Share on
×

Share

อโณทัย เวทยากรภารกิจปั้น IBM เป็นผู้นำ Hybrid Cloud และ AI

หลายคนอาจจะยังติดภาพไอบีเอ็มกับเมนเฟรมหรือระบบขนาดใหญ่ที่มีราคาแพงสำหรับองค์กรใหญ่ๆแต่สำหรับผมไอบีเอ็มคือบริษัทในตำนานที่ผ่านการ transform และ modernized จนเปรียบเสมือนกับ hidden gem”

อโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ไอทีที่อยู่คู่กับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในประเทศไทยมานานกว่า 70 ปี เปรียบดั่งอัญมณีทางเทคโนโลยีที่ถูกซุกซ่อนไว้ หากแต่พร้อมที่จะตอบทุกโจทย์การเปลี่ยนแปลงเพื่อนำพาลูกค้าและพันธมิตรเดินหน้าสู่อนาคตแห่งยุคดิจิทัลอย่างเต็มประสิทธิภาพ

เราต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลไกที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเข้ามาช่วยเติมอาวุธทางเทคโนโลยีแก่องค์กรไทยน้อยใหญ่ให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในตลาดไทยและตลาดโลกนี่คือเป้าหมายส่วนหนึ่งของผม

อัญมณีทางเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ

อโณทัยให้คำจำกัดความของ hidden gem ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาให้มีความทันสมัย (modernized tech) โดยเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของไอบีเอ็ม คือการเป็น catalyst หรือตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อบรรลุเป้าหมายที่อโณทัยบอกเป็นประโยคสั้นๆ แต่มีความหมายมากมายว่า “make the world works better”

การที่จะเป็นแบบนั้นได้บริบทที่หนึ่งคือเรื่องเทคโนโลยีไอบีเอ็มมีสิทธิบัตรมากเป็นอันดับต้นๆของโลกเรามีการวิจัยและพัฒนาเป็นจำนวนมากที่รองรับการทำงานขององค์กรธุรกิจในปัจจุบันเรามีเทคโนโลยี AI ที่ทำมาหลายปีมีระบบ automation ซึ่งเป็นที่ต้องการขององค์กรธุรกิจนี่คือ hidden gem นอกจากนี้ด้าน AI มีเรื่องของ Pervasive AI ที่ไอบีเอ็มมองว่าไม่ควรจำกัดอยู่เฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ที่สามารถลงทุนได้เท่านั้นแต่ควรสร้างความเท่าเทียมให้บริษัทรายย่อยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ด้วย อโณทัย กล่าว 

การเอา hidden gem มานำเสนอในการทำธุรกิจ อโณทัยบอกว่าเทคโนโลยีนั้นต้องสามารถตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าในประเทศไทยให้ความสนใจ 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ AI, automation และ cost optimization

ส่วนแรกคือด้าน AI ไอบีเอ็มมี enterprise AI platform ที่เรียกว่า IBM Watsonxซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม B2B สำหรับลูกค้าองค์กร ส่วนที่สองด้าน automation ซึ่งจะทำงานคู่กันกับ Traditional AI เพื่อช่วยธุรกิจในเรื่องต้นทุน เรื่องการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าไอบีเอ็มมีระบบ automation ครบวงจรที่จะช่วยให้ลูกค้าตอบโจทย์ทางธุรกิจในทุกเซกเตอร์ยกตัวอย่างเรื่อง RPA (Robotic Process Automation) ที่ตอบสนองในเรื่องแรงงานดิจิทัลที่มาแทนคนบางส่วนเพื่อให้กำลังคนโฟกัสกับงานส่วนที่สำคัญกว่าเพื่อลดข้อผิดพลาดเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและได้ผลิตผลที่ดีขึ้น

hidden gem ที่สามเป็นเรื่องของ cost optimization เพื่อตอบโจทย์เรื่องการลดต้นทุน เพื่ออัตราส่วนกำไรต่อรายได้ (margin) ที่มากขึ้น ไอบีเอ็มมี Apptio สำหรับบริหารจัดการต้นทุนด้านไอทีในองค์กร ซึ่งไอบีเอ็มได้เข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่ากว่า 5,000 ล้านเหรียญ เมื่อปี 2566 และบูรณาการเข้ากับไอบีเอ็มแล้ว

