Share on
×

Share

AI เพื่อนคู่คิดหรือคู่แข่งในยุคดิจิทัล?

ในยุคดิจิทัลนี้มีประเด็นที่เป็นเรื่องถกเถียงกันในสังคมเป็นวงกว้างว่า AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์จริงหรือไม่ หากพูดตามตรงเลยคำตอบเรื่องนี้สามารถตอบได้ทั้ง “ใช่” และ “ไม่ใช่” เพราะบางมุม AI สามารถเข้ามาแย่งงานของมนุษย์ได้จริง ๆ แต่กลับกันคนบางกลุ่มมองว่า AI จะกลายมาเป็นเพื่อนคู่คิดของมนุษย์ ที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตง่ายมากขึ้น เนื่องจาก AI ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานแบบ Automate Tasks นั่นคือการจัดการงานที่มีความเสี่ยงต่ำให้กับมนุษย์ ไม่ใช่สร้างมาเพื่อทำงานแทนมนุษย์ 

แอนดรูว์ อึ้ง (Andrew Ng), Managing General Partner, AI Fund & Founder of Landing AI ได้กล่าวไว้ในบทความ “KBTG X Andrew Ng นำ AI สร้างอิมแพคให้ประเทศไทย” ไว้ว่า การสอนคนให้มีทักษะด้าน AI กับการใช้ AI เพื่อสร้างคนในทักษะสาขาอื่น ๆ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เพราะ AI เปรียบเสมือนเครื่องมือยุคใหม่ที่สามารถใช้งานเทียบเท่ามนุษย์เกือบสิบคน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะนำมาแทนที่มนุษย์เพียงแต่เราใช้เครื่องมือนี้ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อลดภาระงานที่ซับซ้อน ดังนั้นการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “Generative AI หรือ GenAI” จะเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยแบ่งเบาภาระงานเหล่านั้นได้

ภายในงาน AI Ready Thailand เตรียมความพร้อม(ต์) สู่ยุค AI ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเรื่อง AI ได้เข้าฟังการบรรยายเกี่ยวกับเทคนิคการใช้งาน Generative AI ในชีวิตประจำวันที่จะช่วยให้พวกเราชาวคนทำงานได้นำเครื่องมือและเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้กับการทำงาน โดย ดร.สันติธาร เสถียรไทย – ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแห่งอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI), กษิดิศ สตางค์มงคล – Data Analytics Manager บริษัท ซัมซุง (ประเทศไทย) จำกัด และ Data Analyst เพจ DataRockie และ ต่อวงศ์ ซาลวาลา – เจ้าของเพจ 2how ผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพและเทคโนโลยีดิจิทัล ได้มาแชร์เรื่องเทรนด์ AI ในภาคธุรกิจ รวมถึงประสบการณ์จริงในการใช้งาน GenAI ในมุมของ Data Analyst และมุมมองของอาชีพช่างภาพ วันนี้นำมาสรุปไว้ให้ในบทความนี้

มนุษย์ทุกคนไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานแค่อย่างเดียว แต่เกิดมาเพื่อสร้างสรรค์โลกให้น่าอยู่มากขึ้น 

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า “Generative AI” จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระงานประเภท Tasks ยกตัวอย่างเช่น งานเอกสารจำนวนมหาศาล หรืองานตรวจสอบข้อมูลที่ต้องทำเหมือนเดิมทุกครั้งจำนวนเยอะ ๆ การที่มีเจ้า GenAI เข้ามาทำงานแทนจึงเป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้มนุษย์เราได้มีเวลาโฟกัสกับเรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญกว่าอย่างการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว การพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง หรือการมีเวลาว่างเพื่อทำงานอดิเรกที่เรารัก 

