แสดงให้เห็นว่า Google กำลังพยายามผสานรวมระบบ Answer Engine และ Search Engine เข้าด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์การค้นหาที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้

Google SGE (Search Generative Experience) เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสานรวมนี้ โดย SGE เน้นการนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพและหลอมรวมการทำงานของ Search Engine และ Answer Engine เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่ง Google ได้เริ่มเปิดตัว SGE ตั้งแต่ปลายปี 2023 และคาดว่าจะพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในอนาคต

SEO จะยังคงมีความสำคัญต่อไป แม้ในยุคที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะ การค้นหา ยังคงเป็นพฤติกรรมพื้นฐานของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในการเข้าถึงข้อมูลและบริการต่าง ๆ แม้ว่ารูปแบบของการค้นหาอาจเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี แต่ความต้องการในการค้นหาข้อมูลยังคงอยู่ ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้นเท่าใด ข้อมูลบนโลกออนไลน์ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้การค้นหาข้อมูลที่ต้องการท่ามกลางข้อมูลมหาศาลเป็นเรื่องยากลำบากมากขึ้น SEO จึงยังคงมีความสำคัญในการช่วยให้เว็บไซต์และเนื้อหาต่าง ๆ สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้ง่ายและตรงกับความต้องการของพวกเขา

ปภาดา กล่าวว่า แนวทางการเขียน Content SEO เพื่อรองรับ AI ในอนาคตมีดังนี้

  1. เน้น Long-tail Keywords: การใช้ Long-tail Keywords ที่มีความเฉพาะเจาะจงและละเอียดมากขึ้น จะช่วยให้เนื้อหาสามารถตอบคำถามของผู้ใช้ได้ตรงจุดและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรองรับการทำงานของ AI ในการค้นหาและนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้อง (SGE Keywords)
  2. รูปแบบถาม-ตอบ (FAQ/Q&A): เนื้อหาที่นำเสนอในรูปแบบคำถาม-คำตอบ จะช่วยให้ AI เข้าใจโครงสร้างของเนื้อหาได้ง่ายขึ้น และสามารถนำข้อมูลไปตอบคำถามของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  3. เนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ (EEAT): เนื้อหาที่ได้รับการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ในสาขานั้นๆ จะมีความน่าเชื่อถือและมีคุณค่ามากขึ้นในสายตาของ AI ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจัดอันดับและการนำเสนอเนื้อหาในผลการค้นหา
  4. Case Study และ Success Case (EEAT): การนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบ Case Study หรือ Success Case จะช่วยให้ผู้ใช้เห็นภาพและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแบรนด์อีกด้วย
  5. รีวิวและการเปรียบเทียบ (EEAT): เนื้อหาที่เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ จะช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และเป็นเนื้อหาที่ผู้ใช้มักค้นหา ทำให้มีโอกาสได้รับความสนใจจาก AI มากขึ้น
  6. ประสบการณ์ผู้ใช้จริง (EEAT): การนำเสนอประสบการณ์ของผู้ใช้จริง จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความเป็นธรรมชาติให้กับเนื้อหา ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ให้ความสำคัญ
  7. VDO, รูปภาพ, Short VDO (Trends): เนื้อหาในรูปแบบวิดีโอและรูปภาพ รวมถึง Short VDO กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก การใช้สื่อเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและดึงดูดผู้ใช้ได้มากขึ้น
  8. เนื้อหาตามกระแส (Trends): การสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับกระแสหรือเทรนด์ต่างๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้ใช้ที่กำลังสนใจในหัวข้อนั้นๆ
  9. เนื้อหาเชิงแนวโน้มและอนาคต (Trends): การนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวกับแนวโน้มหรือเทรนด์ในอนาคต จะช่วยให้แบรนด์ดูทันสมัยและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
  10. เนื้อหาเฉพาะพื้นที่ (HyperLocal SEO): การสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่หรือพื้นที่เฉพาะ จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่นั้นๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับธุรกิจท้องถิ่น

“SEO จะยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจและผู้สร้างเนื้อหาในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างการเติบโตในโลกออนไลน์ต่อไป แม้ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วก็ตาม” ปภาดา กล่าวทิ้งท้ายด้วยความมั่นใจ 

×

Share

ผู้เขียน