ทุกวันนี้การใช้ไฮบริดคลาวด์ในองค์กรมีความซับซ้อนจนบางครั้งไม่รู้ว่าคลาวด์ที่ใช้อยู่มีมากน้อยแค่ไหน Apptio มีซอฟต์แวร์ Optimize Cloud Spending ช่วยจับค่าใช้จ่ายต้นทุนและประสิทธิภาพของแต่ละคลาวด์เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถ optimize และจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมืออื่นๆ ที่พร้อมรองรับความต้องการของภาคธุรกิจ อาทิ IBM Turbonomic ที่ช่วยมอนิเตอร์และจัดการ VM ในองค์กรขนาดใหญ่ให้ใช้งานทรัพยากรได้เต็มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความเสถียรของระบบ

IBM Maximo ช่วยบริหารจัดการสินทรัพย์ขององค์กร เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ในโรงพยาบาล เพื่อป้องกันการสูญหาย ลดการซื้อซ้ำซ้อน ควบคุมงบประมาณ และส่งเสริมความยั่งยืน

IBM Envizi ช่วยองค์กรจัดการข้อมูลด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม รวบรวมข้อมูลจากกิจกรรมต่างๆ เพื่อคำนวณ Carbon Credit ซึ่งสามารถนำไปขายได้ในอนาคต และ Real Estate and Space Management เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยบริหารจัดการทรัพยากรอาคารและสถานที่แบบครบวงจร

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่ลูกค้าให้ความสำคัญซึ่งเป็นสิ่งที่ไอบีเอ็มทำมาทั้งสิ้นเรามีผลิตภัณฑ์มากกว่า 500 SKUs ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กก็ตาม

เป้าหมายสู่ผู้นำ Hybrid Cloud และ AI

เขาให้ความเห็นว่า ไฮบริดคลาวด์ (Hybrid Cloud) เป็นทิศทางที่เหมาะสำหรับการก้าวไปข้างหน้า การที่องค์กรจะพึ่งพา on-premise อย่างเดียว หรือ on-cloud เดียว อาจไม่เพียงพอสำหรับรองรับอนาคต องค์กรจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นและสามารถใช้ประโยชน์จากระบบคลาวด์ทั้งหมดได้อย่างเต็มที่ ซึ่งบริษัทแม่ไอบีเอ็มมีนโยบายมุ่งเป็นผู้นำด้านไฮบริดคลาวด์ ดังนั้นทุกโซลูชันที่ไอบีเอ็มขายหรือให้บริการกับลูกค้าจึงต้องรองรับและตอบสนองการทำงานในรูปแบบไฮบริดคลาวด์ได้ทั้งหมด

ขณะเดียวกันไอบีเอ็มมีการลงทุนขนาดใหญ่กับเรื่อง AI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรากฐานที่จะหลอมรวมเข้าไปกับทุกสิ่งที่ไอบีเอ็มตั้งใจทำในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นในกระบวนการธุรกิจ ในความพึงพอใจของลูกค้า ในการดำเนินธุรกิจ ในเรื่องของเอนเทอร์ไพรส์ และซอฟต์แวร์ต่างๆ มากมาย โดยคาดการณ์ว่าในปี 2030 ตัว AI จะมีบทบาทสำคัญต่อ Global GDP ถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์

เวลานี้ผมเห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงของผู้ประกอบการไทยถ้าเราใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องเริ่มต้นอย่างถูกต้องเราจะเป็นส่วนหนึ่งใน 4 ล้านล้านดอลลาร์นั้นด้วยแต่ถ้าเราไม่เริ่มหรือเราเริ่มแบบไม่ถูกต้องมันอาจกลายเป็นความเสี่ยงที่องค์กรต้องเจอและเราอาจไม่ได้อยู่ใน 4 ล้านล้านนั้นก็ได้หน้าที่ของไอบีเอ็มคือการส่งเสริมให้องค์กรในประเทศไทยสามารถพัฒนาและยกระดับขึ้นไปให้สามารถเติบโตไปพร้อมกับแนวโน้มการเติบโตระดับโลก

ในกรณีของไฮบริดคลาวด์ ไอบีเอ็มมีซอฟต์แวร์ตั้งแต่ดาต้าเบสไปจนถึง planning analytic หรือ predictive analytic ซึ่งอาจจะอยู่ในบริบทของดาต้าและ Traditional AI ซอฟต์แวร์อาจอยู่ในรูปของ SaaS (Software-as-a-Service) หรืออาจอยู่ในรูปของ on premise ก็ได้ ซึ่งสามารถใช้งานได้ไม่จำกัดทั้งสถานที่และเวลา

