Share on
×

Share

เดอะวิสดอมกสิกรไทย อัปเดตเลือกตั้งใหญ่ในยุโรปและสหรัฐฯ และนโยบายที่ส่งผลต่อตลาดการลงทุนทั่วโลก

เดอะวิสดอมกสิกรไทยจัดสัมมนาวิเคราะห์แนวโน้มโลกในปีแห่งการเลือกตั้งใหญ่ทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกาและนโยบายของพรรคการเมืองที่จะมีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลก พร้อมเจาะลึกถึงกลยุทธ์การลงทุนท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้นซึ่งมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อให้นักลงทุนสามารถวางแผนและต่อยอดการลงทุน สร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้ ผ่านมุมมองและการวิเคราะห์จากดร.บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการและ Chief Economist ศูนย์วิจัยกสิกรไทย 

อัปเดตการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั่วโลกโดยเฉพาะการเลือกตั้งของสหรัฐฯ

ในครึ่งปีหลัง 2567 เป็นห้วงเวลาที่ต้องจับตาการเลือกตั้งของประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา

เริ่มจากประเทศอังกฤษที่ผู้คนเน้นสนับสนุนพรรคการเมืองตามนโยบายเป็นหลัก การชนะแบบแลนด์สไลด์ของพรรคแรงงาน (Labour Party) ภายใต้การนำของ เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ (Keir Starmer) เป็นการเปลี่ยนขั้วการเมืองจากพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative) ไปสู่จุดยืนทางการเมืองของพรรคแรงงานที่ไปทาง “ซ้ายกลาง” และไม่สนับสนุนแผนปรับลดรายจ่ายภาครัฐที่รัฐบาลเดิมเสนอไว้ โดยพรรคแรงงานมุ่งเน้นเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณสุข การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยที่ไม่เพียงพอและมีราคาแพง เป็นต้น

ในขณะที่ฝรั่งเศส มีหลายขั้วอำนาจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง ฝรั่งเศสยังเผชิญกับปัญหาหนี้สินอยู่ในระดับสูง การขาดดุลงบประมาณ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายการเงินและการคลัง

ประเทศจีนที่มีการจัดประชุมใหญ่ Third Plenum ว่าด้วยเรื่องทิศทางนโยบายทางสังคมและเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ ซึ่งหันมาเน้นในเรื่องของเทคโนโลยี พลังงานสีเขียว และกำลังการผลิตคุณภาพใหม่ที่จะมีความยั่งยืนในระยะยาว 

และที่สำคัญที่สุดคือการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ซึ่งมีโอกาสทำให้หลายนโยบายเปลี่ยนแปลงไป จากผลสำรวจที่ออกมาแล้วว่า 2 แคนดิเดตชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างกมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) และโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Thump) นั้นยังมีผลความนิยมที่สูสี แน่นอนว่าการที่ใครจะได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ นั้นเป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะนโยบายที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งยิ่งใหญ่ได้ 

โดยกมลา แฮร์ริส นั้นจะเน้นนโยบายในด้านสาธารณสุข การสนับสนุนในด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมอย่างพลังงานสะอาด การเพิ่มภาษีคนรวย และการส่งเสริมรัฐสวัสดิการสังคม 

ในขณะที่ฝั่งโดนัลด์ ทรัมป์จะเน้นไปที่เรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจเป็นหลัก เช่น การลดภาษี การลดข้อบังคับทางธุรกิจ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 60% และจากทั่วโลกเพิ่มขึ้น 10% เพื่อเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ และส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งตามมาได้

จะเห็นว่าทั้ง 2 พรรคนั้นมีแง่มุมของนโยบายที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ในฝั่งของพรรคเดโมแครต (Democratic Party) จะเน้นให้ความสำคัญกับคนชนชั้นกลาง ส่วนพรรคริพับลิกัน (Republican Party) จะเน้นในภาคเอกชน 

