เป็นภาพเห็นชินตาที่บริษัทยักษ์ใหญ่มักจะส่งเจ้าหน้าที่ทีมวิจัยไปประกบนักศึกษาหัวกะทิที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกเพื่อคว้าโอกาสในการเข้าถึงงานวิจัยที่ล้ำสมัยก่อนใคร โดยเฉพาะกูเกิล (Google) ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ซัมซุง (Samsung) และอีกหลายแห่งที่ส่งพนักงานไปยัง MIT Media Lab ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการวิจัยของสถาบัน Massachusetts Institute of Technology (MIT) และมีดีกรีเป็นแหล่งพัฒนาสุดยอดเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่พลิกโฉมวงการอุปกรณ์ไอทีในช่วงที่ผ่านมา ทั้งหน้าจอสัมผัสหรือทัชสกรีน ระบบแสดงผลภาพเสมือนจริง และล่าสุดคือการโต้ตอบกับระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI
แต่ภาพที่ยังไม่มีใครชินคือวันนี้บริษัทไทยได้เข้าร่วมวงจรนี้แล้ว เพราะบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG สามารถคว้าดีกรีเป็นบริษัทไทยหนึ่งเดียวที่ส่งพนักงานฟูลไทม์บินข้ามทะเลไปทำงานด้าน AI ร่วมกับนักวิจัยไทยที่ฝังตัวใน MIT Media Lab โปรเจกต์นี้ทำให้ KBTG ได้รับข้อมูลอินไซต์เกี่ยวกับแนวโน้มเทคโนโลยี AI ในอนาคตที่กำลังมาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นำไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่มาจากการเร่งให้เกิดนวัตกรรม AI ภายในบริษัท ซึ่งอาจขยายผลสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่ล้ำหน้า แซงทุกบริษัทในระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับโลก
ดร.มนต์ชัย เลิศสุทธิวงค์ Principal Research Engineer และ Head of AI Research, KBTG Labs คือหนึ่งในคีย์แมนที่ผลักดันให้เกิดเส้นทาง 3 ปีของการร่วมมือกันระหว่าง MIT Media Lab และ KBTG โดยผู้ดูแลฝ่ายการวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ให้กับ KBTG Labs คนนี้มองว่าการทำงานร่วมกันที่กำลังเข้าปีที่ 3 นี้ได้เกิดเป็นสตอรี่ที่ “ค่อนข้าง Embrace” เพราะ KBTG Labs ได้รับหลายสิ่งที่มีคุณค่านอกเหนือจากการพาเหรดผลงานโปรเจ็กต์ AI ล้ำสมัยระดับโลก และสิ่งนี้มีพลังหล่อหลอมให้ KBTG Labs เติบโตได้ต่อเนื่องในระยะยาว
ผลงาน AI ล้ำสมัยจากการคอลแลบส์ของ KBTG และ MIT Media Lab รอบนี้มีไม่ต่ำกว่า 5 ชิ้น ได้แก่ Future You (ฟิวเจอร์ยู), Future Job (ฟิวเจอร์จ็อบ), FinLearn (ฟินเลิร์น), Finly (ฟินลี่) และ Kookid (คู่คิด) ทั้งหมดถูกวางแผนเป็นตัวเสริมทัพกับคลังงานวิจัยที่ KBTG Labs ซุ่มพัฒนาขึ้นเอง และพร้อมเปิดตัวอีกหลายโปรดักต์ในอนาคต
Future You เมื่อ AI ให้ได้มากกว่าคำตอบ
ดร.มนต์ชัย เผยว่าส่วนแรกเริ่มของการทำงานร่วมกันระหว่าง KBTG และ MIT Media Lab คือ Future You ซึ่งแม้ในช่วงแรกจะมีความรู้สึกข้องใจว่าเหตุใดจึงต้องเริ่มพัฒนา AI ที่การทำระบบสนทนา (แชต) แต่เมื่อได้ตกผลึกเป็น Future You จึงได้สัมผัสสิ่งที่แฝงอยู่ในระบบแชต AI นั่นคือความสามารถทำให้เกิด Passion หรือความอยากในระหว่างที่พูดคุย ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ใน Future You ทำได้ด้วยการเป็น AI ที่ไม่ได้มุ่งให้คำตอบกับคำถามจากผู้ใช้เพียงอย่างเดียว
“ทำไมแชตตัวนี้ถึงไม่เหมือนที่ตัวอื่นมี ปรากฏว่าเมื่อไป scope ดูก็รู้สึกว่ามีอิมแพคในบางมุมที่เราไม่รู้ อย่างเช่นปกติ ระบบแชตมักจะเน้นให้คำตอบ แต่ Future You ไม่หยุดแค่นั้น เพราะในขณะที่คุย เราจะรู้ถึงสิ่งที่แฝงอยู่กับเนื้อหา โดยเฉพาะการเกิด Passion ในระหว่างที่เราคุย และยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าจะมีการพัฒนาต่อยอด ซึ่งในปัจจุบันนี้เราก็ทำหลายจุดแล้ว” ดร.มนต์ชัยกล่าว
ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร นักศึกษาปริญญาเอกที่ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งกับทีม MIT Media Lab และ KBTG Fellow ซึ่งทำงานร่วมกับ 2 นักวิจัยฟูลไทม์จาก KBTG Labs เล่าย้อนว่า Future You มีจุดเริ่มต้นการพัฒนาจากช่วงที่ MIT Media Lab ได้จัด Forum ที่ประเทศไทย และ KBTG เป็นหนึ่งในผู้จัดร่วมที่พา “แก๊งค์จาก MIT Media Lab” มาเปิดตลาดอาเซียนเมื่อปี 2022 ซึ่งการเริ่มทำงานร่วมกันเพื่อหาไอเดียในเวลานั้นยังไม่มีคำว่า Generative AI เกิดขึ้นเลย
“Generative AI ยังไม่ได้เป็นหัวข้อหลัก หรืออาจยังไม่มีคำว่า Generative AI ด้วยซ้ำ แต่มีคำว่า Language Model ถูกพูดถึงในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ ทีมจึงนึกถึง Application ที่มีความเป็นอนาคตเหมือนที่ MIT Media Lab ทำ ในขณะเดียวกันก็ต้องโยงกับบริบททางการเงินของ KBTG ด้วย จึงเกิดเป็นไอเดียของ Future You ที่บอกว่า จะเป็นอย่างไรถ้าเราทำให้คนได้คุยกับตัวตนของเขาในอนาคตที่เกิดจากการใช้ AI จำลองขึ้นมา ซึ่งเราไม่ได้ใช้ AI มาช่วยผู้คน แต่เราดึงเอาตัวของแต่ละคนมาช่วยตัวของเขาเอง” ดร.พัทน์ กล่าว
ดร.พัทน์ระบุว่าผู้ใช้ Future You อาจมี Self Realization หรือการเข้าใจได้เองจากการได้คุยกับตัวเองในอนาคต ซึ่งหลังจากการพัฒนาต่อเนื่อง ล่าสุด Future You ได้เปิดให้บริการในต่างประเทศและถูกพูดถึงในสื่อต่างชาติไม่ว่าจะเป็น The Guardian และ BBC รวมถึง Wired Magazine และอีกหลายสื่อที่พูดถึง Future You โดยมีผู้ใช้ที่ทำการทดสอบและอยู่ในช่วงนำร่องให้บริการ
ดร.พัทน์เชื่อว่า Future You มีอิมแพคเพราะการใช้จิตวิทยาของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI โดยความน่าสนใจของ Future You คือการทำให้คนมี anxiety หรือมีความเครียดน้อยลง ผู้ใช้อาจรู้สึกเหมือนกับว่ามีตัวเองจากอนาคตที่คอยให้กำลังใจอยู่ และในขณะเดียวกันก็เห็นภาพในอนาคตชัดเจนขึ้น
“ถ้าเราเห็นภาพตัวเองเองในอนาคตชัดขึ้นแล้ว เราก็มีแนวโน้มที่จะไปสู่อนาคตนั้นได้ คือต้องเห็นก่อนว่าอนาคตนั้นเราจะเป็นอะไรได้บ้าง แล้วจึงสามารถที่จะค่อย ๆ ทำให้อนาคตนั้นเป็นจริงขึ้นได้ ผ่านการเปลี่ยนพฤติกรรม เช่นการประหยัดมากขึ้น การออมเงินมากขึ้น และอีกหลายแนวทาง โดยเราใช้เทคโนโลยีเป็นตัวกระตุ้นแบบนั้นแทน”
ทุกวันนี้ Future You เข้าถึงได้แล้วที่ futureyou.life/ และ futureyou.media.mit.edu/ กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้คนใช้งานกันแพร่หลายและถูกพูดถึงกันในวงกว้าง ขณะเดียวกันก็มีการประชาสัมพันธ์ในประเทศไทย ได้รับเสียงตอบรับที่ดีหลังทดลองใช้อย่างล้นหลาม
หนึ่งในเสียงตอบรับที่น่าสนใจคือ การที่ใครได้เห็นภาพและแชตกับตัวเองใน 30 ปีข้างหน้า สามารถให้ความรู้สึกว่าไม่เหมือนกับการแชตที่หน้าจอ และยิ่งเมื่อถาม ก็มีการตอบคำถามที่ค่อนข้างจะลึกซึ้ง และหลายคนรู้สึกว่าคำตอบที่ได้เป็นคำตอบจากตัวเองจริง ๆ
ในอีกด้าน แชตบอทหรือ Generative AI หรือ Language Model ต่าง ๆ มักถูกสร้างขึ้น 1 ระบบเพื่อใช้กับผู้คนจำนวนมาก แต่ Future You จะมีลักษณะเหมือนการปรับให้เหมาะกับแต่ละคนหรือ Personalize ให้ Language Model ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะคนนั้นผู้เดียว จึงเป็นการสร้าง Persona หรือ Digital Twin ซึ่งเป็นตัวตนดิจิทัลของคนผู้นั้น ทำให้มีความ personalize แบบหนึ่งต่อหนึ่ง โดยแต่ละคนสามารถคุยกับ Future You ของแต่ละคนได้
“ผมคิดว่า Future You จะมีอิมแพคสูงมาก ล่าสุดมีผลการศึกษาออกมาว่า สิ่งที่เราต้องการเห็นมากที่สุดคือการเห็นอนาคตที่เป็นไปได้ จึงจะเป็นแรงจูงใจให้แต่ละคนลุกขึ้นมาทำให้อนาคตนั้นเป็นจริง คิดว่า project นี้สามารถนำไปสู่มิติใหม่ เพราะหลายครั้งเมื่อมีการพูดถึง AI มักจะมีการพูดถึงความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งการช่วยให้คิดเก่งขึ้นหรือเร็วขึ้น แต่ Future You จะเหมือน slow down ให้คนได้รับเสียงสะท้อนมากขึ้น เป็นการใช้ AI ในทางที่ค่อนข้างแตกต่างกับ project ที่มีมา”
Future You ยังมีส่วนที่แตกต่างจากแชตบอตทั่วไปที่มักจะเน้นการถามตอบ เพราะ Future You สามารถนำไปสู่การสร้าง Long Term Thinking หรือการตกผลึกความคิดในระยะยาว เนื่องจากการคุย 1 ครั้งจะทำให้ผู้ใช้ได้รับแง่มุมความคิดหลายสิ่งกลับมา และเมื่อคุยไปเรื่อย ๆ อาจทำให้ได้รับการปลูกฝังที่ดี
Future You ยังมีการปรับเนื้อหาตามพฤติกรรม เช่นหากใครมีพฤติกรรมการออกกำลังกายแบบใด หรือชื่นชอบทำกิจกรรมแบบใด แต่เมื่อคุยกับระบบแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ และรู้สึกอยากออกกำลังกายมากขึ้น จะสามารถแก้ไขโปรไฟล์จากที่เคยสร้างโปรไฟล์ไว้ใน Future You โดยอาจมีโปรไฟล์แยกอีกหนึ่งเพื่อเทียบให้ผู้ใช้เห็นว่า หากทำแบบนี้แล้วจะเป็นอย่างไร กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้ใช้ได้ตัดสินใจในแบบต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ได้เห็นว่าใครสามารถเป็นแบบไหนได้บ้างในอนาคต
“แต่สุดท้าย สิ่งที่ AI ให้จะไม่ใช่หมอดู หรือการทำนายว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน เพราะ AI จะให้ความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น”
Kookid คู่คิด AI 2 ขั้ว

ในขณะที่ Future You เปิดกว้างให้สามารถดูได้ในเว็บไซต์ และมีเอกสารงานวิจัยออนไลน์พร้อมให้เสิร์ชได้ แต่โปรเจกต์นี้นำมาสู่อีกหลายงาน หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาโมเดลภาษา Language Model ที่มีจำนวนมากกว่า 1 โมเดลมาคุยกัน ซึ่ง “Kookid” หรือคู่คิดนั้นพัฒนาขึ้นจากไอเดียนี้
“คู่คิดนั้นเกิดจากแนวทางที่ว่าเราต้องการหาคนมาปรึกษา แต่หลายครั้งที่ปรึกษาหาได้ยาก และไม่แน่ใจว่าที่ปรึกษาจะทำให้เราได้คำตอบที่ต้องการหรือไม่ เราจึงลองทำสถานการณ์ที่ว่าใช้ความเป็น AI แต่ควบคุมคาแรคเตอร์ของระบบ อย่างเช่นหากมีการสร้าง AI ขึ้น 2 ตัวให้มีพฤติกรรมในการตอบที่ไม่เหมือนกัน ตัวหนึ่งอาจเป็นการตอบที่มีตรรกะหลักการในการคิด แต่อีกตัวเป็นการตอบในเชิงสร้างสรรค์ เสมือนกับคนที่มีความรู้ในระดับหนึ่ง ที่ช่วยให้ผู้ใช้ได้สำรวจไอเดียใหม่ เชื่อว่าหากได้ถามคนที่ใช่ ผู้ใช้จะได้รับข้อมูลที่มีค่ามากมาย”
ดร.พัทน์ เชื่อว่าการได้รับมุมมองที่ต่างกันจาก AI พร้อมกันนั้นถือว่ามีความสำคัญมากในกระบวนการโต้ตอบกับ AI ของผู้คน เพราะหลายครั้ง AI หนึ่งอาจจะมีอคติด้านนึง ขณะที่อีกตัวอาจให้อคติอีกด้าน ดังนั้นการมี AI 2 ตัวจะทำให้ผู้ใช้ไม่หลงไปกับอคติด้านใดด้านหนึ่ง หรือไม่ได้หลงเชื่อไปกับ AI ตัวหนึ่งแบบ 100% เหมือนมี 2 ตัว AI ที่สร้างสมดุลกันอยู่
“นี่คือลักษณะที่ไม่เหมือนการสนทนากับ ChatGPT และ Claude ที่ให้คำตอบครั้งเดียว หากไม่ต้องการคำตอบนี้ ผู้ใช้อาจจะต้องถามอีกรอบ แต่การที่ได้ 1 คำตอบจาก AI เดียวมักทำให้เกิดการฝังความคิดไปแล้วว่าจะต้องคิดอย่างไร แต่การที่มี AI ตอบพร้อมกัน 2 ตัว โดยที่แต่ละตัวตอบต่างกัน นั้นทำให้ผู้ใช้มี Agency หรือรู้สึกว่าต้องมีคนควบคุมอยู่ และไม่ได้เปิดทางให้ AI มาชักนำ โดยผู้ใช้จะเป็นผู้เห็นมิติต่าง ๆ นำไปสู่การใช้ AI ให้ดี”
ปัจจุบัน Kookid เปิดให้ทดลองใช้แล้วในฐานะ AI ที่ได้รับการออกแบบ Interaction หรือการโต้ตอบระหว่าง AI ที่ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ถูก “AI กล่อม” โดยทุกคนสามารถเห็นได้เองว่าคำตอบที่ต้องการนั้นสามารถเป็นแบบใดได้บ้าง
Future Jobs เห็นตัวเองแบบมัลติเวิร์สด้วย AI
เมื่อพูดถึงการมี AI มากกว่า 1 และการให้ความสำคัญกับการได้เห็นตัวเองในอนาคต จุดนี้พัทน์และทีมวิจัยได้วกกลับมาที่ Future You อีกครั้ง แล้วนำ Kookid มาบวกกัน จนกลายเป็น Future You ที่ไม่ได้เห็นตัวเองแค่คนเดียว แต่จะเห็นแบบมัลติเวิร์ส โดยผู้ใช้สามารถอัปโหลดรูปตัวเองขึ้นสู่ระบบ เพื่อให้ AI แสดงให้เห็นภาวะที่ผู้ใช้มีอาชีพต่างกันไป เช่น อาชีพแพทย์ วิศวกร ศิลปิน นักการเมือง หรือแม้แต่ สว. ก็เป็นไปได้ ไอเดียนี้ขยายผลเป็นโปรเจ็กต์ที่เรียกว่า Future Jobs ในที่สุด
“Future Jobs เป็นอีกไอเดียที่น่าสนใจมาก กรอบความคิดคือหลายคนรู้สึกเมื่อตอนเป็นเด็กว่าอยากประกอบอาชีพหลากหลาย แต่อาจเรียนรู้รายละเอียดของแต่ละอาชีพจากชื่อเท่านั้น และไม่รู้ลึกซึ้งว่าแต่ละอาชีพเป็นอย่างไรหรือต้องมีทัศนคติในการประกอบอาชีพเป็นอย่างไร”
ดร.มนต์ชัย เล่าถึงเสียงตอบรับจากผู้ทดลองใช้ Future Jobs ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่สับสนและไม่รู้เป้าหมายทางอาชีพของตัวเอง จึงมาทดลองแชตกับ Future Jobs ซึ่งเป็นระบบ AI ที่เปิดให้ผู้สนใจลองเลือก 3 อาชีพที่ชอบ เพื่อลองดูว่าอาชีพที่เลือกมาจะตรงใจหรือไม่ ซึ่งเมื่อได้อ่านข้อมูลแต่ละอาชีพของ AI กลุ่มตัวอย่างระบุว่ารู้สึกถึงหลายสิ่งที่คิดไม่ถึง ว่าหากมีอาชีพนี้จะทำให้ตัวตนของคนนั้นเป็นอย่างไร
จุดนี้ ดร.พัทน์เสริมว่าการที่ Future Jobs ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจในรายละเอียดของอาชีพมากขึ้น ถือเป็นคีย์เวิร์ดที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับการคุยกับ AI ทั่วไปหรือการเสิร์ชบน Google ที่มักได้รับข้อมูลที่ตอบมาแบบทั่วไป เช่น ขอบเขตงานประจำวัน แต่ Future Jobs จะเปิดให้ผู้ใช้สามารถใส่ข้อมูลของตัวเองเข้าไป แล้วให้ AI นำเอาข้อมูลของผู้ใช้รายนั้นมาผสมกับข้อมูลของอาชีพที่เลือกไว้ จากนั้นจะจำลองหรือแสดงออกมาให้ดูว่า ภาพชีวิตของผู้ใช้รายนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไร ทั้งความชื่นชอบส่วนตัว และพฤติกรรมที่มักทำ
“หากผมชื่นชอบไดโนเสาร์ และชอบตื่นสาย Future Job จะจำลองว่าหากผมเป็นหมอ ผมในเวอร์ชั่นนี้จะต้องตื่นเช้าเพราะต้องตรวจคนไข้ ส่วนไดโนเสาร์จะยังชอบได้อยู่ต่อไป ตรงนี้จะอธิบายได้เป็นรายคนตามอาชีพที่ต่างกัน ว่าโปรไฟล์บวกกับข้อมูลอาชีพนั้นจะสร้างความเป็นไปได้หรือตัวตนที่เป็นไปได้ออกมาอย่างไรบ้าง ซึ่งเราสามารถจะเห็นได้หลายอาชีพพร้อมกัน”
Future Jobs ไม่เพียงเปิดให้ผู้ใช้เลือก 3 อาชีพที่สนใจ แต่ AI ยังจัดเพิ่มเติมให้มาอีก 3 อาชีพที่เปิดให้ผู้ใช้ได้ทดลองดู และเป็นอาชีพที่อาจนึกไม่ถึงมาก่อนเพื่อขยายความเป็นไปได้ ซึ่งมิตินี้ทำให้ Future Jobs กลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษาได้เห็นตัวเอง ว่ามีความเป็นไปได้ในการเติบโตรอบด้าน ไม่ใช่การเห็นแค่กรอบเล็กเพราะ AI ควรจะขยายความเป็นไปได้ของเราทุกคน
ดร.มนต์ชัย ชี้ว่าเสียงตอบรับของ Future Jobs ที่ได้รับคือข้อมูลที่ใส่เข้าไปนั้นมีความสำคัญมาก และในหลายครั้ง ผู้ใช้ป้อนข้อมูลเข้าไปไม่ละเอียดพอ ทำให้ AI ไม่เข้าใจเนื้อแท้ของผู้ใช้รายนั้นจริง ซึ่งหากผู้ใช้ให้เวลาเพิ่มโปรไฟล์มากขึ้น Future Jobs จะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มากขึ้น นำไปสู่การโต้ตอบที่มากตามไปด้วย
