TCP เปิดเวที “Sustainability Forum 2024” Water Resilience in A Changing Climate ชูแนวทางรับมือวิกฤติน้ำในยุคสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เสนอสร้างระบบนิเวศน้ำที่ยั่งยืนผ่านการใช้น้ำหมุนเวียนและนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม
ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ กล่าวถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมการรับมือกับสถานการณ์น้ำและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย โดยเฉพาะการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างแบบจำลองคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้า ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการกับความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เห็นได้ชัดที่สุดในปัจจุบันคือการเกิด Global & Climate Change ซึ่งทำให้สภาพภูมิอากาศทั่วโลกรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฝนที่ตกในลักษณะกระจุกตัวและไม่กระจายตัวเหมือนในอดีต ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่คาดคิด ปัญหาที่น่ากังวลมากที่สุดในตอนนี้คือ ฝนที่ตกไม่ได้ตกลงในเขื่อนซึ่งเป็นแหล่งเก็บกักน้ำสำคัญ แต่กลับตกท้ายเขื่อนในปริมาณที่มากเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจัดการน้ำและการบริหารทรัพยากรน้ำในประเทศอย่างมากเพราะฉะนั้น การที่ทุกฝ่ายมีความพร้อมในการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การวางผังเมืองให้มีความพร้อมต่อการรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ตัวอย่างเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2567
สถานการณ์น้ำท่วมในปี 2567 ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเหตุการณ์น้ำท่วมในจังหวัดภูเก็ตเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 06.00-09.00 น. ปริมาณฝนที่ตกมีความเข้มสูงมาก โดยมีปริมาณฝนต่อชั่วโมงสูงสุดถึง 96.8 มม. และปริมาณฝนสะสมรวมภายใน 4 ชั่วโมงสูงถึง 320 มม. เหตุการณ์นี้ส่งผลให้น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ในเขตเมืองและย่านเศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ต สถานีอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ จังหวัดภูเก็ต แสดงให้เห็นว่าปริมาณฝนที่ตกเกินกว่าคาดการณ์ได้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในครั้งนี้
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดจากฝนตกต่อเนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งมีความรุนแรงมาก โดยในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม ฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทางด้านตะวันตกของประเทศ เช่น น้ำป่าไหลหลากข้ามถนนในอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี และน้ำท่วมตลาดริมเมยและบ้านเรือนประชาชนในจังหวัดตาก ส่วนพื้นที่ต้นน้ำในอำเภอบ่อไร่และอำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด เกิดน้ำป่าไหลหลาก ทำให้น้ำล้นตลิ่งและไหลท่วมพื้นที่ต่ำ โดยเฉพาะในอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ซึ่งปริมาณฝนตรวจวัดสูงสุดถึง 411 มม. เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก เหตุการณ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ฝนตกหนักเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้และเกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลันในหลายพื้นที่
การเตรียมพร้อมรับมือกับอุทกภัยในอนาคต
ข้อมูลและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเกิดอุทกภัยในประเทศไทย การเตรียมพร้อมรับมือกับอุทกภัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง การมีแอปพลิเคชันหรือเทคโนโลยีที่สามารถคาดการณ์สถานการณ์น้ำได้อย่างแม่นยำและเข้าถึงได้ง่ายเป็นเครื่องมือที่ทุกคนควรมี เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
การปรับตัวในระดับประเทศและภาคธุรกิจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญในการรับมือกับสถานการณ์น้ำที่เปลี่ยนแปลง การแนะนำให้ประชาชนและภาคธุรกิจดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Thai Water เพื่อติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยในการเตรียมความพร้อมและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอุทกภัย การมีข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิกฤติน้ำ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยปัจจุบันและอนาคต
ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องฝนและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดขึ้นข้ามช่วงเวลาต่างๆ ในปัจจุบันและอนาคต หากพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Changing Climate) สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราต้องพิจารณาคือฝนที่ตกในแต่ละปีและระหว่างปี ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวม
ดร.กรรณิการ์ เน้นว่า การพิจารณาสภาพอากาศในปัจจุบันและการคาดการณ์อนาคตเป็นสิ่งจำเป็น อุณหภูมิในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับอดีต โดยอุณหภูมิเฉลี่ยรายวัน รวมถึงอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดรายวัน ได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 1 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงของฝนและพายุในประเทศไทย
การเปลี่ยนแปลงของปริมาณฝนในประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตามอง ภาวะรุนแรงของฝนในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งการที่ฝนตกในปริมาณสูงสุดในรอบ 1 วัน หรือ 5 วัน มักส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อน้ำท่วมฉับพลันและปัญหาน้ำแล้ง ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงของพายุที่เคลื่อนตัวผ่านประเทศไทยก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ลดลงในด้านจำนวนพายุต่อปี แต่พายุที่เกิดขึ้นกลับมีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อพัดผ่านแต่ละครั้ง
