ปัจจุบัน เทคโนโลยี Blockchain ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงเพราะความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล แต่ยังมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอินเทอร์เน็ตที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอีกด้วย การเข้าสู่โลกของ Web 3.0 ที่จะมาพร้อมกับโอกาสใหม่ ๆ และการพัฒนาที่ไม่เคยมีมาก่อน
วันนี้ The Story Thailand จะพาไปทำความรู้จักกับ Blockchain และ Web 3.0 โดย ธรรมลักษณ์ สิงหพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง ContributionDAO จากสรุปในหัวข้อ “Web 3.0 Decentralized future powered by Blockchain อนาคตต่อไปของเว็บ 3.0” ภายใต้งาน KBTG Techtopia: A Blast From the Future
ทำความรู้จักกับ Blockchain เทคโนโลยีเบื้องหลัง Web 3.0
ธรรมลักษณ์ สิงหพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง ContributionDAO ได้นิยามถึง Blockchain เอาไว้ว่า Blockchain คือ Database รูปแบบหนึ่ง ที่เป็นส่วนกลางที่ใครก็สามารถเข้าถึงได้ แต่สิ่งที่สำคัญของ Blockchain ก็คือ Immutable (ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้) ที่เมื่อ blockchain ทำการประมวลข้อมูลและบันทึกเรียบร้อยแล้วมีโอกาสน้อยมากที่จะทำการแก้ข้อ ลบ หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลในภายหลังได้ ทำให้มีความน่าเชื่อถือสูง
ยกตัวอย่างการโอนเงิน ปกติแล้วเวลาโอนเงินให้ใครเช่นใน a โอนเงินให้นาย b จะต้องมีตัวกลางคอยตรวจสอบว่านาย b นั้นได้รับเงินจริงหรือเปล่า ได้รับเงินครบหรือเปล่า จึงจำเป็นที่จะต้องมีตัวกลางในการตรวจสอบเรื่องนี้ แต่สำหรับ Blockchain นั้นไม่จำเป็นต้องมีคนกลาง เพราะเมื่อทำธุรกรรมหรือทำการบันทึกข้อมูลลงไปแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขได้ นี่จึงเป็นความสำคัญของเรื่อง Immutable
ปกติแล้วใน Blockchain ประกอบไปด้วยคอมพิวเตอร์เป็นแสนเป็นล้านเครื่อง ทุกเครื่องเก็บข้อมูลประเภทเดียวกันชุดเดียวกัน มีการเก็บข้อมูลเป็น block ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูล transaction ที่เยอะมาก ๆ และชุดข้อมูลทั้งหมดจะถูกเรียงต่อกันไปเรื่อย ๆ เพื่อทำหน้าที่เป็นระบบป้องกันการโกง ทำให้สามารถที่จะตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้ รวมถึงดูได้ว่าข้อมูลทั้งหมดนั้นตรงกันหรือเปล่า
และมีการพัฒนา Smart Contract เกิดขึ้นมา มีการทำงานคล้ายในรูปแบบ bitcoin ที่เป็น Immutable ซึ่ง Smart Contract จะสามารถกำหนดขั้นตอนการทำธุรกรรมโดยอัตโนมัติไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางได้ ทำให้เกิด Transaction ที่มีการระบุข้อตกลงหรือกฎเข้าไปได้ เช่น a จะต้องโอนเงินไปให้ b ทุกวันที่ 30 ซึ่ง a ไม่จำเป็นจะต้องตรวจสอบอะไรเลยเพียงแค่ใช้ Smart contract ซึ่งเป็นระบบ immutable + contract ในการทำธุรกรรมอย่างปลอดภัย
แล้วระบบจำเป็นจะต้องมีตัวกลางอีกไหม? คำตอบคือจำเป็นจะต้องมี ซึ่งก็คือ Validator ที่คอยตรวจสอบธุรกรรมที่อยู่บน Network ซึ่งทำหน้าที่ได้แค่ตรวจสอบอย่างเดียวไม่สามารถดัดแปลงหรือแก้ไขได้
วิวัฒนาการของ Blockchain
สำหรับวิวัฒนาการของ Blockchain นั้นเห็นกันมาตั้งแต่เรื่องของ Bitcoin ที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการบันทึกธุรกรรม เกิดเป็นสกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ตัวแรกของโลก โดย Blockchain รุ่นแรกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับการบันทึกธุรกรรมโดยเฉพาะ
มาจนถึงยุคของ Ethereum ที่ใช้ Smart Contract ที่กล่าวถึงไปแล้ว แต่ปัญหาของ Ethereum เดิมคือความช้าอีกทั้งยังมีราคาสูง จึงทำให้เกิดยุคใหม่นั่นคือ Ethereum Killer ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง Blockchain ที่ดีกว่าและถูกกว่า ซึ่งหนึ่งในโปรเจกต์ Ethereum Killer ที่พัฒนาและมีอยู่มาจนถึงปัจจุบันนั่นคือ Solana (SOL) เจ้าของฉายา Ethereum Killer