ซึ่งทางคุณบุรินทร์วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า หากพรรครีพับลิกันของทรัมป์เป็นฝ่ายชนะจะส่งผลต่อการค้าโลกที่มีความรุนแรงกว่าตามข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้น อีกทั้งส่งผลกระทบในฝั่งของคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบสูงสุดคือ กลุ่มที่มีกำลังเกินดุลการค้ากับประเทศสหรัฐฯ ที่อยู่ในลิสต์คู่ค้า 5 อันดับแรก ได้แก่ เม็กซิโก จีน แคนนาดา เวียดนาม และเยอรมนี ส่วนประเทศไทยนั้นจะได้อยู่ในอันดับที่ 11 หากทรัมป์ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีและทำการขึ้นภาษีนำเข้า 10% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ GDP ใน 2-3 ปีรวมแล้วประมาณ -0.3% ดังนั้น นี่จึงเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับมองหาการลงทุนกับสินทรัพย์สกุลต่างประเทศ

จับกระแสค่าเงิน ดอกเบี้ย และทองคำ

จีนอาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าในฝั่งสหรัฐฯ 60% รวมถึงสงครามการค้า ทำให้เงินไหลออกนอกประเทศจีนค่อนข้างมาก แน่นอนว่าจะทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนลง ทำให้เงินในสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาคและประเทศไทยอ่อนตามไปด้วย ส่วนค่าเงินดอลลาร์จะมีโอกาสแข็งขึ้นในอนาคต

สำหรับการแข็งของค่าเงินบาทในปัจจุบันนี้เกิดจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 23 ปี แต่หลังจากมีสถานการณ์เงินเฟ้ออ่อนตัวดีขึ้น พร้อมทั้งถ้อยแถลงจากประธาน FED ล่าสุดมีการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยแล้ว โดยคาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลง 8 ครั้งคือ ภายในปีนี้ 4 ครั้งและภายในปีหน้าอีก 4 ครั้ง ส่งผลให้นักลงทุนย้ายไปถือสกุลเงินที่ได้ดอกเบี้ยสูงแทน เรียกว่า Carry Trade โดยเฉพาะตลาดของการลงทุนในค่าเงินญี่ปุ่นที่จะเห็นว่าเกิด Yen Carry Trade ที่เปลี่ยนจากการถือเงินเยนไปถือเงินสกุลอื่น เช่น เปโซ ดอลลาร์ ทำให้ค่าเงินไทย และเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่ามากขึ้น

สำหรับในเดือนนี้น่าจะเห็นดอกเบี้ยโลกพีคมากที่สุด แล้วต่อไปจะเป็นช่วงดอกเบี้ยขาลง และจะลงไปต่อเนื่องอีก 2-3 ปี ดังนั้น จะทำให้ราคาของทองเพิ่มมากยิ่งขึ้น พอราคาทองเพิ่มขึ้นค่าเงินบาทก็จะแข็งขึ้นด้วย 

4 Mega Trend ที่น่าสนใจ สร้างโอกาสการลงทุนทั่วโลก

นอกจากนี้ คุณบุรินทร์ยังได้สรุป Mega Trend ที่น่าสนใจของโลกเอาไว้ให้ด้วยอีก 4 เทรนด์ใหญ่ด้วยกัน คือ 1.) การรับมือกับเศรษฐกิจผู้สูงวัย (Sliver Economy) 2.) ยา เทคโนโลยีรักษาโรค และการดูแลสุขภาพ 3.) AI (Artificial Intelligence) และ 4.) การท่องเที่ยว 

การรับมือกับเศรษฐกิจผู้สูงวัย (Sliver Economy) เป็นเทรนด์ของการที่มนุษย์มีอายุยืนยาวมากขึ้น และมีลูกน้อยลง ทำให้โลกตกอยู่ในสภาวะที่เรียกกันว่า เศรษฐกิจผู้สูงวัย (Sliver Economy) โดยอ้างอิงจากประเทศจีนที่ว่าจะมีผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีประมาณ 400 ล้านคน ซึ่งก็เป็นโจทย์ที่ว่าจะสามารถดูแลผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้อย่างไร จะสามารถใช้เทคโนโลยี หรือ AI เข้ามาดูแลได้หรือไม่ ซึ่งก็มีหลายประเทศที่เริ่มพัฒนา AI เพื่อการดูแลในด้านต่าง ๆ เช่น อย่างประเทศจีนใช้ AI ในด้านการดูแลด้านคมนาคม การใช้โรบอทเพื่อดูแลผู้สูงอายุ การทำ Chat Bot 

ผลต่อเนื่องการเศรษฐกิจสูงวัย ทำให้มีการพัฒนาด้านยา การดูแลสุขภาพ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี MRI, การพัฒนายาและการดูแลสุขภาพอย่างการทำยาลดน้ำหนัก ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดพัฒนามาเพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพเป็นหลัก

AI (Artificial Intelligence) เป็นเมกะเทรนด์ แต่คุณบุรินทร์แนะว่าการลงทุนใน AI ควรดูต้นน้ำ AI เช่น การลงทุนในเครื่องผลิตชิป เซมิคอนดักเตอร์ จะยั่งยืนกว่าการลงทุนใน Nvidia เพราะในปัจจุบันนี้มีหลายบริษัทที่เข้าแข่งขันกันในตลาดเพื่อพัฒนา Generative AI แต่อาจจะยังไม่เห็นว่าใครเป็นผู้นำแบบชนะขาด วันนี้ยังเป็นผู้นำแต่วันหน้าก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะโดนแซงหน้า ดังนั้นการลงทุนที่ต้นน้ำ AI จึงลดความเสี่ยงได้มากกว่าการลงทุนปลายน้ำในเทคโนโลยี AI ที่คุ้นเคยกัน

เทรนด์เที่ยวเหมือนเดิมแต่การใช้จ่ายลดลง ชี้ว่าคนท่องเที่ยวเหมือนเดิมแต่อาจจะใช้จ่ายน้อยลง ถ้าเป็นการลงทุนในกลุ่ม Hi-end Travel มองว่ายังคงไปได้ดี แต่ถ้าในระดับชนชั้นกลางคนก็อาจจะยังเที่ยวเยอะอยู่แต่จะประหยัดมากขึ้น

ดังนั้น หากที่ต้องการลงทุนใน Mega Trend ในระยะยาว Mega Trend ในด้านกลุ่ม Healthcare และ AI นับเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจและน่าลงทุน

คุณบุรินทร์เสริมเพิ่มเติมในเรื่องของการจัดสรรพอร์ตการลงทุนในช่วงที่เกิดความผันผวนในตลาดค่อนข้างมากเช่นนี้ว่า หากจบการเลือกตั้งลงค่าเงินดอลลาร์อาจจะแข็งใหม่ นี่จะเป็นโอกาสที่นำเงินบาทออกไปลงทุนในกองทุนที่ไม่ได้ Fix ค่าเงินไว้ อย่างกองทุนที่เป็น Mega Trend เช่น Tech, AI, Healthcare และอาจจะได้ค่าเงินในระยะยาวด้วย แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงทั้งจากผลกระทบจากการเลือกตั้ง จากนโยบาย หรือค่าเงิน จึงแนะนำให้เน้นการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง โดยอาจจะเน้นสร้างพอร์ตที่ไม่เสี่ยงประมาณ 70-80% จะปลอดภัยที่สุด

กองทุนแนะนำรับ Mega Trend 

  • K-FIXEDPLUS (กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ พลัส ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป) – มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงเงินฝากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ลงทุนในต่างประเทศได้ไม่จำกัดอัตราส่วน โดยจะป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ​
  • K-GINFRA-A(D) (กองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุน-A ชนิดจ่ายเงินปันผล) – มีนโยบายลงทุนในกองทุน Morgan Stanley Investment Funds Global Infrastructure, Class Z​ (กองทุนหลัก) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น และ REITs ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกไม่น้อยกว่า 70% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน
  • K-HIT-A(A) (กองทุนเปิดเค โกลบอล ไฮอิมแพ็คธีมาติก หุ้นทุน-A ชนิดสะสมมูลค่า) มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก มุ่งเน้นสร้างพอร์ตการลงทุนให้หลากหลายผ่านกลยุทธ์การคัดเลือกธีมการลงทุน (Theme) กลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) และหุ้น (Stock) ซึ่งการคัดเลือกจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนหลักในแต่ละช่วงเวลา​ โดยกองทุนหลัก​ลงทุนในตราสารทุนตามวัตถุประสงค์การลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน และมีการลงทุนในตราสารทุนที่นอกเหนือตามวัตถุประสงค์ได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน​
  • K-GHEALTH (กองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน) – กองทุนที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund, Class A (acc) – USD ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นบริษัทที่ประกอบธุรกิจดูแลสุขภาพทั่วโลกไม่น้อยกว่า 67% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน

*ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

×

Share

ผู้เขียน