, , , ,

เยี่ยมชม “ไทยวาโมเดล” ณ ไร่มันสำปะหลัง มาตรฐาน FSA อ.โนนสะอาดจ.อุดรธานี

ทำไมต้องไปดูไร่มันสำปะหลังถึงอุดร? ก็เพราะอุดรธานี เป็น 1 ใน 2 พื้นที่ที่ได้รับการรับรอง FSA มาตรฐานเกษตรยั่งยืน (Farm Sustainability Assessment) ของการทำการเกษตรบนพื้นฐานที่ต้องการปฎิบัติตามมาตรฐานสากล (SAI Platform) ส่วนอีกแห่งอยู่ประเทศกัมพูชาภายใต้การสนับสนุนของบริษัทไทยวา จำกัด (มหาชน)

ไทยวา’ คือหนึ่งในภาคเอกชนที่ยื่นมือเข้ามาร่วมสนับสนุนการเกษตรยุคใหม่ โดยสร้าง ไทยวาโมเดล มุ่งเน้นการจัดการดินซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเพาะปลูก เข้าช่วยแก้ไขปัญหาแก่เกษตรกร และยกระดับการทำเกษตรกรรมตามแนวทางเกษตรยั่งยืน จากวิสัยทัศน์หลัก Creating Innovation and Sustainability from Farm to Shelf ที่นำสู่การนำนวัตกรรมมาสร้างคุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การส่งเสริมชาวไร่ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบหลัก โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาไทยวาได้นำนวัตกรรมและองค์ความรู้มาบูรณาการจนเกิดเป็นโมเดลดังกล่าว

ทั้งนี้ มันสำปะหลัง นอกจากจะเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญของไทยวา เหนือกว่านั้นยังเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตมากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ปริมาณการผลิตกว่า 20 ล้านตันต่อปี (อันดับ 1 คือแอฟริกา) ในจำนวนนี้ได้ส่งออกไปต่างประเทศถึง 70% ทำให้เป็นประเทศผู้ส่งออกมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอันดับ 1 ของโลก มูลค่าการส่งออกปีละ 93,000 ล้านบาท

แต่ด้วยสภาพภูมิอากาศแปรปรวนจากปัญหาโลกร้อนทำให้เกิดฝนทิ้งช่วง มันสำปะหลังขาดน้ำ ตลอดจนการระบาดของไวรัสใบด่างในช่วงที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ชาวไร่ขาดแคลนต้นพันธุ์ปลอดโรคสำหรับเพาะปลูก ผลผลิตมันสำปะหลังของไทยจึงลดลงอย่างยิ่ง จนอาจมีผลกระทบต่อสถานะผู้ส่งออกอันดับ 1 ที่ครองมาตลอด 20 ปี

Sustainable Framework ขับเคลื่อน

ในฐานะผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แป้งและอาหารชั้นนำ โดยมีธุรกิจประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ 1. STARCH & STARCH RELATED 2. FOOD PRODUCTS เจ้าของแบรนด์วุ้นเส้นมังกรคู่และอื่นๆ และ 3. BIODEGRADABLE PRODUCTS หทัยกานต์ กมลศิริสกุล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายกลยุทธ์ ความยั่งยืน นวัตกรรม บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ทุก ๆ ธุรกิจที่ทำมีความสำคัญต่อโลก ต้องเป็นผลบวกต่อโลก ต่อคู่ค้า เกษตรกร พนักงาน ลูกค้า 

ดังนั้น ไทยวาขับเคลื่อนด้วย Sustainable Framework สร้างนวัตกรรมและความยั่งยืนจากฟาร์มสู่ชั้นวาง (Creating Innovation and Sustainability from Farm to Shelf) มี 4 เสาหลัก คือ

1. Farmer Development เกษตรกร ทำให้ชีวิตดีขึ้น ผลผลิตดีขึ้นด้วยนวตกรรมที่ดีต่อโลก โดยขับเคลื่อนการทำเกษตรกรรมแบบยั่งยืน ปฏิบัติและส่งเสริมการเกษตรแบบปฏิรูป และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

2. Green Factory and Community มีความรับผิดชอบต่อชุมชน ใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งน้ำ ไฟ ไม่ปล่อยน้ำเสีย ส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงาน การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

