เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ออกมาแถลงเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ว่า เศรษฐกิจโต 2.3% สูงกว่าที่ตลาดคาดารณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ และดีกว่าไตรมาสแรก (โต 0.8%) รวมครึ่งปีเศรษฐกิจโต 1.9% และคาดการณ์ทั้งปี หรือปี 2567 เศรษฐกิจจะขยายตัวเฉลี่ย 2.5%
เลขาฯสภาพัฒน์บอกว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีดีพีไตรมาส 2 โต 2.3% ได้แรงหนุนสำคัญจากการผลิตนอกภาคเกษตรขยายตัวจากกลุ่มอุตสาหกรรม ขณะที่ท่องเที่ยวแม้ยังโตอยู่แต่ย่อลงเล็กน้อย และภาคเกษตรลดลงต่อเนื่อง
โดยส่วนประกอบของจีดีพีนั้นมีทั้งที่ขยายตัว ชะลอตัว (ลดลงแต่ยังบวกอยู่) และ หดตัว (ติดลบ) ไล่เรียงจากการบริโภคหรือการจับจ่ายใช้สอย ภาคเอกชนขยายตัว 4% ( ไตรมาสก่อนหน้า 6.9%) โดยการใช้จ่ายหมวดบริการขยายตัว 6.0% (ไตรมาสก่อนหน้า 13.7%)
การจับจ่ายในกลุ่มสินค้าไม่คงทน (อาหาร เครื่องดื่ม ฯลฯ) ขยายตัว 3.6% (ไตรมาสก่อนหน้า 4.7%) ส่วนสินค้ากึ่งคงทน (เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ) ขยายตัว 4.3% (ไตรมาสก่อนหน้า 3.3%) โดยสภาพัฒน์ระบุว่าเป็นการขยายตัวตามการจับจ่ายเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และรองเท้า
ส่วนสินค้าคงทนสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงลดลง 6.5% (ไตรมาสก่อนหน้าลดลง 6.7%) ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะตลาดรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวต่อเนื่อง ทั้งจาก ปัจจัยเปลี่ยนในตลาดรถยนต์จากการดัมพ์ราคาของรถไฟฟ้าจนผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ และปัญหาไฟแนนซ์ และแบงก์เข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อมากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เผชิญปัญหาเดียวกันจนหลายโครงการต้องชะลอออกไป
การบริโภคภาครัฐดีขี้นขยายตัว 0.3% (ไตรมาสก่อนหน้า ติดลบ 2.1%) โดยสะท้อนจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ขยายตัว 27.7% ขณะที่ไตรมาสก่อนหน้า การเบิกจ่ายงบประมาณขยายตัวเพียง 19.2% และไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 24.3%
ส่วนท่องเที่ยวไตรมาส 2 ปี แผ่วลงเล็กน้อย มีนักท่องเที่ยวเข้าไทย 8.13 ล้านคน สร้างรายได้ 3.32 แสนล้านบาท เช่น เดียวกับการท่องเที่ยวในประเทศที่โตต่อเนื่องเช่นกันโดยทำรายได้ 2.45 แสนล้านบาท รวมรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งสองส่วนอยู่ที่ 5.77 แสนล้านบาท
ส่งออกอยู่ในสภาพกลาง ๆ ไม่ดีแต่ไม่ถึงกับแย่ โดยส่งออกไตรมาส 2 มีมูลค่า 7.33 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้น 4.5% (ไตรมาสแรกลดลง 1.1%) ด้านนำเข้ามีมูลค่า 6.77 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1.2% (ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 3.3%) หักกลบลบกันระหว่างนำเข้า ส่งออกไตรมาสสอง การค้าเกินดุลอยู่ 1.6 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านการลงทุนสถานการณ์ไตรมาส 2 ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสแรก คือยังซึมอยู่ โดยการลงทุนรวมลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ที่ 6.2% โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลง 6.8% ส่วนการลงทุนภาครัฐลดลง 4.3% ซึ่งดีกว่าไตรมาสแรกที่ลดลงถึง 27.7% เมื่อแยกเป็นส่วนการลงทุนของรัฐบาลในไตรมาสนี้กระเตื้องขึ้นลดลง 12.8% ( ไตรมาสก่อนหน้าลดลง 46%) ส่วนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัว 10.1%
มาดูที่การเบิกจ่ายงบประมาณที่มีปัญหาล่าช้าตั้งแต่ปีก่อนหน้า ส่งผลให้เศรษฐกิจรวนไปชั่วขณะ โดยการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อการลงทุนในไตรมาสองที่ผ่านมาอยู่ที่ 24.0% สรุปครึ่งปีแรก ภาคการลงทุนภาพรวมลดลง 5.1% เป็นส่วนของเอกชน 0.9% และการลงทุนภาครัฐลดลง 16.7%
ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังที่เหลือสภาพัฒน์ มองว่ามีปัจจัยหนุนอยู่หลายประการที่จะดันให้เศรษฐกิจปีนี้โตไม่น้อยกว่า 2.5% เริ่มจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง การจับจ่ายใช้สอยยังขยายตัวในเกณฑ์ดี.. การใช้จ่ายภาครัฐ การขยายตัวอย่างช้าๆของการส่งออกและอื่น ๆ อีกมากมาย
ปัจจัยที่สภาพัฒน์ ยังไม่ได้ใส่ไปในการคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ คือ การแจกดิจิทัลวอลเล็ต ที่ ทักษิณ ชินวัตร บิดา และ ผู้ครอบครอง นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย ไปประกาศากลางงานปฐกถาเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าจะใช้งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท มาแบ่งจ่ายให้กลุ่มผู้เปราะบาง ประมาณว่ามีอยู่ประมาณ 14.5 ล้านคน คนละหมื่น ๆ ในเดือนกันยายนนี้
แม้ชัดเจนว่า จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะช่วยประคองจีดีพี ไม่ให้เสี่ยงด้านต่ำมากเกินไป แต่ช่วงที่เหลือของปีอีก 4 เดือนเศษ ยังมีเรื่องให้กังวลอีกทั้งปัจจัยโลกที่ไฟสงครามระอุขึ้นเรื่อย ๆ และปัจจัยในประเทศที่ต้องจับตา
สภาพัฒน์ มีมุมมองว่าในช่วงที่เหลือของปีการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคต้องทำหลาย ๆ อย่างหนึ่งในนั้นคือ การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมือง เรื่องเศรษฐกิจคงพอประคองกันไปจากปัจจัยที่ได้กล่าวมาข้างต้น แต่การเมืองเวลานี้คาดเดายากหลังความถูก ผิด เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตามอำนาจการเมือง สถานการณ์คลุมเครือเช่นนี้ ไม่เป็นผลดีต่อจีดีพี
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
งบฯ 2568 ก่อพายุหมุน หรือเติมความเสี่ยงให้เศรษฐกิจ
27 ปีผ่านไป วิกฤติต้มยำกุ้ง ยังตามหลอนคนไทย