Share on
×

Share

ข้อวิตกกังวล “ดิจิทัล วอลเล็ต”

ในที่สุดรัฐบาลเศรษฐา ผลักดันนโยบายแจกเงินชาวบ้าน 50 ล้านคน คนละ 10,000 หมื่นบาทผ่านโครงการ “ดิจิทัล วอลเล็ต” เรียบร้อยโรงเรียนเพื่อไทยไปแล้ว เมื่อสภาผู้แทนราษฏรผ่านความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 กรอบวงเงิน 122,000 ล้านบาท 

ไม่ว่าโครงการนี้จะถูลู่ถูกังยังไง เป้าหมายของรัฐบาล จะต้องผลักดันให้เกิดให้ได้ เพราะเดิมพันด้วยต้นทุนทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยค่อนข้างสูง เศรษฐกิจประเทศจะเป็นอย่างไรก็ตามแม้จะมีเสียงทักท้วงจากหลายฝ่ายโดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทยมาโดยตลอด

ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ชุดใหญ่ ที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำหนังสือถึงนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการดิจิทัล วอลเล็ต แสดงข้อห่วงกังวลต่อการดำเนินโครงการในประเด็นเกี่ยวกับระบบเติมเงินผ่านดิจิทัล วอลเล็ตไว้อย่างน่าสนใจ

อีกทั้งยังกล่าวถึง กรณีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 จำนวน 122,000 ล้านบาท หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดทำและชี้แจงแนวทางดำเนินการที่ชัดเจนในการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้สอดคล้องกับหลักการของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ที่กำหนดให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม กระทำได้เฉพาะเมื่อมีเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายเงินระหว่างปีงบประมาณนั้น โดยไม่สามารถรองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไปได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณจะผ่านสภาฯ “ธนาคารโลก” ได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งเป็นการแจกเงินผ่านดิจิทัล วอลเล็ต คนละ 10,000 บาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาวะเงินเฟ้อตามมา ซึ่งจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำเป็นต้องเลื่อนแผนการลดอัตราดอกเบี้ยออกไป โดยธนาคารโลกประเมินว่า หากไม่มีโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ธปท.จะมีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยได้ถึง 0.50%

นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังมองว่าการที่โครงการดิจิทัล วอลเล็ต มีความไม่แน่นอน และยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า จะเริ่มเมื่อไร หรือมีใครได้รับบ้าง อาจจะเป็นการเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ทำให้การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธปท.อาจไม่เกิดขึ้น เนื่องจากโครงการดิจิทัล วอลเล็ตเปลี่ยนสมดุลของความเสี่ยงจากการเติบโตทางเศรษฐกิจไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ

การประเมินเบื้องต้นของธนาคารโลกวิเคราะห์ว่า โครงการดิจิทัล วอลเล็ตอาจกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 0.5-1% ของ จีดีพี แต่มีต้นทุนมากถึง 2.7% ของจีดีพี ประเทศไทยเลยทีเดียว อีกนัยหนึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าหากรัฐบาลยังเดินหน้าต่อไปอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย

จะว่าไปแล้วตั้งแต่รัฐบาลนายกฯเศรษฐาเข้ามาบริหารประเทศ ธนาคารโลกได้ออกมาเตือนหลาย ๆ เรื่อง แต่ดูเหมือนไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และนักการเงินก็แสดงความเป็นห่วงและทักท้วงกันมาตลอด แต่ดูเหมือนรัฐบาลเศรษฐาจะฟังแต่ไม่ได้ยินเช่นกัน ทำให้ตลอดเวลาเกือบปี รัฐบาลยังสาละวนกับเรื่องดิจิทัล วอลเล็ต

รัฐบาลต้องเสียเวลากับเรื่องนี้มาจนจะครบปียังไปไม่ถึงไหน เฉพาะแค่ที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการชักเข้าชักออกชักออกไม่รู้ว่ากี่เที่ยว 

จากเดิมจะใช้เงิน “งบประมาณ” เปลี่ยนมาเป็นการ ออกพรบ.กู้ยืมเงิน 5 แสนล้านบาท 

พอมีเสียงไม่เห็นด้วยหนักเข้า ต่อมารัฐบาลก็บอกว่าไม่กู้ แล้ว 5แสนล้านบาท จะไปใช้เงินงบประมาณบางส่วนและเฉือนเงินของธนาคารเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส) มาสมทบแทน คาดว่าจะใช้ราว 1.7 แสนล้านบาทเท่านั้น

แต่ก็ต้องเจอตอเบ้อเริ่ม เมื่อกฤษฏีตีความว่าทำไม่ได้ ผิดวัตุประสงค์เงินธกส.ต้องใช้เพื่อเกษตรกรเท่านั้น ขณะที่สหภาพธกส.ออกโรงค้านไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะมาเจียดเงินจากธกส.ไปแจก ต่อมาจึงพลิกอีกครั้งโดยออกมายืนยันว่ายังจะใช้เงินจากงบประมาณประจำปี เหมือนเดิม แต่เป็นการใช้งบกลางปี 2567 แทน

แม้ว่าสุดท้ายสภาฯ จะรับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 กรอบวงเงิน 122,000 ล้านบาทแล้วก็ตาม แต่มีประเด็นที่อยากตั้งคำถาม  

รัฐบาลแน่ใจหรือว่านโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ใส่ลงไป 

แม้จะมีความมั่นใจจาก “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี พ.ศ.2567 ตอนหนึ่งว่า 

“ข้อจำกัดกลไกนี้ ผมยืนยันกับเพื่อนสมาชิกว่า ไม่เคยมีนโยบายรัฐใด ๆ ในอดีตมีค่าตัวคูณทางเศรษฐกิจสูงเท่านโยบายนี้ ด้วยข้อจำกัดที่เราใส่เข้าไปในเรื่องของสินค้าที่ซื้อและซื้อไม่ได้ ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ก็ตาม ทั้งหมดเป็นกลไกที่เติมเข้าไป ด้วยเม็ดเงินที่เติมเข้าไป สามารถมีผลหมุนเวียนในเรื่องเศรษฐกิจได้มากที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้”

ขณะเดียวกันรัฐบาลมั่นใจอย่างไรว่าจะไม่มีการทุจริตในโครงการนี้ เพราะที่ผ่านมาโครงการประชานิยมลักษณะแบบนี้มักจะมีปัญหาเรื่องทุจริตตามมาทุกครั้ง

ยิ่งครั้งนี้ จำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ มากถึง 50 ล้านคน และมีร้านค้าเข้าร่วมจำนวนมาก แอปพลิเคชันที่มาใช้จะมีประสิทธิภาพเพียงพอรองรับหรือไม่และสามาถตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำได้แค่ไหน  

ที่สำคัญรัฐบาลควรแจงต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการการจัดหาเทคโนโลยีมาใช้ในมาตรการนี้เพื่อแสดงความโปร่งใสว่าต้องใช้เงินเท่าไรไม่ใช่คลุมเคลืออย่างทุกวันนี้

×

Share