อโณทัยกล่าวว่า ไอบีเอ็มมีโซลูชันที่ครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่ automation, security, sustainability ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานร่วมกับ Red Hat OpenShift ทำให้สามารถใช้งานบนคลาวด์ใดก็ได้ ไอบีเอ็มจึงถือเป็น hybrid cloud company ที่แท้จริง

แม้ในอดีตไอบีเอ็มจะมีผลิตภัณฑ์ที่เป็น proprietary แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นเมนเฟรมที่รันบน Linux, power server ที่มีความปลอดภัยสูงและ storage ที่หลากหลายรวมถึง hyper-converged ที่ทำงานร่วมกับ Red Hat Openshift ได้

อโณทัยย้ำว่า ไอบีเอ็มมี hidden gem ทางเทคโนโลยีมากมายที่หลายคนอาจไม่รู้จัก เขาจึงพยายามขยายคู่ค้า และ democratize เทคโนโลยีของไอบีเอ็มให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างผ่านตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้เทคโนโลยีที่ดีในราคาที่เหมาะสม และช่วยให้คู่ค้าปรับตัวเข้าสู่ตลาด modernize ได้

AI กับความต่างของสมองซีกซ้ายและขวา

จากผลสำรวจของ IBM Global AI Adoption Index หรือดัชนีชี้วัดความพร้อมในการตอบรับเทคโนโลยี AI ขององค์กรที่มีจำนวนพนักงานมากกว่า 1,000 คนขึ้นไป พบว่า 42 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลกได้ลงทุนใน AI แล้ว แต่กว่า 40 เปอร์เซ็นต์ยังอยู่ในช่วงทดลอง เนื่องจากยังมีงานอีกมากที่ต้องเตรียมความพร้อม เช่น การแปลงข้อมูลเป็นดิจิทัล การจัดการข้อมูล การสร้าง use case การดูแลเรื่องธรรมาภิบาล ความเป็นส่วนตัว และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่องค์กรต้องก้าวข้ามก่อนนำ AI ไปใช้จริง

มีประเด็นที่พูดกันว่า AI เหมือนกับสมองที่มีสองด้านสมองซีกขวาเป็น Generative AI คือเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์อย่างที่ไม่เคยทำได้ในอดีตส่วนสมองซีกซ้ายคือการคิดวิเคราะห์ตรรกะทั้งหลายอยู่ในรูปแบบ Traditional AI ซึ่งไอบีเอ็มมีทั้งสองส่วนเราอยากสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเข้าใจว่า Generative AI ไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมดถ้าเรายังไม่ได้ใช้สมองซีกซ้ายในการทำ automation หรือทำเรื่อง data management เรื่อง planning analytic เรื่อง predictive analytic”

ไอบีเอ็มยุคใหม่กับบทบาทที่เปลี่ยนไป

อโณทัยบอกว่า เดิมไอบีเอ็มถูกมองว่าเป็นบริษัทขายฮาร์ดแวร์อย่างเมนเฟรมสำหรับองค์กรใหญ่ แต่ปัจจุบันเป็นบริษัทไฮบริดคลาวด์และ AI ที่เน้นซอฟต์แวร์เพื่อเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม และเน้นการแก้ปัญหาให้ลูกค้าด้วยเทคโนโลยีซอฟต์แวร์มากกว่าฮาร์ดแวร์ โดยลูกค้าสามารถใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา และบนคลาวด์ใดก็ได้

ตอนนี้ซอฟต์แวร์ของเราขึ้นไปอยู่บน AWS service catalogมากกว่า 92 ประเทศทั่วโลกเพราะฉะนั้นลูกค้ามีทางเลือกที่จะใช้ซอฟต์แวร์ของไอบีเอ็มแบบ anywhere anytime any cloud”

ไอบีเอ็มประเทศไทยภายใต้การนำของเขาพยายามเข้าถึงลูกค้าและคู่ค้าอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยมีการไปพบปะผู้ประกอบการเพื่อสร้างความสัมพันธ์และสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคต ด้านคู่ค้าก็ให้การสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ขนาดเล็กหรือใหญ่

ไอบีเอ็มเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีแรกๆที่ลงทุนในไทยเราอยู่มา 72 ปีแสดงว่ามีเคล็ดลับบางอย่างที่ทำให้เราอยู่รอดและเติบโตได้แม้ช่วงหลายปีที่ผ่านมาชื่อของไอบีเอ็มอาจจะเงียบหายไปบ้างแต่ตอนนี้ผมตั้งใจที่จะนำเทคโนโลยีที่เป็น hidden gem ที่อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมาสร้างการรับรู้และเปลี่ยนมุมมองของผู้ประกอบการไทย

