การที่จะเปลี่ยนให้ทุกธุรกิจก้าวเข้าสู่การเป็นธุรกิจสีเขียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความร่วมมือในทุกภาคส่วน รวมถึงทางสถาบันการเงินเองด้วย ทำให้ในหัวข้อ “CEO Talk financing The transition” นี้จึงเป็นการขมวดรวมผลลัพธ์ที่ทั้ง 8 ธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ธนาคารยูโอบี ได้มาบอกเล่าว่า โครงการนี้มีผลิตภัณฑ์ที่จะสนับสนุนเงินทุนในการปรับตัวที่ต่างไปจากผลิตภัณฑ์เป็น Green finance ที่มีอยู่เดิมอย่างไรบ้าง
ธนาคารกรุงเทพ ออกสินเชื่อ ‘บัวหลวงกรีนฯ” เพื่อช่วยเหลือธุรกิจสู่ Net Zero แบบยั่งยืน
เนื่องจากในปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีเป้าหมายในการทำ Net Zero ภายในปี 2065 ธนาคารกรุงเทพจึงมีแนวทางการช่วยเหลือให้ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนและเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนการปรับตัวทั้ง 3 ด้าน คือ
- ด้านอุปสงค์ สนับสนุนการลงทุนการลดการใช้พลังงานหรือทรัพยากร
- ด้านอุปทาน สนับสนุนการลงทุนการผลิตหรือใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด
- ด้านมลพิษ สนับสนุนการลงทุนการปรับปรุงกระบวนการผลิตเช่นการเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรและยานพาหนะที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเป็นพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการลดการสร้างมลพิษอื่นๆ
ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ธนาคารกรุงเทพกำลังดำเนินการช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy) โดยการออกผลิตภัณฑ์ “บัวหลวงกรีนฯ” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนธุรกิจต่าง ๆ ให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงลดมลพิษที่เกิดจากกระบวนการผลิตได้ ผ่านวงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 8 ปี พร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านสินเชื่อบัวหลวงกรีนฯ ซึ่งมีตัวอย่างความสำเร็จจากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ในกระบวนการผลิตได้ถึง 70% หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน รวมถึงยังเป็นผู้นำในการช่วยเหลือการระดมทุนในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายตราสารหนี้สีเขียว หรือตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ตราสารหนี้เพื่อพัฒนาสังคม (Social Bond) ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) และตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bond) ในตลาดทุนไทยเพิ่มเติมด้วย
ธนาคารกรุงไทย ออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำแบบครบวงจร
ธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Product & Business Solution ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐได้มุ่งมั่นสนับสนุนภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) โดยการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจาก Brown Economy สู่ Less Brown และ Green Economy ในอนาคต เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emission ภายในปี 2065 ตามเป้าหมายของประเทศ โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน เช่น การออกเงินฝากสีเขียว Green deposite การระดมทุนผ่านหุ้นกู้สีเขียว (Green Bonds) เพื่อนำไปใช้ในการสนับสนุนสินเชื่อสีเขียว (Green loan) สำหรับโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รวมถึงธนาคารยังเปิดตัวสินเชื่อกรุงไทยเพื่อความยั่งยืน (ESG) ซึ่งให้วงเงินกู้สูงสุด 100% ของมูลค่าการลงทุน โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการปรับตัว โดยมีอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 4% ต่อปี และผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี เป็นต้น
นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทยยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น โครงการสินเชื่อเพื่อลด PM 2.5 ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล โดยการให้สินเชื่อเพื่อจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ เช่น รถตัดอ้อยและเครื่องบดอัดใบอ้อย พร้อมเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษและระยะเวลาชำระคืนสูงสุด 6 ปี รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์มการเงิน บริการธุรกรรมการค้า และชำระเงินดิจิทัลครบวงจรผ่าน “โครงการ PromptBIZ” เพื่อส่งเสริมการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนลดการเดินทางลดการใช้กระดาษและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจให้กับธุรกิจอีกด้วย
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชูสินเชื่อเพื่อสนับสนุน SME สู่ธุรกิจสีเขียว
Kenichi Yamato กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรุงศรีพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างลูกค้าและทุกธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจสีเขียวด้วยการเดินหน้าเป็นสถาบันการเงินที่ช่วยในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการให้บริการทางการเงินที่สอดคล้องกับแนวนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งต้องการสนับสนุนธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืน (Social and Sustainable Finance) มากขึ้นเพื่อให้บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