แน่นอนว่าทั้ง Future You และ Future Jobs ต่างเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ทีมพัฒนาทั้งหมดนี้จึงให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยและจริยธรรมการวิจัย โดยมีคณะกรรมการเข้ามาตรวจสอบเฉพาะทางตามมาตรฐานของ MIT และทุกการทดลองที่ทำจะมีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้ โดยไม่มีการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิดอย่างแน่นอน ตามมาตรฐานจริยธรรมในการใช้ AI ขั้นสูงสุด
FinLearn แจ้งเกิด AI ช่วยหลอมพฤติกรรม

หลังจากที่ทั้ง MIT Media Lab และ KBTG Labs ได้ร่วมกันศึกษาเรื่องการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI ในรูปของตัวเอง และในรูปคาแรคเตอร์อื่น เช่น รูปช้าง ทีมสามารถตกผลึกว่าคาแรคเตอร์เสมือนเหล่านี้มีผลอย่างมากต่อการเรียนรู้ของผู้คน ดังนั้น หากนำตัวละครที่แต่ละคนสนใจ มาสร้างเป็น Virtual Character ได้โดยต้องไม่ละเมิดสิทธิของ “คนที่ไม่ต้องการนำตัวตนเข้ามาสู่ระบบ” ผ่านการสร้างคาแรคเตอร์ใหม่ขึ้นมา ก็จะทำให้เกิดการสร้างแรงบันดาลใจที่สูง ซึ่งส่วนนี้มีความสอดคล้องกับฐานงานวิจัยของ MIT เรื่อง Personalized Virtual Character ที่พบว่าหากผู้ใช้รายนั้นชอบคาแรคเตอร์ใด ก็มีแนวโน้มและมีแรงบันดาลใจสูงขึ้นที่จะเรียนบทเรียนนั้น แม้ว่าบทเรียนนั้นจะยากหรือซับซ้อนก็ตาม
ดร.พัทน์มองว่าแนวทางนี้สามารถนำมาบวกกับ Financial Literacy ที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินให้ความสนใจกับการปรับให้ประชาชนมีพฤติกรรมการเงินที่ดี แต่ปัญหาคือ Financial Literacy ไม่ได้ถูกสอนอย่างแพร่หลายในหลายประเทศรวมถึงในประเทศไทย จึงเกิดเป็นโปรเจกต์ที่เรียกว่า FinLearn คือการเรียนรู้เรื่อง Financial Literacy แบบฟิน ๆ
แกนของ FinLearn คือผู้ใช้สามารถเลือกตัว AI ที่เป็นผู้สอนได้ ปัจจุบันมี 3 ตัวและแต่ละตัวมีคาแรคเตอร์ที่ไม่เหมือนกันแม้จะมีเนื้อหาเรื่องเดียวกัน ตัวอย่างเช่นหากเลือกเป็นตัวการ์ตูน ภาษาที่ใช้สอนจะเป็นภาษาฟังง่ายเพื่อให้เยาวชนเข้าใจ แต่หากเลือกคาแรคเตอร์ที่เป็นผู้ใหญ่ หรือเป็นนักธุรกิจ ภาษาที่ใช้จะเป็นอีกแบบ ถือเป็นจุดที่สำคัญเพราะเป็นการทำเนื้อหา Financial Literacy ที่เหมาะกับแต่ละวัย
ดร.พัทน์ ย้ำถึงพัฒนาการด้านเทคนิคที่น่าสนใจ ว่าทุกโปรเจกต์ AI ที่ทำขึ้นมาในความร่วมมือนี้มีความเป็น Multi-Tiered Model คือไม่ได้เป็นโมเดลเดียวและไม่ใช่ AI ตัวเดียว แต่เป็นหลาย AI ที่สร้างประกอบขึ้นมาจนกลายเป็นประสบการณ์ใหม่ ที่มนุษย์จะปฏิสัมพันธ์กับ AI ได้หลายรูปแบบ
“ทุกวันนี้ Chatbot ที่อยู่ในท้องตลาดจะอยู่ในรูปของการพิมพ์ การ Generate รูป หรือการคุยผ่านเสียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่เราทำคือการทำหลายโมเดล หลายปฏิสัมพันธ์ ยกตัวอย่างเช่น FinLearn ที่โชว์สไลด์ด้วยมีหน้าอธิบายบทเรียน เราสามารถที่จะยกมือโต้ตอบเพื่อให้ระบบแชตคุยกับเราได้ สามารถหยุดหรือแทรกระบบได้ตลอดเวลาที่ไม่เข้าใจ ที่สำคัญคือ AI เหล่านี้ถูกเปิดการใช้งานหรือ active โดยไม่ต้องรอให้มีการถามเหมือนแชตบอตที่ต้องพิมพ์แล้วจึงตอบ แต่สามารถถามเราก่อนบ้าง เพื่อให้ระบบมั่นใจว่าเราเข้าใจ ผมรู้สึกว่านี่เป็นปฏิสัมพันธ์ที่มีความสำคัญมาก”
FinLearn นั้นเพิ่งเผยแพร่บทความวิจัยในงานประชุมวิชาการ AI in Education ซึ่งเป็นงานประชุมระดับนานาชาติของบราซิลที่โฟกัสเรื่อง AI ในการศึกษาทั่วโลก โดย FinLearn เป็นหนึ่งในเปเปอร์ที่ถูกนำเสนอในการประชุมปีนี้
Finly: สร้าง Financial Literacy ด้วย AI
จาก FinLearn ที่เน้นสร้างการเรียนรู้ทางด้านการเงินแบบง่าย ๆ ทีมเลือกที่จะตอบโจทย์ทางด้านธุรกิจ เพื่อให้การสอนช่วยให้ธุรกิจได้รับประโยชน์ด้วย โดยต่อยอดจาก FinLearn มาเป็น Finly ซึ่งปัจจุบันยังเป็นงานวิจัยอยู่ เพื่อให้ AI มีส่วนช่วยยกระดับการให้ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายผ่านการส่งเสริมและให้ความรู้ทางการเงิน ซึ่งอาจจะเป็นคลิปสั้นเพื่อให้คนเข้าใจได้ง่าย เหมือน TikTok รูปแบบสั้นที่จะปล่อยออกเผยแพร่ต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันยังเป็นเฟสแรกเริ่ม และกำลังก่อร่างอยู่