สำหรับการขยายธุรกิจในประเทศไทย อโณทัยบอกว่ากลุ่มเป้าหมายในเวลานี้อยู่ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภาครัฐ กลุ่มอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต และกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์

กลุ่มลูกค้าหลักคือสถาบันการเงินและภาครัฐโดยสถาบันการเงินใช้ระบบเมนเฟรมของเราเพื่อความเสถียรของระบบการเงินไทยส่วนภาครัฐกำลังลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างมากเพื่อขับเคลื่อน industry 4.0 และ digital transformation รวมถึง AI ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไอบีเอ็มให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีเทคโนโลยีหรือค่าแรงที่ดีกว่าหากไม่ปรับตัวอาจเสียฐานการลงทุนไอบีเอ็มจึงให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีทั้งกลุ่มขนาดกลางเอสเอ็มอีรวมทั้งเฮลท์แคร์

ในการขยายตลาด ไอบีเอ็มให้ความสำคัญกับพันธมิตรทางธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะกลยุทธ์การออกสู่ตลาดของไอบีเอ็มคือการทำงานผ่านพันธมิตร หรือร่วมกับพันธมิตรในการเข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

สำหรับเราพาร์ตเนอร์เปรียบเสมือนแขนขาในการเข้าถึงลูกค้าเพราะฉะนั้นการสร้างความสามารถหรือความชำนาญให้กับพาร์ตเนอร์ถือเป็นเรื่องสำคัญเรามีการจัดวางกลไกที่เรียกว่า Partner Plus เพื่อให้การสนับสนุนพันธมิตรในการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่สำคัญเรามีนโยบายมอบหมายพี่เลี้ยงให้ช่วยพาร์ตเนอร์ที่เข้าร่วม Partner Plus เพื่อให้ทำงานร่วมกันจนกว่าพาร์ตเนอร์จะสามารถดำเนินงานได้อย่างมั่นใจและพร้อมช่วยพาร์ตเนอร์ปรับเปลี่ยนธุรกิจจากการขายสินค้าเพียงอย่างเดียวมาเป็นการขายโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีทีม Client Engineering ที่มีความเชี่ยวชาญพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือพาร์ตเนอร์ในการทำโครงการนำร่องให้กับลูกค้า เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าและประสิทธิภาพที่แท้จริงของเทคโนโลยีต่างๆ ที่ไอบีเอ็มนำเสนอ ก่อนที่จะวางแผนงบประมาณและการใช้งานจริง

ไอบีเอ็มจะส่งทีมไปทำงานคู่กับพาร์ทเนอร์จนกว่าจะประสบผลสำเร็จโดยแบ่งตามเซกเมนต์อาทิทีมที่ดูแลกลุ่มธนาคารกลุ่มอุตสาหกรรมภาครัฐและลูกค้าที่เป็นเอนเทอร์ไพรส์ไปจนถึงลูกค้าในกลุ่มคอมเมอร์เชียลและกลุ่ม Long-tail ที่มีจำนวนมาก

อโณทัยกล่าวเสริมว่า ไอบีเอ็มพร้อมสนับสนุนการบริการต่างๆ แบบครบวงจร ซึ่งรวมถึงการมี Expert Lab ที่ทำเรื่องการให้บริการและการติดตั้งใช้งานให้กับลูกค้า ด้วยทีมงานรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี

ปัจจุบันฐานปิรามิดของไอบีเอ็มมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เก่งเรื่องเทคโนโลยีมีความรู้เรื่องเอไอและเทคโนโลยีดิจิทัลคนกลุ่มนี้จะช่วยลูกค้าโครงการนำร่องให้สำเร็จก่อนที่จะเกิดการลงทุน

Consulting และ Technology เป็น 2 แกนสำคัญ

การดำเนินธุรกิจในวันที่ฐานปิรามิดมีการเปลี่ยนแปลง ไอบีเอ็มมุ่งเน้นขยายการทำงานไปที่ 2 แกนสำคัญได้แก่ ธุรกิจการให้คำปรึกษา (consulting business) และธุรกิจด้านเทคโนโลยี (technology business)

ด้าน consulting business ไอบีเอ็มจะมีกลุ่มคนรุ่น Gen Z ที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในส่วนนี้ ในขณะที่ด้าน Technology Business จะเป็นกลุ่มคนที่มีประสบการณ์เพื่อเข้ามาดูแลในโครงการนำร่องให้กับลูกค้า

ทีม consulting เน้นความเป็นกลางในการให้คำปรึกษาเพื่อให้ลูกค้าได้ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดขณะที่ทีม technology เน้นการขายเทคโนโลยีของไอบีเอ็มทั้งสองทีมทำงานร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร

อโณทัยบอกว่า จากประสบการณ์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมไอทีมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น เมื่อมาถึงวันนี้ภาพรวมของอุตสาหกรรมไม่เหมือนเดิมเลย การอยู่ในวงการมานาน 30 ปี ทำให้เขามีความรู้กว้างและประสบการณ์หลากหลาย เป็นประโยชน์ต่อการช่วยกระจายโซลูชันของไอบีเอ็มให้แพร่หลาย

ผมเชื่อว่าการทำธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีเท่านั้นแต่ยังรวมถึงการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและประเทศด้วยผมจะนำความรู้และความสามารถของผมมาช่วยสร้างผลกระทบในด้านนี้ไม่เพียงแค่กับไอบีเอ็มแต่ยังเพื่อประโยชน์ของประเทศเราอีกด้วย

อโณทัยมีมุมมองว่า “ไอบีเอ็มเป็นบริษัทที่เติบโตมาจากด้านบน ขณะที่ตัวผมมีประสบการณ์เติบโตมาจากข้างล่าง หรือกลางๆ จึงมี agility ที่สามารถ map ลูกค้าในทุกกลุ่มเป้าหมาย ทำให้เทคโนโลยีของไอบีเอ็ม สามารถขยายตลาดขึ้นบนและลงมาดูแลข้างล่างได้ด้วย ทำให้ลูกค้าได้รับรู้ว่าไอบีเอ็มไม่ใช่ของแพง และไม่ใช่ของที่เข้าถึงไม่ได้”

พัฒนา Generative AI แบบโอเพนซอร์ส

อโณทัยเล่าว่า ในงาน Think 2024 ซึ่งเป็นงานประชุมประจำปีของไอบีเอ็มเพื่อนำเสนอนวัตกรรม เทคโนโลยีล่าสุด รวมถึงเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยีและธุรกิจ ไอบีเอ็มให้ความสำคัญกับ AI โดยพัฒนา Granite Model ซึ่งเป็น Generative AI แบบโอเพนซอร์ส มี 3 แพลตฟอร์มหลักคือ Watsonx.ai, Watsonx.data และ Watsonx.governance โดย Granite Model สร้างขึ้นบนหลักการของความไว้วางใจและความโปร่งใส ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้จากโมเดลเป็นของลูกค้าและมีกรอบธรรมาภิบาลที่ชัดเจน

หลักการของความไว้วางใจและความโปร่งใส” (Principle of Trust and Transparency) จะเข้าไปอยู่ในบริบทของ AI”

เขาอธิบายว่าการที่ไอบีเอ็มนำเอา Granite Model ไปอยู่บนโอเพนซอร์ส นั่นหมายความว่าจากนี้ไปไอบีเอ็มจะมีนักพัฒนาเข้ามาพัฒนาต่อยอด Granite Model ให้มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นสำหรับบางอุตสาหกรรม

ครอบครัวของ Granite Family ไล่มาได้ตั้งแต่สามพันล้านพารามิเตอร์จนถึงสามหมื่นสี่พันล้านพารามิเตอร์โดยในการพัฒนาสามารถแบ่งออกเป็นสองสายสายแรกจาก Large Language Model จะกลายเป็น Larger Language Model ซึ่งอาจเหมาะกับงานในบางเรื่องสำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไปส่วนอีกสายจะเป็น Smaller Language Model ที่ยังเป็น Large Language อยู่เพียงแต่จะมีขนาดเล็กลงซึ่งไอบีเอ็มมองว่าเหมาะสมและดีที่สุดสำหรับองค์กร

ทั้งนี้ การดำเนินงานบน Larger Language Model จะต้องใช้เงินทุนมหาศาล อาจต้องมี GPU ขนาดใหญ่ในการจัดการกับโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น Smaller Language Model จะเข้ามาตอบโจทย์ในส่วนนี้

ยกตัวอย่างโมเดลที่เราไปทำกับนาซ่าในเรื่องของ Geospatial เมื่อใช้โมเดลนี้ก็จะสามารถทำนายล่วงหน้าเรื่องของลมฟ้าอากาศภัยพิบัติทางธรรมชาติแล้วเอาโมเดลเหล่านี้มาใช้กับ Watsonx.ai ซึ่งเราเชื่อว่าจากตรงนี้จะทำให้เกิดแอปเป็นจำนวนมากมีการคาดการณ์ว่าจะมี Cloud Native App ประมาณ 600 ล้านแอปซึ่งทำงานอยู่บน AI Tech และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2030 อาจเพิ่มถึง 1,000 ล้านแอปมันจะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า app spawning หรือการสร้างแอปพลิเคชันใหม่เป็นจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆซึ่งในงาน Think 2024 ไอบีเอ็มได้เปิดตัว IBM Concert ที่จะเข้ามาจัดการกับ app spawning ที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ ไอบีเอ็มได้ร่วมมือกับบริษัทไอทีรายใหญ่ผลักดันการใช้ AI ให้แพร่หลายยิ่งขึ้น โดย Watsonx ของไอบีเอ็มสามารถทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้ เช่น Amazon SageMaker, Einstein, SAP, Adobe Experience Platform และ Meta’s Llama 2

สำหรับในเมืองไทย Watsonx ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายแอปพลิเคชัน ตัวอย่างเช่น PEA นำไปใช้ใน PEA Volta เพื่อช่วยวางแผนเส้นทางการเดินทางไปยังสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า, BLCP ใช้ในการวางแผนและคาดการณ์ทางการเงิน ช่วยลดเวลาได้กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ หรือกลุ่มบ้านปูใช้ Watsonx ช่วยลดเวลาในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ลง 50 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มผลการดำเนินงาน 30 เปอร์เซ็นต์

ไอบีเอ็มคือตำนาน “รักแรกพบ”

อโณทัยเล่าว่า กว่าจะมาเป็นผู้บริหารสูงสุดของไอบีเอ็มประเทศไทยในปี 2567 เขาผ่านการทำงานในอุตสาหกรรมไอทีมานานกว่า 30 ปี แต่สำหรับไอบีเอ็มเป็น love at first sight ตั้งแต่ครั้งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย และจากรักแรกพบกลายเป็นความประหลาดใจกับการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งของไอบีเอ็ม

สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่รู้จักคือไอบีเอ็มตอนนั้นผมเรียนบริหารธุรกิจสาขาการตลาดซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับคอมพิวเตอร์เลยแต่วิชาเลือกเสรีผมเลือกเรียนวิชา COBOL Programming Language ที่ใช้เครื่องไอบีเอ็มในการประมวลผลและได้เกรด A ในวิชานี้จากจุดนั้นเกิดความประทับใจจนเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางในอาชีพธุรกิจไอทีของผม

จากวันแรกจนถึงวันนี้ไอบีเอ็มค่อนข้างเซอร์ไพรส์ผมเคยคิดว่าบริษัทที่อยู่มานานน่าจะมีความเก่าแก่ติดอยู่บ้างแต่พอก้าวเข้ามาจริงๆถึงได้เห็นว่าไอบีเอ็มเป็นบริษัทที่ทันสมัยมากทั้งกระบวนการทำงานวิธีคิดและเทคโนโลยีไอบีเอ็มเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการปรับตัวสูงมีเทคโนโลยีที่ดีและมีการลงทุนในเรื่องการวิจัยและพัฒนาล่วงหน้า

อโณทัยยกตัวอย่างเทคโนโลยี Quantum Computing ที่อาจยังไม่ได้มีการพูดถึงมากนัก แต่ในงาน Think 2024 ซึ่ง Arvind Krishna ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอบีเอ็ม บอกว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมาเกิดธุรกรรมการทำวิจัย (Research Transaction) ใน Quantum Computing ของไอบีเอ็ม ถึงกว่า 3 Trillion Transaction จากนักวิจัยทั่วโลก

นั่นหมายความว่าสิ่งที่เคยเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์กำลังจะกลายเป็นความเป็นจริงหลายอย่างที่ classic computer ไม่สามารถทำได้จะทำได้ด้วย Quantum Computing โลกจะปลดล็อคศักยภาพต่างๆได้อีกมากนี่คือแก่นแท้ของไอบีเอ็มที่ลงทุนคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมเพื่ออนาคตตลอดระยะเวลา 72 ปีที่อยู่ในประเทศไทยและ 110 ปีที่อยู่ในโลกนี้อโณทัยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

×

Share

ผู้เขียน