GenAI จึงเริ่มเป็นเครื่องมือที่คนเริ่มหยิบมาใช้กันมากขึ้นตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา ปัจจุบันเองมีเครื่องมือ GenAI หลากหลายโมเดลเกิดขึ้น ตัวที่ได้รับความนิยมอยู่มาก เช่น ChatGPT หรือ Google Gemini เป็นต้น Model AI เหล่านี้จะเข้ามาช่วยให้เราทำงานกับ ข้อความ (Text), รูปภาพ (Image), เสียง (Audio), วิดีโอ (Video) และ รหัสภาษา (Code) ได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นการเรียนรู้ทักษะจำพวก ความฉลาดรู้ทางเอไอ (AI Literacy) คือทักษะสําคัญ ไม่แพ้ทักษะการอ่านและเขียน หรืออีกทักษะอย่างกระบวนการออกแบบข้อความที่ใช้ในการสื่อสารกับโมเดล AI (Prompt Engineering) ก็เป็นทักษะที่มนุษย์ต้องมีติดตัวไว้และยังต้องขัดเกลาให้มีความเชี่ยวชาญในอาชีพการทำงานอีกด้วย

เทรนด์ AI ในภาคธุรกิจ

แต่ก่อนจะไปเรียนรู้เรื่องทักษะด้านต่าง ๆ ของ GenAI ก่อนอื่นจะพามาดูเทรนด์ AI ที่จะเกิดขึ้นในภาคธุรกิจก่อน อย่างแรกต้องตระหนักก่อนว่า “การใช้งาน AI อาจจะไม่ต้องเคร่งเรื่องความถูกต้องขนาดนั้น แต่ดึงจุดแข็งของมันในเรื่องข้อมูลที่มีเยอะมหาศาลให้เป็นประโยชน์” นั่นคือ การใช้งานแบบตักตวงข้อมูลที่ AI ประมวลผลมาตีกรอบด้วยความคิดสร้างสรรค์ (Creative) เพื่อให้เราเกิดการเรียนรู้แบบฉบับของตัวเรา (Personalized Learning)

ดร.สันติธาร ได้สรุปเรื่องเกี่ยวกับเทรนด์ AI ไว้ว่า มี 4 โอกาสในการปรับใช้ AI กับธุรกิจ ได้แก่
1. Automation (การทำงานอัตโนมัติ) การทำงานอัตโนมัติด้วย AI ช่วยลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ และเป็นงานที่ใช้เวลา
2. Augmentation (การเพิ่มขีดความสามารถ) โดยเฉพาะการวิเคราะห์ข้อมูลและการคาดการณ์หรือการออกแบบกระบวนการทำงาน (Design Process) ที่มีความรอบคอบ
3. Inclusion (การขยายการเข้าถึง) ช่วยค้นพบตลาดใหม่และทำให้สินค้าหรือบริการเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีสามารถทำให้ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานงานหลายๆ ด้าน
4. Innovation (นวัตกรรม) ช่วยในการสร้างไอเดียและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยมีมาก่อน

ซึ่งการปรับใช้เหล่านี้จะทำให้มนุษย์เกิดวิวัฒนาการกลายเป็นกลุ่มคน 4 กลุ่มแบ่งตามระดับความสามารถในการใช้งาน AI นั่นคือ
1. สมาร์ทไซบอร์ก คือคนที่สามารถใช้งาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ AI เพื่อช่วยในการทำงาน เพิ่มความสามารถของตัวเองให้สูงขึ้นอย่างมากเป็นกลุ่มที่สามารถนำ AI มาใช้ในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ดีที่สุด
2. สมาร์ทยูสเซอร์ คือคนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค แต่สามารถใช้งาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพในชีวิตประจำวันและการทำงาน เข้าใจถึงวิธีการใช้ AI ในการแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ดี
3. สมาร์ทอิวแมน คือคนที่แม้จะมีความสามารถทางเทคนิคการใช้ AI ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถใช้งาน AI ได้อย่างเต็มที่ กลุ่มนี้อาจจะยังคงใช้งานแบบดั้งเดิมหรือปรับตัวกับ AI ได้ไม่ดีนัก
4. อิวแมน คือคนที่ไม่สามารถใช้งาน AI ได้ ไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับการใช้งาน AI ซึ่งทำให้การทำงานของพวกเขาล้าหลังและมีข้อจำกัดในการทำงานในยุค AI เป็นอย่างมาก

การแบ่งกลุ่มเหล่านี้ยิ่งแสดงให้เห็นถึงถึงความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนในด้านความสามารถในการใช้งาน AI และความสำคัญของการเตรียมตัวเพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยที่ AI ครองโลก ยิิ่งต้องตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความรู้และทักษะในการใช้ AI (AI Literacy) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้มนุษย์มีโอกาสเรื่องการทำงานแตกต่างกัน

P (R) I D E: 4 ทักษะสำคัญเพื่ออยู่รอดและเติบโตในยุค AI

เคยมีการสำรวจเกี่ยวกับผลกระทบของ AI โดยเฉพาะ Generative AI ต่อโอกาสการถูกแทนที่ด้วยการทำงานอัตโนมัติ (Automation) ตามระดับการศึกษาต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาในปี 2023 โดยมีการเปรียบเทียบโอกาสทางเทคนิคที่จะเกิดการทำงานอัตโนมัติในสองสถานการณ์ คือ “With generative AI” (เมื่อมี Generative AI) และ “Without generative AI” (ไม่มี Generative AI) จะเห็นได้ว่า Generative AI เข้ามาเปลี่ยนสถานการณ์ สมัยก่อน ยิ่งจบระดับการศึกษาสูงจะยิ่งมีโอกาสตกงานต่ำ แต่ปัจจุบันในยุคที่มี Generative AI ทำให้โอกาสตกงานดังกล่าวมีสูงขึ้น คนเรียนมีระดับการศึกษาต่ำที่มีทักษะ AI ก็มีโอกาสเข้ามาแทนที่ในตำแหน่งงานเดียวกันได้แล้ว เรียกได้ว่าสาเหตุที่ Generative AI จะเข้ามาแย่งงานของมนุษย์เป็นไปได้หลายสาเหตุ เช่น AI ทำงานแทนเรา เพราะเราไม่มีสกิล หรือคนใช้ AI ที่มาแย่งงานเรา หรือธุรกิจคู่แข่งใช้ AI เราสู้เขาไม่ได้ โอกาสบริษัทล้มละลาย และประเทศอื่นใช้ AI หากพัฒนาเกิดขึ้นที่อื่น ทำให้เศรษฐกิจซบเซา จนผู้คนตกงานนั่นเอง

ดังนั้นทักษะที่จะเข้ามาช่วยให้มนุษย์ให้รอดและเติบโตในยุค AI ได้มากขึ้นคือ P (R) I D E

1. Proficiency พัฒนาทักษะให้มีความเชี่ยวชาญในงานของตนเอง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานร่วมกับ AI การมี Proficiency ที่สูงหมายความว่าเราสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเมื่อใช้ AI เป็นเครื่องมือ เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล หรือการออกแบบกระบวนการที่มีความซับซ้อน การมีทักษะเหล่านี้จะทำให้เราไม่ถูกแทนที่ แต่กลับเป็นคนที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับงานของเรา
2. Immunity การปกป้องข้อมูลสำคัญไม่ให้ข้อมูลสำคัญตกไปอยู่ในมือของ AI หรือระบบที่ไม่ควรเข้าถึง การให้ข้อมูลกับ AI ควรทำอย่างระมัดระวัง และต้องมีความรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ AI
3. Deep Thinking/Knowledge การคิดอย่างลึกซึ้งและมีความรู้รอบด้าน มาพร้อมกับการตั้งคำถามที่นำไปสู่คำตอบที่เป็นประโยชน์ ต้องรู้วิธีการตั้งคำถามเพื่อให้ได้คำตอบที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจและการพัฒนาต่อไป เพราะ ‘เข็มทิศในการนำทาง ขึ้นอยู่กับคำถามที่เราตั้ง’ ตั้งคำถามอย่างไร? ให้อยู่รอดได้ในยุค AI
4. Empathy เพิ่มความเป็นมนุษย์และการให้หัวใจ ทำความเข้าใจในความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีคุณค่าในงานที่ต้องการการเชื่อมโยงทางอารมณ์และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เช่น งานบริการลูกค้า การเจรจาต่อรอง หรือการพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า การเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ในงานเหล่านี้จะทำให้เรามีคุณค่าที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้

เปลี่ยนจาก “ใช้ AI อย่างไร” เป็น “เพิ่มความ Intelligence ให้องค์กรมี AI เป็นเพื่อนร่วมงาน” มาใช้จะช่วยให้เราสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่ และไม่ต้องกังวลว่า AI จะมาแทนที่เรา แต่กลับจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างความสำเร็จและความสะดวกสบายในการทำงานได้มากกว่าที่คิด

มุมมองสายงาน Data Analytics และ Marketing ในยุค AI

การวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตมักเน้นไปที่การสร้างโมเดลเพื่อคำนวณแนวโน้มโดยใช้ Predictive AI เพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์ต่างๆ ในอนาคต ในปัจจุบันนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลมีการใช้ข้อมูลประเภทข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Data) เช่น ข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย (Social Data) ซึ่งซับซ้อนมากขึ้น จนกระทั่งมีการนำเครื่องมือ Social Listening มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ เช่น Sentiment Analysis วิเคราะห์ความรู้สึกและความคิดเห็นของผู้คนบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับความคิดของผู้บริโภคมากขึ้น

กษิดิศ ได้กล่าถึงเทรนด์ AI เพิ่มเติมที่เกิดขึ้นกับสายงานด้าน Data Analytics และ Marketing อย่างการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างแอปพลิเคชันที่ยกระดับผลผลิตผ่าน AI แต่ความยากคือการหากรณีศึกษา (Use Case) ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ปัจจุบัน Use Case เหล่านี้ยังค่อนข้างจำกัดที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับภาคธุรกิจ เรื่องต่อมาคือการใช้ Prompt และความสำคัญของภาษาอังกฤษ เนื่องจากในการใช้งาน AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานที่ต้องการการวิเคราะห์และคำนวณ โมเดลที่ใช้ภาษาอังกฤษมักจะมีความแม่นยำและมีต้นทุนที่ถูกกว่าการใช้ภาษาอื่น สิ่งที่แนะนำคือการใช้ภาษาอังกฤษควบคู่กับการเขียนโค้ดที่ตรงกับการใช้งาน ซึ่งจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปต่อยอดได้ ถัดมาคือเรื่องของการใช้ AI เข้ามาช่วยในการเคลียร์งานที่ซับซ้อนและกินเวลานาน แม้ว่า AI จะมีความสามารถสูงในหลายๆ ด้าน แต่ในปัจจุบัน AI ยังคงไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกทางอารมณ์ของมนุษย์ได้เต็มที่ การใช้ AI จึงควรเน้นไปที่การสร้างร่างแรก (Draft) ของงานหรือจัดการงานที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับอารมณ์มนุษย์ แล้วให้มนุษย์อย่างเราเป็นคนจบงานครั้งสุดท้าย (Final) และเรื่องสุดท้ายคือ AI ยังคงมีข้อจำกัดในการตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ เช่น ข้อมูลจากหนังสือที่มีลิขสิทธิ์ การตีความและสรุปเนื้อหาจากข้อมูลเหล่านี้ยังคงต้องอาศัยความสามารถของมนุษย์ในการสร้างสิ่งใหม่และคิดเชิงสร้างสรรค์อยู่

แต่การออกแบบให้ AI เข้ามาช่วยงานเราในด้านต่างๆ ได้นั้นจำเป็นต้องจำกัดขอบเขตการทำงานให้ AI เพื่อป้องกันไม่ให้ AI เกิดอาการอ๊อง คือการดึงและแสดงผลข้อมูลแบบมั่วๆ มาให้ กษิดิศ จึงได้แนะนำการสร้าง Agentic Workflow และการใช้ทักษะ Coding โดยทำงานร่วมกับ AI ขึ้นมา ตัวอย่างเช่นการใช้งาน Gemini จาก Google ในการสร้างเอเจ้นต์ด้วย Prompt โดยมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้ อย่างแรกการเขียน Prompt ต้องมีความชัดเจนและละเอียดเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดการทำงานของเอเจ้นต์ ต่อมาสร้างคำสั่ง เช่น “I want to create a new command [Topic] ตามด้วย When I use this command, please ask the following…” ซึ่งช่วยให้เอเจ้นต์สามารถทำงานได้ตามคำสั่งที่ต้องการ แต่ยังต้องตรวจเช็กอยู่เสมอว่า AI มีความเข้าใจคำสั่งของเราถูกต้องไหมเพื่อลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น โดยข้อดีของการสร้างเอเจ้นต์ขึ้นมา อาจเข้ามาช่วยให้การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งการวิจัยต่างๆ และสร้างรายงานสรุปให้กับผู้ใช้ได้รวดเร็วมากขึ้น หรือช่วยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลรีวิวจากผู้ใช้ในแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อสร้างข้อสรุปหรือข้อเสนอแนะที่แม่นยำ เป็นต้น