จากข้อมูลเหล่านี้จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ฝนมีความแปรปรวนมากขึ้น และพายุที่เคลื่อนตัวผ่านมีแนวโน้มที่จะเกิดบ่อยขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ เหตุการณ์สภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมและสภาพอากาศสุดขั้วมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นและทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่อทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง
ผลกระทบในภาคธุรกิจและการดำรงชีวิต
ในภาคธุรกิจ การเกิดน้ำท่วมมีผลกระทบอย่างมากต่ออุปกรณ์ โครงสร้างพื้นฐาน และระบบการดำเนินธุรกิจ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตและการทำธุรกิจ การที่น้ำมีแนวโน้มที่จะขาดแคลนมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่พึ่งพาน้ำโดยเฉพาะในด้านการเกษตร ซึ่งจะส่งผลให้วัตถุดิบทางการเกษตรขาดแคลนและราคาสูงขึ้นตามมา ความท้าทายในการรับมือกับสถานการณ์น้ำในปัจจุบันและอนาคต โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อแรงงานและการทำงานของมนุษย์อย่างชัดเจน ทำให้ทุกฝ่ายต้องหันมามองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป การเตรียมความพร้อมในระดับประเทศและภาคธุรกิจเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลโดยตรงต่อทุกภาคส่วนในสังคม ภาคธุรกิจต้องตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และผลกระทบที่จะตามมา เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
การวางแผนและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในประเทศไทย Water Resilience Planning
อ.ดร.นาอีม แลนิ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในประเทศไทย โดยชี้ให้เห็นว่าปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศไทยเป็นปัญหาที่มีรากฐานมาจากการที่ประเทศมีทรัพยากรน้ำจำกัด และระบบการบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ดร.นาอีม เน้นว่าการวางแผนเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นในการจัดการทรัพยากรน้ำ (Water Resilience Planning) เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ทรัพยากรน้ำมีจำกัด การวางแผนที่ดีไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราสามารถบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมและน้ำแล้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย
หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญในการวางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำคือการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ชุมชน และภาคธุรกิจ การสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างทุกฝ่ายจะช่วยให้สามารถจัดการทรัพยากรน้ำได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำท่วมและน้ำแล้ง การทำงานร่วมกันจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างระบบนิเวศทางน้ำที่มีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้
นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีและข้อมูลที่ทันสมัยมาใช้ในการวางแผนและบริหารจัดการน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญ ดร.นาอีม แนะนำว่าการใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในอดีตและการคาดการณ์อนาคตจะช่วยให้เราสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวางแผนที่ดีนั้นไม่ใช่เพียงแค่การเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ยังต้องรวมถึงการพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว การสร้างความยืดหยุ่นในการจัดการทรัพยากรน้ำจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นคงให้กับประเทศในระยะยาว
การปรับตัวของเกษตรกรไทยในยุคโลกที่ทรัพยากรน้ำลดลง: มุมมองจาก รีคัลท์ ประเทศไทย
อุกฤษ อุณหเลขกะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง รีคัลท์ ประเทศไทย ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกษตรกรไทยต้องเผชิญในยุคที่ทรัพยากรน้ำมีความจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบต่อการทำเกษตรกรรมอย่างหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่น้ำมีน้อยลงและฝนตกไม่เหมือนเดิม การทำการเกษตรในสภาพเช่นนี้ย่อมยากขึ้น และจำเป็นต้องมีการปรับตัวอย่างเร่งด่วน
รีคัลท์ ประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเกษตรกรในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ได้พยายามนำข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มาช่วยให้เกษตรกรและชาวบ้านสามารถวางแผนและปรับตัวในการทำการเกษตรในสภาพที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเปลี่ยนแปลงในลักษณะการทำเกษตรเมื่อปีนั้นๆ มีน้ำลดลง หรือฝนตกไม่สม่ำเสมออีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ทำให้เกษตรกรจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำเกษตรให้เหมาะสมกับสภาพน้ำที่ลดลง รวมถึงการพิจารณาปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยลง และยังคำนึงถึงการปลูกพืชประเภทใหม่ที่มีมูลค่าสูงขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้
คุณอุกฤษ ยังได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรในการปรับตัวเข้าสู่โลกที่น้ำมีความสำคัญและขาดแคลนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยการนำเทคโนโลยีและแอปพลิเคชันที่ทันสมัยมาช่วยเกษตรกรในการวางแผนและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชที่ใช้น้ำลดลงแต่ได้ราคาดีขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถเพิ่มความยั่งยืนและความมั่นคงในการดำรงชีวิตของเกษตรกรในอนาคต
