Share on
×

Share

ภควัฒก์ มณีแจ่มใส New Gen ผู้ปั้น KBTG Vietnam เติบโตสู่ Fast Enterprise

การที่บริษัทหนึ่งจะส่งคนของตนไปบุกเบิกเปิดสาขายังต่างประเทศในลักษณะ Expat ย่อมต้องเลือกผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานมากพอสมควรไปรับหน้าที่สำคัญนี้ แต่กรณีของ พอร์ช-ภควัฒก์ มณีแจ่มใส นักบริหารหนุ่มวัย 28 ปี ซึ่ง The Story Thailand มีโอกาสสนทนาด้วย กลับได้รับเลือกจาก KASIKORN Business-Technology Group หรือ KBTG เทคคัมพานีรายใหญ่ของไทยให้ไปบุกเบิก “KBTG Vietnam” ตั้งแต่เมื่อกว่า 2 ปีก่อน 

ความน่าสนใจของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขอายุของเขาเท่านั้น แต่ผลงานที่เขาสร้างไว้ในช่วงเวลากว่าสองปีมีความโดดเด่นอย่างน่าทึ่ง เขาทำให้องค์กรธุรกิจใหม่ของคนไทยได้รับการจัดอันดับเป็น Best IT Companies หรือบริษัทไอทีในเวียดนามที่น่าทำงานด้วยมากที่สุด จากแพลตฟอร์มประกาศรับสมัครงาน ITViec ทั้งยังได้รับรางวัล Fast Enterprise Award ระดับเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย

ผ่านเบ้าหลอมที่ดีในวัยเรียน

ภควัฒก์บอกว่า เขาเกิดและเติบโตที่จังหวัดสงขลา จนอายุ 11 ปี ทางบ้านสนับสนุนให้เขาไปเรียนหนังสือที่ประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่ชั้นประถมปลายจนจบชั้นมัธยมปลายโดยอาศัยอยู่กับ host family เป็นเวลา 6 ปี ช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ที่แดนเมอร์ไลออนเขาได้ซึมซับค่านิยมความขยันขันแข็งและความมุ่งมั่นทะเยอทยานของคนสิงคโปร์ จนได้รับโอกาสเป็นคนไทยคนแรกที่ถูกคัดเลือกให้เป็นประธานนักเรียนของโรงเรียน

หลังจบการศึกษาระดับมัธยมจากสิงคโปร์ เขาเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 4 ปี โดยเลือกเรียนรูปแบบ 2+2 university transfer คือ ใช้เวลา 2 ปีแรกใน community college จากนั้นโอนหน่วยกิตไปเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยอีก 2 ปี

เริ่มจาก 2 ปีแรกเรียนสายธุรกิจที่ Edmonds College ในเมือง Lynnwood รัฐวอชิงตัน ได้รับวุฒิมัธยมปลายและวุฒิอนุปริญญา แล้วสมัครเข้าเรียนสาขา Global Business Administration ที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins Carey Business School วอชิงตัน ดี.ซี. เป็นเวลา 2 ปี จนจบระดับปริญญาตรี 

ทางเลือกนี้มีข้อดี คือ ช่วยเตรียมความพร้อมก่อนเข้ามหาวิทยาเพราะผู้เรียนจะได้วางแผนร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษาในการเลือกวิชาลงเรียนให้เหมาะกับสาขาที่ต้องการจะเรียนระดับปริญญาตรี ทำให้มีหลักประกันว่าผ่านคุณสมบัติที่จะเทียบโอนหน่วยกิตเข้ามหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์สมัครขอรับทุนการศึกษา ซึ่งเขาได้ทุน The Dean’s Scholarship ประมาณ 20,000 เหรียญ ทำให้ประหยัดค่าเทอมได้ราว 40 เปอร์เซ็นต์

เหนืออื่นใดการเรียนช่วง 4 ปี ได้สร้างรากฐานที่ดีแก่เขาทั้งด้านวิชาการและทักษะชีวิต

เขาอธิบายว่า 2 ปีแรกเป็น foundational years วิชาเรียนต่างๆ ถูกออกแบบให้มีความหลากหลายสามารถนำไปเป็นประโยชน์ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยได้ดี บางวิชานำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ด้วย ตัวอย่างเช่นวิชา Biological Anthropology ที่ทำให้เข้าใจระบบนิเวศวิทยาสามารถนำมาเป็นประโยชน์ในการวางแผนธุรกิจที่ต้องคำนึงเรื่อง ecosystem sustainability

ส่วนการเรียน 2 ปีหลังเป็นการประยุกต์ใช้อย่างแท้จริง ต้องค้นคว้าและทำการบ้านอย่างหนัก ต้องทำโครงงานร่วมกันเป็นทีม รวมทั้งก่อนจบต้องไปเป็นที่ปรึกษาเสนอแนะแนวทางแก้ไขให้กับธุรกิจจริงที่กำลังประสบปัญหา

ด้านประสบการณ์ชีวิต เขายอมรับว่าได้เปิดหูเปิดตารับวัฒนธรรมใหม่ๆ ทำให้มีความสามารถในการปรับตัว (adaptability) ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นของคนยุคนี้ ได้รับการหล่อหลอมแนวคิด growth mindset ฝึกทักษะการเป็นผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากการทำกิจกรรมสภานักเรียน และการได้รับเลือกตั้งเป็นประธานนักเรียน ที่เปิดโอกาสให้เขาได้เข้าร่วมกิจกรรมสังคมต่างๆ มากมาย

ทำงานเป็นผู้ช่วยของนายใหญ่ที่ KBTG

เมื่อเรียนจบก่อนกลับมาเมืองไทย ภควัฒก์ได้ทำงานในฐานะที่ปรึกษากับบริษัทระดับโลกอย่าง Deloitte Consulting จนบริษัท KBTG ติดต่อผ่านช่องทาง LinkedIn ชวนให้เขามาร่วมทีมทำโครงการ KBTG Transformation เพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการและกระบวนการทำงานของ software developer กว่า 2,000 คน ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีขึ้นภายในเวลา 2 ปี

เขาตอบรับคำชวนเพราะมีความสนใจเรื่อง digital transformation ในธุรกิจธนาคารและเทคโนโลยีการเงิน รวมถึงปัญหาความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการด้านการเงิน จากการมีประสบการณ์เคยฝึกงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย

เวลานั้นเด็กหนุ่มวัย 24 ปี ทุ่มเททำงานจริงจังนับตั้งแต่มาเริ่มงานกับบริษัทเทคโนโลยีในเครือธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank ที่เมืองไทย จนกระทั่งกลายเป็นผู้ช่วยคนสนิทของ “กระทิง” เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ในปัจจุบัน

ภควัฒก์เล่าว่า กระทิงชอบพูดเปรียบตัวเขาเป็นเหมือนโรบิน (Robin) ที่ทำงานเป็นคู่หูช่วยเหลือแบทแมน (Batman) อัศวินรัตติกาลผู้ปราบเหล่าร้ายในตำนานซูเปอร์ฮีโร่ของวัฒนธรรมอเมริกัน

“ผมเป็นคนคิดบวก เจอปัญหาแล้วพยายามใจเย็น ซึ่งตรงกับเคมีพี่กระทิง เราก็พยายามเป็นคู่คิดร่วมกันหาโซลูชัน ผมมี can-do attitude สามารถรับงานได้ทุกอย่าง ไม่ว่าเป็นงานใหญ่หรือเล็ก สามารถติดตาม และ deliver งานได้จนจบโดยไม่ต้องมีการช่วยซัปพอร์ต”

“ผมคิดว่าลึกๆ พี่กระทิงอยากจะฝึกคนรุ่นใหม่ขึ้นมาเป็นรุ่นต่อไป เพื่ออนาคตจะได้เป็นเหมือนพี่กระทิง หรือเป็นในเวอร์ชันของเราที่มีบทบาทไปช่วยยกระดับสังคม สร้างคุณค่าในด้านต่างๆ”

ตัวหลักบุกเบิกธุรกิจในเวียดนาม

ผ่านไป 2 ปี เมื่อการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรเริ่มชัดเจน จากโครงการ transformation แปรสภาพเป็นวิธีการทำงานตามปกติ หรือ BAU operation ตามคำที่ภควัฒก์เรียก เขาอาสาเป็นหนึ่งในทีมทำภารกิจใหม่ที่คาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับ KBTG อีกระดับ คือการขยายธุรกิจไประดับภูมิภาค ตามเป้าหมายมุ่งสู่ regional tech company ในปี 2568

“พี่กระทิงวางวิสัยทัศน์หลักไว้ที่การเป็น best tech company ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าเรายังอยู่แค่ในเมืองไทยมันไม่มีทางสำเร็จ เราต้องมีฐานนอกประเทศ รวมถึงการตอบโจทย์ที่เราหาคนทำงานไม่ค่อยได้เพราะเมืองไทยมีบุคลากรไม่เพียงพอกับดีมานด์ของอุตสาหกรรม จึงต้องไปหาข้างนอก เราก็เลือกประเทศเวียดนามที่มีวัฒนธรรมเข้ากับคนของเราได้”

เวียดนามเป็นตัวเลือกที่ดีด้วยมีสัดส่วนผู้สำเร็จการศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์มากกว่าประเทศไทย ทำให้มี tech talents จำนวนมาก โดยเฉพาะบุคลากรด้านไอทีและผู้ที่ศึกษาสาขา STEM มากกว่าหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน

ภควัฒก์เล่าย้อนให้ฟังว่าเวลานั้น KBTG ยังใหม่ อยากได้คนที่มี global mindset และคนที่รู้ global methodology ต่างๆ เข้ามาช่วยยกระดับองค์กรที่ยังมีวัฒนธรรมการทำงานแบบเก่าอยู่มาก จึงมีการวางตัวคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นพลังช่วยผลักดัน โดยอาศัยข้อดีที่ยังไม่ค่อยมีกรอบหรือข้อจำกัดทางความคิด

“แม้คนรุ่นนี้จะไม่มีประสบการณ์มาก แต่เมื่อพบเจอปัญหาก็จะพยายามแก้ไขด้วยวิธีที่คิดว่ามีเหตุมีผลและน่าจะถูกต้อง โดยไม่ได้ยึดติดหรือมีกรอบความคิดมาก่อนว่าต้องมีขั้นตอนอย่างไร หรือต้องแก้ไขแบบที่เคยทำมาก่อนหรือไม่”

เขาบอกว่า โครงการที่มีความไม่แน่นอนสูงแบบนี้ อาจไม่เหมาะกับการใช้คนที่มีประสบการณ์ซึ่งมีกรอบความคิดที่เชื่อว่าควรต้องทำตามขั้นตอน แต่เหมาะกับคนรุ่นใหม่อย่างเขามากกว่า เนื่องจากงานนี้เป็นการก่อร่างสร้างบริษัทใหม่ในลักษณะเดียวกับการตั้งสตาร์ตอัพ จึงมีความเสี่ยงมากแม้จะอยู่ใน corporate setting ก็ตาม

นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่เขาได้รับเลือกให้ไปจัดตั้ง KBTG Vietnam ที่เมืองโฮจิมินห์ในปี 2565 โดยมีทีมเริ่มต้นจากเมืองไทย 3 คน นอกจากตัวเขาที่รับตำแหน่ง Head of IT Strategy & Operations ยังมี “อั้น-ธนุสศักดิ์ ธัญญสิริ” ที่มีประสบการณ์มากกว่านั่งเก้าอี้ Managing Director และอีกหนึ่งผู้บริหารที่เป็น Chief Technology Officer คอยดูเรื่องการส่งมอบงานให้กับธนาคารกสิกรไทย

KBTG Vietnam นับเป็นบริษัทสาขาที่ 2 ของ KBTG ในภูมิภาคอาเซียน และเป็นสาขาที่ 3 ในทวีปเอเชีย ถัดจาก KBTG ในไทย และบริษัท K-Tech ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน มีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีในการให้บริการของธนาคารกสิกรไทยทั้งในเวียดนามและในภูมิภาค

เรียนรู้และเติบโตท่ามกลางอุปสรรค 

เส้นทางการเริ่มต้นในปี 2565 ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเพราะเป็นช่วงโควิดระบาด จึงต้องผ่านขั้นตอนการ quarantine ก่อนเริ่มหาสถานที่ตั้งสำนักงาน และสัมภาษณ์คนในพื้นที่เพื่อหาพนักงานที่ต้องการ ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งเรื่องภาษา วัฒนธรรม และกฎระเบียบที่แตกต่าง

แม้ประสบการณ์ที่ผ่านการใช้ชีวิตและการเรียนหนังสือที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก จะมีส่วนช่วยให้เขาปรับตัวได้ไม่ยาก อีกทั้งสมัยเรียนมหาวิทยาลัยมีวิชา Global Strategic Management ที่ได้ทำเกี่ยวกับกรณีศึกษาว่าเวลาบริษัทข้ามชาติจะขยายธุรกิจต้องทำอย่างไร ทว่าในชีวิตจริงการบุกเบิกจัดตั้งบริษัทใหม่ในต่างแดนครั้งแรกถือว่าเป็นงานที่ยากลำบากมาก

ภควัฒก์บอกว่า ก่อนหน้านี้ชาวเวียดนามไม่รู้จักทั้ง KBank และ KBTG ทีมต้องพยายามทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับสังคมในท้องถิ่น ดังนั้นเขาจึงอาสาไปสอนวิชา Banking 101 ให้แก่นักศึกษาชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 ในมหาวิทยาลัยของเวียดนาม รวมทั้งทำ office visit ให้นักศึกษาเวียดนามได้ดูงานและเข้าใจว่าอุตสาหกรรมการธนาคารและ IT มีการดำเนินงานอย่างไร โดยไม่ได้หวังว่าจะรับเข้ามาทำงานอย่างเดียว แต่หวังให้เขาได้รู้ว่า KBTG คืออะไร อย่างน้อยนักศึกษากลุ่มนี้จะโตมาเป็นลูกค้าของเราในอนาคต

“การไปอยู่ที่เวียดนาม ไม่ใช่ว่าวางแผนกลยุทธ์ 3 ปีแล้วเราจะสามารถเดินตามที่วางไว้ได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือ we fix and we go จริงๆ เราเห็นหน้างาน เราแก้ไขปัญหา เราเรียนรู้จากมัน แล้วก็มองไปข้างหน้าด้วยการทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ”

เขาบอกว่า สภาพงานเป็น repeat pattern ที่เกิดขึ้นทุกวัน ต้องเรียนรู้กับสิ่งที่ต้องจัดการตลอดเวลา ซึ่งสุดท้ายมันทำให้เขามี skill อื่นมากขึ้น และเติบโตเร็วขึ้นด้วย

ในเวลา 2 ปีกว่า เขาและทีมนำพาให้บริษัทต่างชาติของไทยในเวียดนามเติบโตจนปัจจุบัน KBTG  Vietnam มีสำนักงาน 2 แห่ง คือ เมืองโฮจิมินห์และฮานอย โดยพนักงานกว่า 150 คน ส่วนใหญ่อยู่ที่โฮจิมินห์ที่เป็นสาขาหลัก ทั้งผลักดันให้แอป K PLUS เวอร์ชันเวียดนามมีจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 1.5 ล้านราย ด้วยการให้บริการครอบคลุมทั้งลูกค้ารายย่อย องค์กรใหญ่ และ SME

เคล็ดลับการบริหารองค์กรข้ามชาติ

เมื่อถามว่ามีเคล็ดลับใดในการทำให้องค์กรข้ามชาติที่มีแต่พนักงานชาวต่างชาติประสบความสำเร็จได้ในเวลารวดเร็ว ภควัฒก์บอกว่า การถ่อมตนและรับฟังความคิดเห็นของทีมงานท้องถิ่น

“เราต้องถ่อมตน ต้องฟังเค้าก่อนอันดับแรก เราจะต้องไม่มีความคิดว่ามาจากสำนักงานใหญ่แล้วถูกเสมอ

ขณะเดียวกันต้องเข้าใจบริบทและวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่ยึดติดกับมาตรฐานจากสำนักงานใหญ่ ที่สำคัญคือต้องสร้างความไว้วางใจในทีมงาน และให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่ชัดเจน พร้อมกับส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการคิดและตัดสินใจ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ

หลักคิดสำคัญของ KBTG Vietnam คือ เน้นการพัฒนาคุณภาพของพนักงานให้ทำงานได้ตามมาตรฐานของสำนักงานใหญ่ ซึ่งเขาเห็นว่าพนักงานชาวเวียดนามมีลักษณะเด่น “ทำงานเร็วและรักษาเดตไลน์ได้ดี”

“ข้อดีของคนเวียดนามคือมีความทะเยอทะยาน เขายินดีที่จะเรียนและยกระดับให้ตัวเองเก่งขึ้น จนบางครั้งบริษัทมีคอร์สให้ไม่พอเพราะเขาอยากเรียนตลอดเวลา มีการมาขอไปสอบตรงนี้เพิ่ม ขอไปเรียนคอร์สนอกตรงนี้เพิ่ม”

ทุกวันนี้ ภควัฒก์ยังคงมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพของทีมงานและการทำงาน เพื่อให้สามารถรองรับงานจากสำนักงานใหญ่และธนาคารกสิกรไทยเวียดนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม เขามองว่า KBTG Vietnam มีทีมที่แข็งแรง ทำให้สามารถนำส่งโปรเจกต์ให้ธนาคารกสิกรไทยเวียดนามได้ภายในเวลาสั้นๆ จนเป็นธนาคารไทยแห่งเดียวที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทั้งกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดเล็กและใหญ่ รวมถึงลูกค้าบุคคล

สำหรับความท้าทายในอนาคต คือการตอบโจทย์ความแตกต่างด้านวัฒนธรรมการทำงาน เนื่องจากคนเวียดนามต้องการคำสั่งและข้อกำหนดที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา ต่างกับคนไทยที่ไม่ต้องระบุทุกรายละเอียด

“แผนที่มองไว้คือจะต้องปรับ mindset ให้พนักงานชาวเวียดนามมี ownership และคิดต่อยอดเองมากขึ้น”

ความสำเร็จเริ่มต้นจากโอกาส

“เราอาจคิดว่า Expat จะต้องหรูดูสมาร์ทแบบ Expat จากบริษัทญี่ปุ่นที่นั่งรถตู้ไปทำงาน ชีวิตทุกอย่างดูดี แต่ความจริงที่เวียดนามเราเป็นทุกอย่าง ตั้งแต่คนวางกลยุทธ์บริษัทยันคนซ่อมหลอดไฟ เพราะเรามี ownership ดังนั้นทุกปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาของเรา เราพยายามที่จะ establish ตัวเอง establish branding และมองหาพนักงานที่เชื่อในแบรนด์ของเรา โดยเรายังไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ผมว่ามันยากนะ

แต่ที่สุดแล้ว บทสรุปเส้นทางการบุกเบิก KBTG Vietnam ในสายตาของ “ภควัฒก์ มณีแจ่มใส” ไม่ได้มีเพียงการให้ความสำคัญของการปรับตัว การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง หรือการทุ่มเทกับงานเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องการได้รับโอกาสจากองค์กร ซึ่งเป็นประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับการพัฒนาตัวเอง

“อีกเรื่องก็คือ empowerment ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่พี่ๆ ให้โอกาส เราก็พยายามพิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นว่าเราทำได้ ผมไม่เคยเห็น Expat ที่อายุเท่าผม ส่วนมากจะอายุ 30 ปลาย หรือมากกว่า 40 ขึ้นไป ผมมองว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก ขอบคุณพี่กระทิง ผู้บริหาร KBTG และทุกคนที่สนับสนุนผม”

โอกาสจากวันนั้นที่เขากล่าวถึง ผลลัพธ์ของมันได้สร้างโอกาสใหม่อีกครั้ง เมื่อวันนี้เขาได้เข้าเรียนหลักสูตร MBA ที่ Oxford University ด้วยทุนการศึกษาจากธนาคารกสิกรไทย

×

Share

ผู้เขียน