มุมมองสายงานช่างภาพ และการใช้งาน AI ด้วยสร้างภาพด้วย MidJourney

ต่อวงศ์ ในฐานะช่างภาพ ได้มีประสบกาณ์จริงในการใช้งาน AI ร่วมกับทักษะทางวิชาชีพ เช่น MidJourney เพื่อสร้างผลงานภาพ ที่สามารถเปรียบเทียบได้เหมือนการรวมความสามารถของช่างภาพนับหมื่นคนมาอยู่ในเครื่องมือเดียว ในอดีต การถ่ายภาพนางแบบสำหรับใช้งานในเชิงพาณิชย์อาจต้องใช้เงินและทรัพยากรอย่างมากมาย แต่ในปัจจุบัน Generative AI สามารถเข้ามาช่วยลดต้นทุนเหล่านี้ได้อย่างมาก อีกทั้งการใช้ Generative AI ช่วยในการสร้างไอเดียและความประณีตของภาพได้มากขึ้น ช่างภาพสามารถปรับแต่งภาพที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนี้ การใช้ AI ยังช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการทำงาน ทำให้ช่างภาพสามารถใช้เวลาที่เหลืออยู่กับครอบครัวหรือทำสิ่งอื่นๆ ที่มีคุณค่ามากขึ้น

Powerful Keyword” การใช้คำที่บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญ สามารถสร้างความมหัศจรรย์ในวงการภาพถ่ายได้อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับ AI บน MidJourney หลักการสำคัญที่ ต่อวงศ์ นำมาใช้ใน MidJourney คือการใช้คำสั่ง (Prompt) ในการสร้างงานภาพ เพราะบทบาทของช่างภาพไม่ได้จำกัดแค่การถ่ายภาพอีกต่อไป แต่กำลังจะรวมไปถึงการทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการภาพ ที่เลือกและจัดวางรูปภาพให้สอดคล้องกับไอเดียและเรื่องราวที่ต้องการสื่อสาร

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อสร้าง Prompt ได้แก่

1. Subject: เลือกหัวข้อหรือวัตถุที่เป็นศูนย์กลางของภาพ
2. Attributes: ระบุคุณลักษณะเฉพาะที่ต้องการในภาพ เช่น สี, สไตล์, บรรยากาศ
3. Actions: กำหนดการกระทำหรือท่าทางของ Subject ในภาพ
4. Location: ระบุตำแหน่งหรือสถานที่ที่ภาพเกิดขึ้น
5. Timing: กำหนดช่วงเวลาหรือบรรยากาศของภาพ เช่น เช้า, กลางวัน, กลางคืน

การใช้คำสั้น ๆ และปล่อยให้ AI ทำงานอย่างอิสระเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรบังคับ AI มากเกินไป แต่ให้มันสร้างภาพตามความคิดสร้างสรรค์ของมันเอง จากนั้นเราจึงนำภาพที่ได้มาปรับแต่งให้สอดคล้องกับไอเดียของเราแทน

ตัวอย่างการใช้คีย์เวิร์ดร่วมกับ MidJourney

AI อาจไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเพื่อนคู่คิดที่สามารถช่วยให้มนุษย์เราประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลนี้ได้เร็วขึ้น การผสานความเชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะกับทักษะในการใช้ AI จะทำให้บุคคลกลายเป็น Smart Cyborg ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่เพียงแค่ใช้ AI เป็นเครื่องมือในการทำงาน แต่ยังรู้จักใช้ AI เพื่อเสริมสร้างและขยายขีดความสามารถในสาขาของตน การเรียนรู้และปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยี AI จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนควรตระหนักและนำไปปรับใช้กับการทำงานและชีวิตประจำวันของเรา 

×

Share

ผู้เขียน