ยุคถัดไปคือยุคของ ICO ซึ่งเป็นช่วงที่ทำให้ Blockchain ได้รับความนิยมทั่วโลก ในอดีต หากต้องการระดมทุนเพื่อทำโปรเจกต์บางอย่าง ผู้คนต้องหันไปใช้ Cloud funding หรือเข้าสู่กระบวนการ IPO เพื่อขายหุ้นสู่สาธารณะ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและต้องเผชิญกับข้อกฎหมายมากมาย อย่างไรก็ตาม ICO ได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เพราะมันเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการระดมทุนที่สามารถทำได้จากทุกมุมโลกผ่านโทเค็นหรือสกุลเงินดิจิทัล เหรียญเหล่านี้มีบทบาทคล้ายคลึงกับหุ้นที่ขายให้นักลงทุนในการ IPO (Initial Public Offering) ซึ่งก็เป็นจุดที่ทำให้หลายคนเลือกลงทุนด้วย ICO กันมากขึ้น แต่สุดท้ายก็กลายเป็นภาวะฟองสบู่แตก จากการที่มีการระดมทุนแบบขายฝันมากจนเกินไปจากการที่ตลาดเกิดการเรียนรู้มากขึ้น
ยุคต่อมาคือยุคของ DeFi และ NFT โดย DeFi (Decentralized Finance) คือ บริการทางการเงินที่สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ผ่านตัวกลาง ซึ่งน่าสนใจตรงที่ปกติเวลาต้องการใช้เครื่องมือทางการเงินบางอย่างจะต้องผ่านการตรวจสอบ ทำการสมัคร หรือต้องรอเป็นเวลานาน แต่ DeFi จะทำงานผ่าน Blockchain โดยทำหน้าที่บันทึกและดำเนินธุรกรรม แทนตัวกลางอย่างสถาบันการเงินและธนาคาร โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่จะต้องปฏิบัติตามอย่าง Smart Contract เข้ามาทำงานด้วย ส่วน NFT (Non-Fungible token) คือ การเปลี่ยนสินทรัพย์ให้มาอยู่ในรูปแบบของ Token อย่างเช่น ศิลปินเปลี่ยนรูปภาพมาเป็น Token เป็นต้น ต่อมาก็มีการเกิดขึ้นของ Metaverse ที่เป็นเหมือนสับเซต (subset) ของ NFT ตามมาซึ่งได้รับความนิยมมากในช่วงของการเกิด Covid-19
และในปี 2024 นี้เรียกได้ว่าเป็นยุคของ ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่ปกติเวลาเราจะลงทุนในกองทุน จะต้องทำสัญญาไว้ 3 เดือน 6 เดือน 1 ปีหรือมากกว่านั้น แต่ ETF ช่วยให้การซื้อ-ขายกองทุนทำได้แบบเรียลไทม์แบบวันต่อวัน ไม่จำเป็นจะต้องถือจนครบสัญญา และ RWA หรือ Real World Assets ที่เป็นการนำสินทรัพย์ที่จับต้องได้และมีอยู่จริง มาแปลงเป็นโทเคนบน Blockchain และตอนนี้รวมถึงในอนาคตก็จะเข้าสู่ยุคใหม่ของ Bitcoin ด้วย Bitcoin ETF ที่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่อ้างอิงราคาของ Bitcoin และช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลได้โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของโดยตรง ซึ่งตอนนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องดูว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่แตกเหมือนกับยุคอื่น ๆ ที่กล่าวมาหรือไม่
จากสถานการณ์ทั้งหมด Blockchain นั้นใช้งานได้จริงไหม?
จากวิวัฒนาการของ Blockchain ที่เห็นมา ทำให้หลายคนตั้งคำถามแล้วว่า Blockchain ใช้งานได้จริงไหม? ธรรมลักษณ์บอกว่า ส่วนตัวมองว่า Blockchain อยู่ในช่วงของจุดเริ่มต้นมาก ๆ เมื่อเทียบกับ AI ที่พัฒนามาแล้วกว่า 30-40 ปี และทุกคนช่วยกันสร้าง กลับกัน Blockchain มีอายุมาแค่ 11 ปี และโครงสร้างพื้นฐานนั้นเพิ่งมาในปี 2017 ที่ผ่านมานี้เอง จึงอาจจะต้องดูแนวทางการพัฒนากันต่อไปเรื่อย ๆ ในอีกหลายปีข้างหน้า
Web 3.0 มีเป้าหมายเพื่อสร้างการเชื่อมต่อระหว่างเทคโนโลยี ข้อมูลจึงไหลเวียนระหว่างแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง แน่นอนว่าต้องใช้ Blockchain และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดเก็บข้อมูล และป้องกันเพื่อความปลอดภัย แต่ในปัจจุบันยังมีความท้าทายอยู่ในเรื่องของราคา ความสามารถในการปรับขนาดจึงทำได้ยาก ประสบการณ์การใช้งานและการนำไปใช้ยังมีน้อย ไปจนถึงการกำกับดูแลในระบบกระจายศูนย์อาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย นี่จึงเป็นเรื่องที่ยังต้องจับตามองกันต่อไปสำหรับการทำและการนำ Blockchain มาใช้ในอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
อโณทัย เวทยากร กับภาระกิจปั้น IBM สู่ผู้นำ AI และ Hybrid Cloud
Bitdefender เผยภัยไซเบอร์รุนแรงขึ้น จับมือรัฐ-เอกชนหาแนวทางรับมือ