3. Family and Well-Being ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาบุคลากร การปรับปรุงอาชีวอนามัยและคุณภาพชีวิต พัฒนาการทรัพยากรมนุษย์ของผู้ร่วมงาน และ 4. Food & Finished Goods ผลิตภัณฑ์ที่ออกจากบริษัทต้องมีผลต่อความยั่งยืน แป้งที่ผลิตจากมันสำปะหลัง ต้องลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของโลกให้ได้ รวมถึงอาหารวัว ที่มีพาร์ตเนอร์ในยุโรปช่วยวัดค่า เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น สามารถลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้ 30% เป็นนวัตกรรมที่ทำและได้เห็นผลบวกออกมา ซึ่งจะขยายให้ใหญ่ขึ้นต่อไป

สิ่งที่ทำต้องวัดค่า KPI ได้ เช่น ชีวิตเกษตรกรดีขึ้นระดับใด วัด Carbon Creation จากอุตสาหกรรมโรงงาน วัดการสนับสนุนครอบครัวเกษตรกร ครอบครัวพนักงาน การใช้จ่ายด้านอาร์แอนด์ดี ครอบคลุมการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ อีกทั้งตั้งเป้าว่า วัตถุดิบที่บริษัทผลิตออกมาจะต้อง Clean Label หรือไร้สารเคมี ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภค ทั้งยังลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกและกระดาษลงได้

เกษตรยั่งยืน

การดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามมาตรฐานเกษตรยั่งยืน FSA (Farm Sustainability Assessment) ซึ่งกิจกรรมที่ทำคือการพัฒนาเกษตรกรทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา

“บริษัทรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรประมาณ 50,000 รายในภูมิภาคนี้ และต้องการจะช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้น ซึ่งการเกษตรขึ้นกับดิน เรามีระบบทดสอบดิน มีโรงเรือนสีเขียว 13 แห่ง รวมในประเทศกัมพูชาด้วย ส่งเสริมการใช้ผลิตท่อนพันธุ์สะอาด ปราศจากโรค มีผลผลิตดีต่อการปลูก และมี TW8 ปุ๋ยชีวภาพช่วยฟื้นฟูดิน”

ไทยวาโมเดลเน้นจัดการดิน

พรศักดิ์ เอี่ยมนาคะ ผู้ช่วยผู้จัดการพัฒนาฟาร์มและนวัตกรรม บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน)

พรศักดิ์ เอี่ยมนาคะ ผู้ช่วยผู้จัดการพัฒนาฟาร์มและนวัตกรรม บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) เนื่องจาก ‘ดิน’ เป็นพื้นฐานสำคัญของการเพาะปลูก หัวใจสำคัญของไทยวาโมเดลคือ การดูแลดิน ผนวกกับการส่งเสริมการทำเกษตรอย่างมีความรับผิดชอบ ภายใต้โมเดลนี้มีเสาหลัก 3 ด้าน ได้แก่

1. การดูแลดินด้วยปุ๋ยชีวภาพ บริษัทได้คิดค้นปุ๋ยชีวภาพไทยวา8 (TW8) ขึ้น เพื่อบำรุงและฟื้นฟูดิน ประกอบด้วยจุลินทรีย์ 8 ชนิดที่มีบทบาทสำคัญในการย่อยอินทรีย์วัตถุให้กลายเป็นสารอาหาร ช่วยตรึงไนโตรเจนในอากาศลงสู่ดิน และช่วยสร้างสารอาหารที่จำเป็น เช่น ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม และช่วยให้ปุ๋ยเคมีมีประสิทธิภาพดีขึ้น

เกษตรกรสามารถผลิตปุ๋ยชีวภาพ TW8 ได้เอง โดยใช้ของเหลือทิ้งจากการเกษตรได้อย่างหลากหลาย เช่น ใบมันสำปะหลัง จึงทำได้ง่าย ช่วยลดต้นทุน แต่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการเจริญเติบโตให้กับพืช เป็นปุ๋ยที่ตรงตามข้อกำหนดของกรมวิชาการเกษตร ซึ่งกำลังขึ้นทะเบียนเป็นปุ๋ยชีวภาพตัวแรก โดยต้องมีปริมาณจุลินทรีย์มากพอ และไม่ปนเปื้อน

นวัตกรรมไทยวา 8 ประกอบด้วย 1. TW8 Bioinoculants จุลินทรีย์กลุ่มพีจีพีอาร์ มีความสามารถในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช และย่อยของเหลือทางการเกษตรและจากโรงงานให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่มีประโยชน์ 

2. TW8 Compost ปุ๋ยอินทรีย์ อินทรีย์วัตถุสูง รวมถึงสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ทั้งยังสามารถกักเก็บน้ำสูง และ 3. TW8 VermiTea สารแช่ท่อพันธ์ุจากไส้เดือน ผลิตภัณฑ์ต่อยอดจากการเลี้ยงไส้เดือนร่วมกับจุลินทรีย์ไทยวา 8 เพื่อการเพิ่มสารอาหารและฮอร์โมนจากไส้เดือน ที่ช่วยส่งเสริมการแตกยอด ใบ และรากที่สมบูรณ์ของพืช

2. นวัตกรรมพลาสติกคลุมดินที่ย่อยสลายได้ โดยบริษัทออกพลาสติกคลุมดิน ROSECO ที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เป็นนวัตกรรมที่ไม่เพียงช่วยลดการใช้สารเคมีเพื่อกำจัดวัชพืช แต่ยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในดิน ตอบโจทย์ปัญหาฝนทิ้งช่วงที่เกษตรกรไทยกำลังประสบอยู่ จึงช่วยเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังได้อย่างมีนัยสำคัญ หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตยังไถกลบฟิล์มชีวภาพได้

3. ธนาคารท่อนพันธุุ์มันสำปะหลังปลอดโรคซึ่งบริษัทใช้นวัตกรรมและองค์ความรู้จากโครงการโรงเรือนกระจกเพื่อการขยายท่อนพันธุุ์มันสำปะหลังแบบเร่งด่วน ซึ่งร่วมมือกับสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย (TTDI) ทำให้เพิ่มจำนวนท่อนพันธุ์มันสำปะหลังได้อย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เพาะได้ครั้งละ 4-5 ท่อน เป็น 20 ท่อน จึงจัดหาท่อนพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพสูงให้เกษตรกรในเครือข่ายได้อย่างต่อเนื่อง ได้แจกจ่ายต้นมันสำปะหลังปลอดโรคไปแล้ว 903,792 ต้น

ทั้งหมดนี้ทำให้ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรยั่งยืน FSA (Farm Sustainability Assessment) ของการทำการเกษตรบนพื้นฐานที่ต้องการปฎิบัติตามมาตรฐานสากล (SAI Platform) 2 พื้นที่คือ อุดรธานี และกัมพูชา

“การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ มีทีมอาร์แอนด์ดีภายในกว่า 20 คนช่วยกันดำเนินการ ค้นคว้าเรื่องแป้ง ไบโอพลาสติก ปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งขับเคลื่อนตามลำพังไม่ได้ จึงสร้างเครือข่าย โดยลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัปทั่วโลก ในอินเดีย สหรัฐ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย พาร์ตเนอร์ชิปเป็นเรื่องสำคัญของการขับเคลื่อนนวัตกรรม”

นอกจากอาหารวัว ควาย ซึ่งเป็นสัตว์ 4 กระเพาะเหมือนกัน ยังมีสูตรสำหรับม้า หมู แต่ขนาดยังเล็ก เลยเริ่มที่วัวก่อน

เกษตรกรโนนสะอาดใส่ใจโลก

ศิริเทพ ศิริวรรณ์หอม ประธานแปลงใหญ่ เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง อำเภอโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี

ศิริเทพ ศิริวรรณ์หอม ประธานแปลงใหญ่ เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง อำเภอโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี ซึ่งรวมกลุ่มเกษตรกรปลูกมันสำปะหลังกว่า 200 คน พื้นที่ 2,900 ไร่ เล่าว่า เกษตรกรมีปัญหาหลักๆ 2 ระดับ คือ ระดับต้นๆ คือ หาที่ขายผลิตผลยาก ไม่มีคู่ค้ามืออาชีพที่ต้องการทำงานร่วมกันระยะยาว จึงหารือกับไทยวาถึงทางออก ได้แนวทางแก้ปัญหาว่า ฝ่ายเกษตรกรต้องพัฒนาคุณภาพสินค้ามันสำปะหลัง ฝ่ายโรงงานหาทางทำให้ราคาเพิ่ม หรือมีผลประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ช่วยการฝึกอบรม การสนับสนุนเครื่องไม้เครื่องมือ 

ปัจจุบัน ไทยวาเข้าช่วยให้ทางกลุ่มมีลานรวบรวมผลผลิต 3 แห่ง และคาดว่าจะกระจายออกไปมากขึ้นอีก จาก 3 ตำบล เป็น 6 ตำบลครอบคลุมทั้งอำเภอ

จากวิกฤติโลกร้อน ภัยแล้ง ได้มาหาทางออกร่วมกันระหว่างเพื่อนสมาชิก และไทยวา โลกใบนี้ก็ต้องการทางออกเช่นกัน พวกผมเลยมองว่า ทำอย่างไรจึงจะทำพร้อมกันได้เลย จึงมาจบที่ความยั่งยืน ซึ่งล้อกับนโยบายความยั่งยืนของภาครัฐ หรือ ESG และ Carbon Emission ก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขายแป้งไปต่างประเทศ

“พวกผมเป็นหลังบ้านก็จะทำเรื่องพวกนี้ เพื่อการจัดการก๊าซ ไม่ปล่อยก๊าซที่มาจากปุ๋ยยูเรียมากไป ลดการสร้างก๊าซมีเทน โดยอาศัยผู้ช่วยหลายทาง ทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย ไทยวา ได้เข้ามาให้ความรู้ ข้อคิด และพาทำ คาดว่าไม่นานจะได้ผลลัพธ์ตรงนี้ กลุ่มผมพร้อมที่จะเรียนรู้ เปิดใจรับรู้สิ่งใหม่ ๆ ขณะเดียวกัน จะไม่ทิ้งสิ่งเดิม ๆ คือ ความเป็นอยู่ของชุมชน สังคมที่มีญาติพี่น้องอยู่ด้วยกัน ต้องอยู่ให้ได้ท่ามกลางกระแสโลกแบบนี้”

อีกระดับคือ ทั่วโลก ซึ่งการทำดี ลดการปล่อยก๊าซได้ จะต้องมีที่ปรึกษา หาผู้รับรอง เพื่อให้ได้รับมาตรฐานบางอย่างที่จะนำไปแสดงกับทั่วโลกได้ว่า เกษตรกรอำเภอโนนสะอาดก็ตั้งใจช่วยโลกใบนี้เช่นกัน ไม่ใช่เพียงทำอาชีพแล้วปล่อยไป

ด้านการผลิตหลังจากมีที่ปรึกษา ได้เรียนรู้และทดลองนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เข้ามา ได้เพิ่มปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังจากไร่ละ 3 ตัน เป็น 5-8 ตันต่อไร่ และยังตั้งเป้าจะเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพิ่มเป็น 12-15 ตันต่อไร่ต่อไป ภายใต้เงื่อนไขระบบน้ำต้องพร้อม

พัฒนาเศรษฐกิจองค์รวม

พร้อมกันนี้ ไทยวาได้ยกระดับการพัฒนาด้านความยั่งยืนไปอีกขั้น ด้วยการนำ “โมเดล BCG” ที่เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมไปพร้อมกัน 3 มิติ มาประยุกต์ใช้แก่เกษตรกร ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเน้นการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เชื่อมโยงกับ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และทั้ง 2 เศรษฐกิจนี้ อยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)

บริษัทนำกากมันสำปะหลังมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ Thai Win (ไทยวิน) เพื่อหมุนเวียนนำทรัพยากรกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่ย่อมเยาแก่เกษตรกร 

ประไพ ภูลายยาว เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกระบือสวยงามในอำเภอโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี เล่าว่า ได้หันมาใช้อาหารสัตว์ของไทยวา เพราะชอบแนวคิดเรื่องการหมุนเวียนนำของเหลือทิ้งกลับมาสร้างคุณค่า นอกจากจะดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังช่วยลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ลงถึง 40% จากเดิมอยู่ที่ 350 บาทต่อตัวต่อวัน ลดเหลือ 210 บาทต่อตัวต่อวัน เท่ากับได้ผลดี 3 ต่อ คือ อาหารสัตว์ที่มีคุณภาพ ลดค่าใช้จ่าย และช่วยดูแลโลกและสิ่งแวดล้อม

เปิดใจ “หทัยกานต์ กมลศิริสกุล” วางกลยุทธ์มุ่งสู่ความยั่งยืน

หทัยกานต์ (แก้ม) กมลศิริสกุล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายกลยุทธ์ ความยั่งยืน นวัตกรรม บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน)

ในฐานะผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายกลยุทธ์ ความยั่งยืน นวัตกรรม บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หทัยกานต์ (แก้ม) กมลศิริสกุล เล่าถึงภาระหน้าที่ของงานดูแลกลยุทธ์ความยั่งยืน ว่า อยู่ไทยวามา 5 ปีครึ่ง เริ่มจากการทำกลยุทธ์และขยายงานเพิ่มขึ้นๆ ทำด้านการตลาด นักลงทุนสัมพันธ์ ความยั่งยืนที่รับผิดชอบเรื่องฟาร์มทั้งหมด และความยั่งยืนของกลุ่ม เป็นผู้นำธุรกิจใหม่ของไทยวา 3 เรื่อง คือ Agri-Bio อาหารสัตว์ และ Bio Plastic