จึงผลักดันภาคการเงินให้เกิดความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วยการเปิดตัว Krungsri SME Transition Loan สินเชื่อเพื่อสนับสนุน SME สู่ธุรกิจสีเขียวที่ช่วยทั้งการปรับตัวและการเตรียมตั้งรับการเปลี่ยนแปลง โดยเสนอวงเงินสินเชื่อที่สูงและอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ทำให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของธุรกิจในปัจจุบันสามารถเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานหรือกระบวนการผลิตให้สามารถลดมลพิษและการนำพลังงานสะอาดมาใช้ได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และช่วยในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้ทางกรุงศรีฯ มุ่งเดินหน้าด้วยเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการให้บริการทางการเงินทั้งหมดภายในปี 2593 และจากกระบวนการทางธุรกิจของธนาคารภายในปี 2573 ซึ่งในขณะในปี 2566 ที่ผ่านมา กรุงศรีมียอดสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนเพิ่มขึ้น 71,000 ล้านบาท
ธนาคารกสิกรไทย มุ่งเน้นการสนับสนุน 4 อุตสาหกรรมหลักให้เปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน
ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม จึงร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการจัดทำเพื่อจัดทำ Industry Handbook เป็นคู่มือของธนาคารต่าง ๆ ในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น โดยธนาคารกสิกรไทยได้ตั้งเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อ Sustainable Finance ไม่ต่ำกว่า 1-2 แสนล้านบาท ภายในปี 2030 ซึ่งในปัจจุบันธนาคารได้สนับสนุนสินเชื่อไปแล้วกว่า 94,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 100,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถปรับตัวและดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
และโครงการ “Financing the Transition” ที่ทางธนาคารกสิกรไทยได้เข้าร่วมในครั้งนี้ ทางธนาคารได้มุ่งเน้นการสนับสนุนไปที่ 4 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์ Packagingและพลาสติก โรงแรมและhealthcare อาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับแรงกดดันจากกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ และธนาคารเองก็ได้รับการร้องขอจากลูกค้าในห่วงโซ่ธุรกิจค่อนข้างมาก ซึ่งการสนับสนุนนั้นจะมีการออกแพ็คเกจสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษทำให้ภาพรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของลูกค้าลดลงได้ โดยจะออกแบบให้เข้ากับแต่ละอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มก็จะรวมเรื่องการจัดการเศษอาหารหรือขยะอินทรีย์ต่าง ๆ เข้าไปด้วย หรือกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ก็จะเน้นการปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อน ระบบส่งกำลังต่าง ๆ ให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ฯลฯ นี่จึงเป็น solution ที่ตอบโจทย์แต่ละอุตสาหกรรมได้โดยเฉพาะได้อย่างแท้จริง
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เดินหน้าสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
อภินันทร์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและใกล้ตัวมากขึ้น ทำให้กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ทั้งในส่วนขององค์กรและการให้การสนับสนุนแก่ลูกค้า โครงการ “KKP Shaping Tomorrow” ที่เปิดตัวในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จึงเป็นความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและพันธมิตรธุรกิจมากกว่า 200 ราย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นภาคส่วนหลักที่เกียรตินาคินภัทรสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการปรับตัวของธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดยมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในกระบวนการก่อสร้าง (embodied carbon) และในช่วงการอยู่อาศัย (operational carbon) ซึ่งธนาคารเกียรตินาคินภัทรได้ร่วมมือกับพันธมิตร เช่น SCG ในการกำหนดและเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งหวังที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่เพิ่มต้นทุน
นอกจากการสนับสนุนทางการเงิน ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการให้ความรู้และเครื่องมือในการวัดและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแก่ลูกค้า ซึ่งรวมถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
คุณอภินันทร์ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน โดยคาดหวังว่าการสนับสนุนจากสถาบันการเงินและนโยบายของธนาคารจะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมต่อไปในอนาคต
ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) ร่วมวาง Framework และจัดสัมมนาให้ความรู้เพื่อธุรกิจไทย
ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีความรุนแรงและใกล้ตัวมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจโดยเฉพาะ SME ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ธนาคารทีเอ็มบีธนชาตจึงได้วางกลยุทธ์เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนลูกค้าในการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยเฉพาะในบริบทของอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงนี้
ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการวาง Framework เพื่อประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตให้กับธุรกิจในทุกขนาด ธนาคารได้สำรวจและวิเคราะห์ว่ามีกติกาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า 200 กติกาที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมาจากหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าของประเทศไทย ธนาคารได้ระบุว่า มีอุตสาหกรรมเสี่ยง 5 กลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่า 4,000 ราย ธนาคารจึงต้องการป้องกันไม่ให้ลูกค้าถูกผลกระทบอย่างฉับพลัน โดยการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญและบริษัทขนาดใหญ่ในการให้ความรู้และสนับสนุนด้านต่าง ๆ แก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
นอกจากนี้ ธนาคารทีเอ็มบีธนชาตยังได้จัดสัมมนาและเวิร์กช็อปต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อทำงานร่วมกับ SME ประมาณ 300 ราย โดยมุ่งเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ธุรกิจจะต้องเตรียมตัวในการเผชิญกับความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงนี้ รวมถึงทางธนาคารยังได้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับการปรับตัวของธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น การสนับสนุนการลดการเผาในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล และการทำให้ธุรกิจสุขภาพสามารถแสดงความเป็น Low Carbon Facility ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งสู่ความยั่งยืน มีเป้าหมาย Net Zero ในปี 2030
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ภายใต้การนำของคุณกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ประกาศความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน โดยเน้นย้ำว่า “ความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอด” จึงมีเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนให้ธุรกิจไทยมุ่งหน้าสู่ความยั่งยืนได้ด้วย 3 เป้าหมายหลัก คือ
- การปล่อยสินเชื่อสีเขียว: ธนาคารมีเป้าหมายที่จะปล่อยสินเชื่อสีเขียวให้ได้ถึง 150,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งในปัจจุบันได้ปล่อยไปแล้วกว่า 110,000 ล้านบาทนับตั้งแต่ปี 2023 เช่น กลุ่มธุรกิจโรงแรมซึ่งถือเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูง ธนาคารได้เปิดตัวโครงการสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนและการเพิ่มประสิทธิภาพ โดยมีแพ็คเกจสินเชื่อสีเขียวที่พร้อมให้การสนับสนุนการปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในโรงแรมให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง หรือสำหรับโรงแรมใหม่ที่ต้องการสร้างมาตรฐานสีเขียวตั้งแต่เริ่มต้น
- การเป็น Net Zero ในการดำเนินงานภายในปี 2030: ธนาคารตั้งเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินงานของตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้ดำเนินการปรับปรุงสาขาต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนระบบแอร์และปรับปรุงระบบไฟฟ้า
- การสนับสนุนลูกค้าสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050: ธนาคารมุ่งมั่นที่จะให้ลูกค้าทุกคนที่รับสินเชื่อจากธนาคารสามารถปรับตัวและเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น Net Zero ได้เช่นกันภายในปี 2050
ธนาคารไทยพาณิชย์ยังไม่เพียงแต่ให้สินเชื่อเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นในการให้ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นแก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับตัวและดำเนินการเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่น โดยธนาคารได้จัดหลักสูตรต่าง ๆ และทำงานร่วมกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อให้คำแนะนำและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในเชิงปฏิบัติ
UOB เดินหน้าสู่การเป็นสถาบันการเงิน ที่ช่วยสร้างให้ทุกธุรกิจยั่งยืนสอดคล้องกับหลักการ ESG
Richard Maloney กรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความมุ่งมั่นของธนาคาร UOB ในการเป็นผู้นำด้านการเงินที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 ธนาคาร UOB เชื่อมั่นว่าการตัดสินใจทางการเงินที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกเป็นสิ่งที่สำคัญ และจะเป็นแรงผลักดันให้กับอุตสาหกรรมและชุมชนสู่อนาคตที่ยั่งยืน
ในประเทศไทย ธนาคาร UOB ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การปล่อยกู้สีเขียวครั้งแรกในปี 2020 โดยจนถึงปี 2023 ได้สนับสนุนทางการเงินมูลค่า 33.1 พันล้านบาท โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกรอบการเงินเพื่อความยั่งยืนที่เข้มแข็ง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ ESG ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลและได้รับการรับรองโดยอิสระ
Richard Maloney เน้นย้ำว่านวัตกรรมเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพพลังงาน และการขนส่งที่สะอาด โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงิน แต่ยังเป็นตัวเร่งที่กระตุ้นให้องค์กรขนาดใหญ่และ SME นำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้ ธนาคาร UOB จึงมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินที่มีความรับผิดชอบและมีการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG อย่างครอบคลุม นอกจากนี้ ธนาคารยังได้เปิดตัวโครงการ UOB Sustainability Compass ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินออนไลน์ฟรี ที่ได้ช่วยเหลือกว่า 500 บริษัท ให้มีขั้นตอนที่ชัดเจนในการเริ่มต้นสู่ความยั่งยืนได้แล้วตั้งแต่วันนี้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
“ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร” Postdoc จาก MIT กับสมการ “โดราเอมอน=AI+จิตวิทยา”
Bitget มองตลาดคริปโทครึ่งปีหลังสดใส รับปัจจัยหนุนแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง