เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัว “โครงการศูนย์กลางการเงิน (Financial Hub)” พร้อมแสดงปฐกถาว่า จะสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสำคัญด้านการเงินการลงทุน และการธนาคาร ด้วยการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของประเทศไทย และการพัฒนากฎหมายกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง
อีกทั้งยังฝันหวานว่า โครงการนี้จะดึงดูดเงินทุนต่างชาติและผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงมายังประเทศไทย จะทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็น “ศูนย์กลางการเงินระดับโลก” ภายใต้โครงการ Ignite Finance ยังย้ำว่า รัฐบาลไม่เพียงมุ่งหวังที่จะพัฒนาภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยังมุ่งหวังที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยทุกคนอีกด้วย
ต่อมา เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ฉายวิสัยทัศน์การเป็นศูนย์กลางการเงินโลก โดยกล่าวว่า จะเน้นการประกอบธุรกิจหลัก 5 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และธุรกิจประกันภัย
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้รัฐมนตรีช่วยคลังบอกว่าต้องผ่าน 3 กุญแจสำคัญคือ
- กฎหมายที่พร้อมรับอนาคต มีความยืดหยุ่น โปร่งใส เอื้อต่อการประกอบธุรกิจตั้งแต่การขอใบอนุญาต จนถึงการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อขยายบทบาทภาคการเงินของประเทศไทยในเวทีโลก
- สิทธิประโยชน์ในรูปแบบใหม่ การให้วีซ่าทำงานแก่บุคลากรและครอบครัว การจัดเก็บภาษีที่เทียบเท่าศูนย์กลางการเงินอื่น โครงการเงินสนับสนุน (Grant) เพื่อเพิ่มแรงจูงใจ
- ระบบนิเวศแห่งอนาคต จะพัฒนากฎหมายที่เข้มแข็งและโปร่งใส รวมถึงการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เพื่อสนับสนุนธุรกิจและคุณภาพชีวิตของบุคลากร
ทั้งหมดนี้เป็นเพียง “วิสัยทัศน์” ที่ยังไม่มีรายละเอียดว่าจะมีกระบวนการทำงานไปสู่เป้าหมายอย่างไร หรืออาจจะเป็นเพียงความฝันลมๆแล้ง ๆ เหมือนในอดีตที่โปรโมตสารพัดฮับ ฮับการบิน ฮับการเงิน ฮับลงทุน ฮับท่องเที่ยว ฮับโลจีสติกส์ ฮับการศึกษา ฮับอาหาร อีกสารพัด ทำพิธีเปิดตัวโครงการยิ่งใหญ่ เสร็จแล้วก็เงียบหายไป
อย่างไรก็ตาม การที่จะเป็นศูนย์กลางการเงินโลกได้ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ คือ กฎหมายที่ดี มีธรรมาภิบาล และความโปร่งใส จะต้องสังคายนาระบบกฏหมายไทยครั้งใหญ่
ปัจจุบันกฏหมายเป็นอุปสรรคการค้า การลงทุนและการบริการอย่างมากไม่ดึงดูดให้คนมาลงทุน มาทำธุรกิจ ต้องรื้อใหม่ลดขั้นตอนต่าง ๆ ให้เหลือน้อยลง เพื่อให้การทำงานรวดเร็วและไม่เปิดให้ผู้เกี่ยวข้องใช้ดุลพินิจเพราะจะเป็นที่มาของการทุจริตคอรัปชั่น
เดิมทีตอนที่ คสช.ยึดอำนาจใหม่ ๆ ประกาศว่าจะปฏิรูปกฏหมายครั้งใหญ่ ลดความซ้ำซ้อนอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน และภาคธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้ทำ กระทั่ง มีนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน ช่วยกันลงขันสำหรับจ้างนักกฏหมายชื่อดังระดับโลกที่เคยช่วยรัฐบาลเกาหลีใต้และเวียดนามปฏิรูปกฏหมายประสบความสำเร็จมาแล้วเพื่อให้ปฏิรูปกฏหมายไทย
น่าเสียดายที่กลุ่มนักธุรกิจกลุ่มนี้เสนอความคิดนี้ผ่านผู้หลักผู้ใหญ่ ที่ดูแลกฏหมายของรัฐบาลหลายคน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง จนต้องเลิกล้มความตั้งใจไป เป็นอันว่าการปฏิรูปกฏหมายของคสช. ก็แค่โฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นเอง
นอกจากมีกฏหมายดีแล้ว ในการดำเนินการกับผู้กระทำผิดต้องทำอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการฟอกเงิน แหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ หรือภัยคุกคามจากไซเบอร์ รวมถึงเรื่องของความโปร่งใส โดยเฉพาะในตลาดทุนยังมีปัญหาเรื่องความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือสะท้อนจากกรณีหุ้นกู้ ผิดนัดชำระหนี้ จำนวนมาก ตรงนี้ถ้าแก้ไม่ได้ก็จะไม่มีใครเชื่อถือซึ่งความเชื่อถือเป็นหัวใจสำคัญในการเป็นศูนย์การเงินโลก
ที่สำคัญ ทุกวันนี้ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่น้อยตกแต่งบัญชี สร้างงบการเงินเทียม ปั่นหุ้น เป็นต้น แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบกลับไม่ดำเนินการใดๆปล่อยให้ลุกลามใหญ่โต ซึ่งนักลงทุนต่างชาติกังวลในเรื่องธรรมาภิบาลเรื่องความโปร่งใส ของไทยอย่างมาก
ขณะเดียวกันการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับงานที่ดูแลนโยบายการเงินอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ยังไม่เป็นเนื้อเดียวกัน แม้แต่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกาทำหน้าที่ที่ปรึกษากฏหมายของรัฐบาล ก็ขัดแย้งกันบ่อย ๆ
ตรงนี้ทำให้นักลงทุนยิ่งไม่เชื่อมั่นรัฐบาล สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคในการก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินโลกของไทย
เมื่อลองเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางการเงินแห่งเอเซียไปแล้วจะเห็นว่า “ไทยยังห่างชั้นกับสิงคโปร์” ทุก ๆ ด้าน สิงคโปร์ มีทรัพยากรอันมีค่าคือ “ทรัพยากรมนุษย์” ที่ มีความรู้ มีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน มีทักษะ มีความสามารถสูง อีกทั้งสิงคโปร์มีความโดดเด่นด้านการเงินการลงทุนมานานทำให้ขยับฐานะขึ้นเป็น “ศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชีย” อย่างเต็มตัว
ทุกวันนี้ คนสิงคโปร์มีรายได้ต่อหัว 88,000 ดอลลาร์ สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก ขณะที่ คนไทยมีรายได้ต่อหัว 7,800 กว่าดอลลาร์ เท่านั้น สิงคโปร์มีธุรกิจด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่ง ให้กับมหาเศรษฐีทั่วโลกราว 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 87 ล้านล้านบาท) ธนาคารกลางสิงคโปร์ มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 369,000 ล้านดอลลาร์
จะเห็นว่าสิงคโปร์มีความพร้อมทุกด้านที่จะเป็น “ศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชีย” ขณะที่ไทยเราตรงข้ามสิงคโปร์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรมนุษย์ เศรษฐกิจไทยโตช้าที่สุดในอาเซียน ระบบสาธารณูปโภคและระบบนิเวศน์ทางการเงินต่าง ๆ ไม่มีความพร้อมที่จะรองรับการเป็นศูนย์กลางการเงินโลก
ล่าสุด Global Finance จัดอันดับเมืองศูนย์กลางการเงินชั้นนำของโลก 121 แห่งทั่วโลก เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงที่มีคุณค่าสำหรับการตัดสินใจด้านนโยบายและการลงทุน เพราะเป็นการเปรียบเทียบที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลก เกี่ยวกับความสามารถในการแข่งขันของศูนย์กลางการเงินชั้นนำของโลก
ผลสำรวจกรุงเทพฯอยู่อันดับ 93 ของโลก แถมล่วงจากอันดับเดิม 1 อันดับ ขณะที่สิงคโปร์อยู่อันดับ 3 ของโลก ห่างกันลิบลับ ไม่รู้ว่าฝันของ “นายกฯเศรษฐา” จะเป็นจริงหรือแค่ฝันกลางกลางวัน
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
ข้อวิตกกังวล “ดิจิทัล วอลเล็ต”
“ต่างชาติเช่าที่ดิน” บริบทที่ไม่เหมือนเดิม
ตลาดหุ้นไทย … ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น?