ก่อนจะมาไทยวา เธอสั่งสมประสบการณ์มากมายจาก 9 บริษัทใหญ่ของไทย และระดับโลก เช่น เอสซีจี ดีลอยท์ อีวาย รอยเตอร์ กรุงศรี เทสโก้ คลุกคลีกับงานที่ปรึกษา และงานกลยุทธ์มามากมาย

เธอเข้าร่วมงานกับไทยวา เพราะเป็นจังหวะเวลาและโอกาสที่บรรจบกันพอดี หลังจากได้ ‘คุย’ กับ ‘คุณเรน’ หรือคุณโฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แล้วพบว่า มีโอกาสที่จะทำอะไรที่ต้องการทำแต่ยังไม่ได้ทำอีกมากมายในที่ทำงานเดิม รวมถึงวิชั่นของไทยวา เป็นการทำเพื่อเกษตรกรด้วย เลยตัดสินใจมาร่วมงาน

“หลังมา ได้มีโอกาสทำมากกว่าที่ฝันไว้ อยู่มา 5 ปีครึ่ง สิ่งที่อยากเห็น อยากเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างบริษัทๆ หนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เป็นบริษัทที่ยั่งยืนระดับโลก สร้างทีมระดับโลก ทำผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน คือสิ่งที่ทำอยู่ และต้องการทำให้ใหญ่กว่าเดิม แม้เป็นบริษัทเล็ก ๆ แต่ก็อยากเป็นบริษัทที่สร้างแรงบันดาลใจให้ที่อื่น ๆ ทำได้มากกว่านี้เหมือนกัน”

ทดสอบและเรียนรู้เสมอ

การทำไทยวาโมเดล เรา Test and Learn มา 2-3 ปีแล้ว แน่นอนว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เราก็เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ

“ได้มีโอกาสไปเล่าเรื่องนี้ ให้รองเลขาธิการประชาคมอาเซียนฟัง ต.ค.2566 และใช้เวลาเขียน proposal พักหนึ่ง และใช้เวลา testing ให้เห็น เขาได้นำเรื่องความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานมันสำปะหลัง ไปบรรจุในวาระของอาเซียน นำ proposal ของไทยวาไปแชร์กับประเทศสมาชิกเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว เพื่อดูว่าจะมีใครมาสนับสนุนทุนกับโมเดลนี้ เพื่อนำไปลงทุนให้เกษตรกรทำในอาเซียน ประมาณ พ.ย.นี้ จะมีอาเซียนมีตติ้ง ที่ลาว ก็จะไปแบ่งปันข้อมูลต่อ อยากให้รัฐบาลแต่ละประเทศสนับสนุนโมเดลแบบนี้สำหรับเกษตรกร ทุกวันนี้คนพูดเรื่องข้าวกันมาก ซึ่งต้องมีอยู่แล้ว และที่รองจากข้าวคือ มันสำปะหลัง”

ขณะเดียวกัน เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ได้ชวนให้เขียนร่าง sustainable rights framework ของโลก ควรเป็นแบบไหน มีบริษัทใหญ่ระดับโลกเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาร่วมกันร่าง ว่า ควรมีกรอบอย่างไร รัฐบาลแต่ละประเทศควรสนับสนุนอะไร ซึ่งแต่ละประเทศอาจแตกต่างกัน การต้องลดอุณหภูมิโลกต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส จะต้องทำอย่างไร เป็นต้น

ตรวจสอบและฟังผลเสม

ใช่เพียงมุ่งมั่นทำงานอย่างเดียว แต่ทุกการทำงานได้ตรวจสอบ และฟังผลสะท้อนจากพาร์ตเนอร์ถึงสิ่งที่ทำมาตลอดเวลา ซึ่งพาร์ตเนอร์นี้มีทั้งองค์กรแสวงหารายได้ และองค์กรไม่แสวงผลกำไร เช่น เทมาเส็ก มูลนิธิร็อกกี้ เฟลเลอร์

“ได้เล่าให้ฟังว่า ทำอะไรบ้าง เขาก็มีผลตอบรับที่ดี ซึ่งเราทำมามาก และเช็คตัวเองตลอดน่าจะเป็นผลดี”

ทั้งนี้ งานที่ทำไม่มีวันจบ ความท้าทายมีมาก เช่น ทำ Regenerative Agriculture (ระบบเกษตรกรรมฟื้นฟู) ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ต้องมีทั้งโรงงาน และผลิตภัณฑ์ ทั้งหมดต้องหมุนเวียน (circular) ฉะนั้นต้องทำอีกมาก

สร้างผลิตภัณฑ์เพื่อโลกในราคาจับต้องได้

ยกตัวอย่าง วันนี้มีไบโอพลาสติก ตอนออกผลิตภัณฑ์ ของเราแพงกว่าพลาสติกทั่วไป 50% แม้จะดีต่อโลก แต่ทราบอยู่แล้วว่า ไม่มีใครตอบรับ เพราะสุดท้ายคนก็ต้องมองเงินในกระเป๋า

เจตนาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไม่ได้ต้องการขายเพียงตลาดเฉพาะ เพราะผลิตของดีออกมา จึงต้องการให้เป็นผลิตภัณฑ์กระแสหลัก ดังนั้น ที่ผ่านมา ได้ทำอาร์แอนด์ดี เพื่อหาทางลดคอสต์ลง จนปัจจุบัน คอสต์แพงกว่าโซลูชั่นอื่นๆ 10% นับเป็นราคาที่ลดลงมาก และเริ่มมีผู้ตอบรับแล้ว มีอาจารย์มหาวิทยาลัยนำไปใช้ในแปลงเกษตร แต่ถ้าสามารถขยายการใช้งานเพิ่มขึ้นก็จะเป็นผลกระทบที่ใหญ่ขึ้น 

“แก้มหวังว่า ไทยวาไม่ได้เป็นบริษัทเดียวที่ทำอะไรแบบนี้ แต่จะมีบริษัทอื่นมาทำด้วย เพราะเห็นว่า ทำได้ และเป็นสิ่งที่มาแล้ว นับเป็นหนึ่งในอินสไปร์”

สร้างความสำเร็จจากจุดเล็ก ๆ ด้วยทีมที่ดี

เธอเล่าด้วยว่า ในอดีตงานที่ทำจะอยู่ออฟฟิศมาโดยตลอด การออกภาคสนามมีน้อยมาก การทำกำไรเพียงลงโปรโมชั่นก็ได้มาระดับร้อยล้านบาทแล้ว กระทั่งมาไทยวา ได้ออกภาคสนาม พบโรงงานที่ต้องทำงานหนัก เกษตรกรเหนื่อยมากๆ 

“รู้สึกว่า การมาทำเรื่องความยั่งยืนของฟาร์มทำนิดนึง อาจไม่ได้ทำทั้งประเทศ แต่ได้ใช้สิ่งเล็ก ๆ Small Success Story ทำให้ทุกคนเห็นว่า ไปได้ นี่คือความภูมิใจ”

ทั้งนี้ ในแง่ความยั่งยืนของฟาร์ม ถือว่า เรามาไกล และที่ภูมิใจไปมากกว่านั้นคือ ทีม ไม่ต้องคอยสั่ง 1 2 3 4 ว่าต้องทำอะไร แต่รับคนที่มี passion เหมือนกันเข้ามา ได้เป็นทีมที่ดี

นอกจากนี้ ยังทำ Bio Gas ใช้ Green Energy และใช้ Solar Power มากขึ้น ทุก ๆ ปีมี KPI ลดการใช้น้ำ อย่างน้อย 2-5% ต่อปี รวมทั้งต้องลดการใช้พลังงาน การลดการใช้ทรัพยากรแต่ยังได้ผลผลิตเท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คิดค้นขึ้นนำสู่ตลาดจะเริ่มเข้าไปในหมวดของสุขภาพมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ Clean Label อย่างวุ้นเส้นที่ดีต่อสุขภาพ และอื่นๆ ที่จะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพต่าง ๆ

เป้าหมายคือ ตั้งแต่วันแรกที่ส่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้าสู่ตลาด เกษตรกรจะต้องเห็นผลต่อกระเป๋าสตางค์ของเขา คือ ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม หรือจ่ายน้อยลงเท่านั้น ด้วยหลักการธรรมดา ๆ ว่า ถ้าต้องจ่ายมากขึ้น ก็ไม่มีใครต้องการทำด้วย ซึ่งทุกอย่างที่เริ่มขึ้น แม้จะค่อนข้างเร็ว แต่เห็นความเป็นไปได้แน่นอน

×

Share