ดร.พัทน์ย้ำว่าแม้ Finly จะเป็นภาคต่อจาก FinLearn แต่จะมีขอบเขตที่กว้างขึ้นและไม่ต้องเข้ามาอยู่ในระบบเหมือน FinLearn โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้ามาอยู่ในเว็บไซต์หรือเว็บ App เพื่อที่จะโต้ตอบกับ AI แต่ AI จะเอาตัวเองไปอยู่ในแพลตฟอร์มต่างๆอย่างเช่น Tiktok และ Instagram เพื่อให้ข้อมูลที่เป็น Financial Literacy กับผู้คน และหากเมื่อต้องการมี Interaction ที่ลึกขึ้น ผู้ใช้รายนั้นจึงจะเข้ามาอยู่ใน Finly ซึ่ง Finly จะสอนเรื่อง Financial Literacy และโยงกับบริการทางการเงินต่าง ๆ ในอนาคต ที่อาจจะทำให้ผู้ใช้สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อเพิ่มวินัยทางการเงิน
นอกจากผู้ใช้จะเข้าสู่ธนาคารหรือสนใจการลงทุนเพิ่ม Finly ยังสามารถเชื่อมผู้ใช้ให้เข้ามาสู่แพลตฟอร์มการลงทุนอื่นได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ทีมวิจัยกำลังเร่งทำงาน และมีการโชว์ให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้
“จะเห็นว่างานทั้งหลายที่เราทำ มันค่อย ๆมีพัฒนาการเรื่อย ๆ จากการสำรวจที่ลึกซึ้งขึ้นว่า AI กับมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร ในเรื่องของการสร้างแรงจูงใจและการเรียนรู้เรื่อง Financial Literacy หรือเรื่องของ Financial Health เพราะ AI สามารถแตะทั้งหมดได้ หากเราออกแบบปฏิสัมพันธ์ให้ดี เราหวังว่าเราจะเห็น Finly เป็นสิ่งที่ปรับใช้ได้ในสเกลใหญ่ และสามารถช่วยคนที่เป็นลูกค้าของธนาคารหรือ KBTG ต่อไปได้”
3 ปี KBTG x MIT Media Lab
ดร.มนต์ชัย สรุปว่า 3 ปีที่ผ่านมาแม้จะดูเหมือนนาน แต่แท้จริงแล้วผ่านไปเร็วมาก จากการพูดคุยครั้งแรกว่าจะทำอย่างไรให้เกิดเป็น Way of Worth และแม้จะมีความไม่มั่นใจที่จะสามารถหาคนเก่งฝั่งไทยเพื่อส่งไปเป็นนักวิจัยอยู่ที่แล็บใน MIT ได้สำเร็จหรือไม่ แต่เมื่อลองสำรวจแล้วพบว่ามีคนเก่งที่ทำได้จริง โดยปัจจุบันมีพนักงาน 2 คนที่ไปฝังตัวกับ MIT Media Lab ถือเป็นครั้งแรกที่มีการส่งคนจากบริษัทไทยไป
ในฐานะนักศึกษา MIT ดร.พัทน์เล่าว่าการทำงานร่วมกันที่เกิดขึ้นนั้นมีความสุขมาก และภูมิใจที่ได้เป็นคนไทยที่ได้ทำงานกับบริษัทไทยแถวหน้า ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีและดีใจมากการที่มีเพื่อนคนไทยอยู่ที่แล็บ ทำให้การทำวิจัยสนุกมากขึ้น และผลงานของนักวิจัยไทยมีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับสูง สามารถแสดงให้เห็นว่าไทยมีผลิตภัณฑ์และมีระบบที่สร้างจากคนไทยถูกพูดถึงในระดับโลก และเป็น AI ที่คนทั่วโลกใช้ได้
ทั้งหมดนี้ถือเป็นภาวะที่เป็นสัญญาณที่ดีมาก โดยแล็บที่มีการทำงานนั้นมีชื่อว่า Fluid Interfaces ซึ่งเป็น 1 ใน 20 กลุ่มวิจัยของ MIT Media Lab อาจารย์ผู้รับผิดชอบกลุ่มวิจัยนี้คือ Professor Pattie Maes ผู้บุกเบิกในสาขา AI Human Interaction และมีดีกรีเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทมากมาย ทั้งสตีฟ จ๊อบส์ และได้เกียรติบัตรจาก Apple ว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในการสร้าง Innovation ของ Apple โดย Fluid Interfaces เป็นกลุ่มที่สนใจพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้มนุษย์มีความสามารถสูงขึ้น ไม่ได้เน้นสร้าง AI อย่างเดียว และโฟกัสที่ IA นั่นคือ Intelligence Augmentation
“IA หรือ Intelligence Augmentation คือการเพิ่มศักยภาพมนุษย์ เราจะโฟกัสไปที่การเพิ่มศักยภาพในหลายมิติ ทั้งเรื่องของการเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ สมาธิ และมิติต่างๆ ซึ่งงานที่เราทำค่อนข้างสอดคล้องกันกับ KBTG ที่มีวิสัยทัศน์เป็น Human First AI Transformation เพื่อให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นหลัก ผมคิดว่า Pattie มีภูมิหลังเชี่ยวชาญด้าน agent มานานกว่า 20 ปี สิ่งที่ Pattie ให้ความสำคัญคือเรื่องของ Psychology คือเราจะสร้าง AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้เมื่อออกแบบ AI ให้สอดคล้องกับ phycology ของมนุษย์ จึงจะสามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ อย่างเช่นการสร้างแรงจูงใจหรือการสร้าง Self Reflection รวมถึงการเรียนรู้ที่จะต้องเข้าใจ ว่ามนุษย์ต้องการเรียนรู้อย่างไร หรือมีการสร้างแรงจูงใจอย่างไรในเชิงลึก ซึ่งงานวิจัยของ MIT เองก็ศึกษาเรื่องนี้ คือสิ่งที่เรียกว่า Cyborg Psychology ที่พูดถึงว่าเราจะเข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ AI ในระดับลึกได้อย่างไร โดยที่ใช้ความรู้จาก Phycology, Behavior Science, Cognitive Science, Neuroscience และศาสตร์ต่าง ๆ ที่ศึกษามนุษย์อย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะนำมาออกแบบ AI อย่างไรที่จะทำงานได้ดีที่สุด”
ดร.มนต์ชัยยังมองว่าเป็นความโชคดีของฝั่ง KBTG ที่ทีมงานสามารถทำงานได้ดีและสามารถฝังตัวในแล็บ เนื่องจากหัวข้องานวิจัยเป็นงานที่ไม่ง่าย และผลที่ได้รับนั้นลึกซึ้งกว่าการพัฒนาแชตบอตทั่วไป ทั้งการสร้างแรงจูงใจ การสร้าง Passion การทำให้ผู้ใช้เกิดเป้าหมายที่อยากจะพัฒนาตัวเอง แต่อาจไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งประสบการณ์จากทีมวิจัย ทำให้เกิดผลลัพท์จากระบบที่เป็นแชตหรือไม่ใช่แชตก็ได้
ในอีกด้าน การส่งคนไปที่ MIT ยังมีประเด็นน่าประทับใจเรื่อง Mindset ที่ตรงกัน โดยในขณะที่นักวิจัยต้องการทำงานวิจัย และ KBTG มีความต้องการเปลี่ยนงานวิจัยให้เป็น Product ในอีก Step แต่ 2 ฝ่ายต่างมีมุมมองที่ตรงกันเรื่องความต้องการทำให้เทคโนโลยีนี้สามารถสร้างประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ทำให้เกิด Impact สูง โดยเฉพาะในเรื่องของการศึกษาหรือเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม
ในภาพรวมของสัญญา ดร.มนต์ชัยเผยว่าระยะเวลาสัญญาของ MIT Media Lab และ KBTG คือ 3 ปี แต่สามารถต่อสัญญาได้ ซึ่งปัจจุบัน ความร่วมมือเกิดขึ้นเข้าสู่ปีที่ 3 และยังอยู่ระหว่างการปรึกษาผู้บริหารถึงการต่อสัญญาในอนาคต ส่วนนี้มีความเชื่อมโยงกับหลายส่วน ทั้งเรื่องงบประมาณ และการวิจัย เบื้องต้นมองว่าผู้บริหารจะมีวิสัยทัศน์ที่เห็นในทางที่ดี แต่ยังไม่ชัดเจนว่าอยู่ในรูปแบบใด
“โปรเจกต์นี้ถือว่าสำเร็จได้ตามเป้าหมาย จากที่หวังแค่งานวิจัยในปีแรก แต่เมื่อวิสัยทัศน์ขยายใหญ่ขึ้น งานวิจัยสามารถขยายขึ้นเป็นการมีโปรดักต์ที่มี Impact ซึ่งปัจจุบันผมคิดว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะว่าเรามีโครงการอย่าง Finly ที่ต่อยอดจาก FinLearn นั่นเป็นจุดที่ต่อยอดจากวิสัยทัศน์ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน นี่คือเป็นจุดที่ทำให้ KBTG มีนวัตกรรมมากกว่าองค์กรอื่น อย่างเช่นเราบอกว่าปัจจุบันนี้ ทุกบริษัทบอกเสมอว่าใช้ Generative AI ใช้ Chat GPT ซึ่งหลายองค์กรจะรู้เลยว่าข้อดีข้อเสียคืออะไร แต่เราใช้มานานแล้ว และทำ Future You ก่อนที่จะมีคำว่า GPT ด้วยซ้ำ ดังนั้น จุดหนึ่งที่ได้ประโยชน์คือเรามีประสบการณ์ค่อนข้างมากตรงนั้น”
ปัจจุบัน KBTG Labs มีนักวิจัยราว 20 คนนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้น 7 ปี ประกอบด้วยกลุ่มนักพัฒนาด้าน Computer Vision กลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีด้านเสียง รวมถึงกลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีด้านข้อความและภาษา ปริมาณงานวิจัยหลักอยู่ในกลุ่มวิทยาศาสตร์ข้อมูลมากกว่า 29 รายการ รองลงมาเป็นการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าหรือการพัฒนาขั้นตอนยืนยันตัวตน และสามารถวิเคราะห์ได้ว่าภาพบัตรประชาชนใดเกิดจากการตัดต่อภาพหรือการถ่ายรูปบัตรจริง ซึ่งมีน้อยรายที่สามารถทำได้ อีกส่วนคือ Natural Language Processing เรื่องเสียงธรรมชาติที่มีการใช้งานจริงกับ Call Center ที่มีการต่อยอดมาเป็นทะเลหรือ THaLLE
สำหรับงานวิจัยล่าสุดอย่าง Future You ที่ถือเป็นสิ่งที่พิสูจน์มาแล้วว่าไปได้ดีในทางทฤษฎี แต่ทางฝั่ง KBTG ยังพยายามหา Use Case ที่จะนำตัว Research มาทำให้เกิดการใช้งานจริงกับกรณีใช้งานจริง
“จากการที่ไปสำรวจมาและดูความเป็นไปได้ จะเห็นในส่วนที่เป็นงานให้บริการภายใน ซึ่ง Future You ตอบโจทย์มาก เช่นงานให้บริการให้คำปรึกษากับทาง HR เราอยากต่อยอด เพราะทางฝั่ง KBTG เองนอกเหนือจากงานที่ support ทางฝั่งธนาคารแล้ว เรายังมี partner อยู่ และหลายครั้งก็มีงานที่ต้อง support อยู่ล่าสุดมีการคุยกับองค์กรองค์กรหนึ่งถึงความเป็นไปได้ในการต่อยอด Future You รวมถึงนการส่งเสริมเพื่อยกระดับการศึกษาของคนในประเทศ หรือเด็กเยาวชน ซึ่งปัจจุบันเมืองไทยมีแต่คนเตรียมเนื้อหาการสอน แต่กลับลืมไปว่าต้องเตรียมพร้อมในขั้นก่อนหน้า ว่าเด็กมีความพร้อมหรือไม่ และเด็กกลุ่มหนึ่งยังไม่รู้เลยว่าเรียนไปเพื่ออะไร นี่คือตัวอย่างที่สามารถนำเอางานวิจัยที่มีอยู่มาช่วยตอบได้”
เมื่อถามถึงความจำเป็นของการทำวิจัยในระยะยาว 5 หรือ 10 ปี ดร.พัทน์มองว่าแม้บางสินค้าหรือบริการจะสามารถใช้เวลาพัฒนาต่ำกว่า 5 ปี แต่การทดลองที่ MIT Media Lab นั้นลงลึกไปมากกว่านั้น เชื่อว่าจะเริ่มเห็นผลในช่วงปีที่ 4 และปีที่ 5 ซึ่งไม่ว่างานวิจัยจะพร้อมหรือไม่ ก็ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาสู่การร่วมทุนต่อ ดังนั้นในฐานะนักวิจัยในสหรัฐอเมริกา จึงหวังให้มีความร่วมมือเกิดขึ้นได้ต่อไป
ในส่วนผลงานที่พัฒนาร่วมกับ KBTG ดร.พัทน์มองว่าเป็นความก้าวหน้าที่ชัดเจนเมื่อวัฒนธรรมการวิจัยของ MIT มีการขยายวงกว้างกว่าช่วง 3 ปีก่อนหน้านี้ นั่นคือการสาธิตหรือ Demo ให้เห็นชัดว่างานวิจัยสามารถทำงานได้จริงหรือไม่ ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย ทำให้ไม่ใช่งานวิจัยที่เป็นกระดาษ แต่มีต้นแบบให้ทดลองใช้งานและเก็บเสียงตอบรับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังเห็นได้น้อยในช่วงก่อนหน้านี้
“การสร้างบุคลากรที่มี Mindset ให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงลึกของ KBTG เกิดขึ้นได้ในรูปแบบ Top Down คือต้องเกิดจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารก่อน และอีกจุดคือต้องจ่ายไหว เพราะทั้ง Google และ Apple ต่างก็มาที่แล็บเหมือนกัน และของดีราคาถูกไม่มีในโลก นอกจากนี้คือวิสัยทัศน์ของผู้ใหญ่ ว่าเปิดโอกาส ในการนำเสนอไอเดียมากเท่าใด และสามารถโชว์ต้นแบบได้ เพราะหากทำดีแล้ว ก็จะมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเกิดเป็น Product ขึ้นมา และอย่างน้อยที่สุด งานวิจัยอาจจะล้มเหลวก็ได้ แต่จะต้องไม่มีทำงานเป็นไซโลคนเดียว บุคลากร KBTG จึงต้องมีสกิลที่หลากหลาย และนำคนที่มีความรู้หลากหลายเข้ามาทำงานร่วมกัน”
หากทำได้แล้ว KBTG จะขึ้นแท่นแถวหน้าบริษัท AI ชั้นนำของโลกแน่นอน
#KBTG #MITMediaLab #KBTGFellow #Technology #GenerativeAI #BeyondBanking #FutureYou #Coinnovation