อีกสิ่งที่มองข้ามไม่ได้นั่นคือ ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สมดุล โดยชี้ให้เห็นว่าสถิติที่น่ากังวลคือ ค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน แต่รายได้เฉลี่ยของเกษตรกรกลับอยู่ที่เพียง 6,000 – 7,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้น้ำท่วมเพิ่มขึ้นและน้ำแล้งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เกษตรกรที่มีรายได้เพียงปีละครั้งจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหากเจอสถานการณ์น้ำท่วมหรือภัยแล้ง ซึ่งอาจส่งผลให้รายได้ทั้งปีหายไปทันที ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการเตรียมการรับมือกับภัยธรรมชาติ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยีและนโยบายที่เหมาะสมเข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านในการปรับตัวและเข้าสู่ยุคโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
รีคัลท์ ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นในการนำข้อมูลและเดต้าจากแหล่งต่าง ๆ มาช่วยเกษตรกรในการวางแผนการทำการเกษตรตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้สามารถปรับตัวและรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อพิจารณาถึงภาคพลังงานและเกษตรกรรม ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดเป็นลำดับที่สองในประเทศไทย คุณอุกฤษ ได้เสนอให้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำการเกษตรเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะการปลูกข้าวซึ่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงครึ่งหนึ่งจากภาคเกษตรกรรม การสนับสนุนเกษตรกรในการปลูกข้าวแบบคาร์บอนต่ำและใช้น้ำลดลงจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มีน้ำเป็นศูนย์กลาง มุมมองจาก มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
ธานิษฎ์ กองแก้ว ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของน้ำในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยชี้ให้เห็นว่าน้ำไม่เพียงแต่เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในด้านสิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่บริษัทพยายามมุ่งเน้นในการดำเนินงาน
การพัฒนาที่มีคนเป็นศูนย์กลางเป็นแนวทางที่มูลนิธิฯ มุ่งมั่นในการดำเนินงาน โดยสังคมและสิ่งแวดล้อมจะต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ในการสำรวจและพัฒนาภูมิสังคมในแต่ละพื้นที่ น้ำเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริโภค การดูแลรักษาป่า เกษตรกรรม หรือแม้กระทั่งการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืน หนึ่งในแนวทางสำคัญที่คุณธานิษฎ์ ได้กล่าวถึงคือการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการพื้นที่และทรัพยากรน้ำ โดยการรวมกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องการเกษตรและการจัดการพื้นที่มาร่วมกันทำงาน การใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่เป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญอย่างยิ่ง การปรับปรุงประสิทธิภาพในการเกษตรก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนในการนำเอาแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนมาใช้ ยกตัวอย่างการปลูกข้าวที่เคยมีผลผลิตเพียง 170 กิโลกรัมต่อไร่ แต่สามารถเพิ่มขึ้นเป็น 500 กิโลกรัมต่อไร่ได้ภายในระยะเวลา 4 ปี ด้วยการจัดการพื้นที่อย่างเป็นระบบและใช้วิธีการที่เหมาะสม การจัดสรรพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดไม่เพียงแต่จะทำให้น้ำและป่ากลับมา แต่ยังสามารถสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงให้กับชุมชนได้อีกด้วย
ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วการมีข้อมูลที่เพียงพอและทันสมัยเป็นสิ่งจำเป็นในการตอบสนองต่อความท้าทายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ธุรกิจจะต้องมองเห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติและทรัพยากรที่ต้องพึ่งพา รวมถึงการสร้างระบบที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ป่าและน้ำสามารถอยู่รอดได้ และยังคงเป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อนธุรกิจต่อไป
องค์ความรู้สำคัญในการทำให้คนและป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน โดยเราต้องทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้กลับมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งมั่นที่จะดำเนินการในฐานะองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การนำแนวคิดเหล่านี้มาปรับใช้ในกระบวนการทำงานจะช่วยให้บริษัทสามารถตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มที่
จากที่กล่าวมาข้างต้น TCP Sustainability Forum 2024 ทำให้เห็นถึงความท้าทายที่ประเทศไทยและทั่วโลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤติทรัพยากรน้ำที่มีความรุนแรงมากขึ้น การพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยการรวมพลังจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนในการสร้างระบบนิเวศทางน้ำที่ยั่งยืน การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการทรัพยากรน้ำ การวางแผนและการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามเมื่อโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาน้ำที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน การเตรียมความพร้อมในวันนี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการพัฒนาระบบนิเวศทางน้ำที่ยั่งยืน และสร้างนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยลดผลกระทบจากวิกฤติน้ำที่เกิดขึ้น การเตรียมตัวและการปรับตัวในวันนี้จะไม่เพียงแค่ช่วยให้เราผ่านพ้นความท้าทายในอนาคต แต่ยังสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว