Share on
×

Share

SCB ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน เพื่ออนาคต Net Zero

ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ถือเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศไทย ที่ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยหลักความยั่งยืน และยึดถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินงาน ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ของ SCB กล่าวถึงแนวทางและความมุ่งมั่นในการสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรในการเดินหน้าไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการบรรลุสถานะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งถือเป็นความท้าทายใหญ่สำหรับทุกภาคส่วน

ความยั่งยืน คือ กลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจของ SCB

สำหรับ SCB ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงตัวเลือกหนึ่งในการดำเนินธุรกิจ แต่เป็นกลยุทธ์หลักที่ขับเคลื่อนทุกกระบวนการ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการดูแลสิ่งแวดล้อม ธนาคารมองว่า การดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืน จะช่วยให้ลูกค้าและธนาคารสามารถปรับตัว เพื่อรับมือกับความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างมากในปัจจุบัน

ดร.ยรรยงระบุว่า SCB พร้อมที่จะเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ในการช่วยลูกค้าผ่านกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน โดยการเป็นพันธมิตรนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เนื่องจากการจัดการปัญหา Climate Change จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน หากแต่ละคนทำเพียงลำพัง ปัญหานี้จะไม่สามารถแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายของการแก้ปัญหา Climate Change และการทำ Net Zero

ในปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม พายุ หรือฝนตกหนัก ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากเกินไป ดร.ยรรยงกล่าวถึงการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความท้าทายสูงมาก แต่ SCB มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับลูกค้าและพันธมิตรเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายนี้

การบรรลุ Net Zero เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยคาร์บอนและการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เช่น การสนับสนุนพลังงานสะอาด และการลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

SCB เห็นว่า Climate Change ไม่ใช่แค่ปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับท้องถิ่น แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก และประเทศไทยก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้ได้ การเป็นผู้นำในการบรรลุ Net Zero นั้น จะช่วยให้ไทยพาณิชย์สามารถสร้างความแตกต่างและสร้างผลกระทบที่เป็นบวกได้จริง

เป้าหมายการลดคาร์บอนในพอร์ตสินเชื่อ

หนึ่งในเป้าหมายที่ชัดเจนของ SCB คือ การลดการปล่อยคาร์บอนในพอร์ตสินเชื่อของลูกค้า โดยมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบสูงต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าและพลังงาน โดยมีการวัดและประเมินปริมาณการปล่อยคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง

ซึ่ง SCB ตั้งเป้าที่จะลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในพอร์ตสินเชื่อลงเรื่อย ๆ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการบรรลุ Net Zero จากการดำเนินงานของธนาคาร (Scope 1-2) ให้เข้าใกล้ความเป็น Net Zero ภายในปี 2030 โดยคาดหวังอยู่ที่ 0.19 (ส่วนในปัจจุบันไทยพาณิชย์ลงอยู่ประมาณ 0.4 , 0.38) พร้อมกับการสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าจะสามารถปรับตัวและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างต่อเนื่อง

เหตุผลหลักที่ SCB เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ก่อนปี 2065

แม้ประเทศไทยจะมีเป้าหมายการบรรลุ Net Zero ภายในปี 2065 แต่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ตัดสินใจประกาศความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนว่าจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero เร็วกว่ากรอบเวลาของประเทศ ซึ่งเหตุผลที่ SCB เลือกเดินหน้าสู่เป้าหมายนี้อย่างจริงจังและรวดเร็วนั้น สามารถสรุปเป็น 3 ข้อสำคัญได้ดังนี้

  1. ความเชื่อมั่นในความเร่งด่วนของ Climate Change – ธนาคารเห็นผลกระทบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน physical risks เช่น การเกิดน้ำท่วม ฝนตกหนัก หรือพายุที่มีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจภาคเกษตร อสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม ซึ่งต้องเผชิญความเสี่ยงจากผลกระทบทางกายภาพมากขึ้น ในฐานะที่เป็นสถาบันการเงิน SCB ต้องมองไปที่ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพอร์ตสินเชื่อของลูกค้าและหาวิธีจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ การเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทางกายภาพและการเปลี่ยนผ่านไปสู่Transition Risks เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้ธนาคารและลูกค้าสามารถปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การสร้างโอกาสทางธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ – SCB ไม่ได้มองเรื่องการลดการปล่อยคาร์บอนเป็นภาระหรือค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียว แต่กลับมองว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ ธนาคารได้ให้สินเชื่อพลังงานสะอาดมาแล้วกว่าทศวรรษ และในอนาคตยังมีโอกาสในการขยายการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และภาคธุรกิจที่เติบโตควบคู่ไปกับเทรนด์ Net Zero ซึ่งทางธนาคารเชื่อว่าการปรับตัวล่วงหน้าและเริ่มต้นให้เร็วจะช่วยให้ทั้งธนาคารและลูกค้าสามารถคว้าโอกาสในอนาคตได้มากกว่าการรอ
  3. การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาโลกร้อน – SCB มองว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นปัญหาสำคัญระดับโลกที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ธนาคารจึงต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหานี้ ไม่ใช่เพียงแค่การปฏิบัติตามข้อบังคับ แต่เป็นการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการลดผลกระทบจากโลกร้อน โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด การพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืน และการลดการปล่อยคาร์บอนในพอร์ตสินเชื่อ

นำหลักการ Equator Principles มาใช้ในการปล่อยสินเชื่อ

ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นธนาคารแห่งแรกในประเทศไทย ที่นำหลักการ อีเควเตอร์ (Equator Principles) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลมาใช้ในการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการขนาดใหญ่ และหลักการนี้ได้รับการรับรองจากองค์กรระดับโลกอย่าง IFC, UN, และ World Bank และถูกออกแบบมาเพื่อให้มั่นใจว่าโครงการที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจะคำนึงถึงและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมได้อย่างเหมาะสม

หลักการนี้มีเป้าหมายเพื่อให้การดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคาร จะต้องผ่านการตรวจสอบความเสี่ยงและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างเข้มงวด ซึ่ง SCB ได้นำหลักการนี้มาใช้เพื่อกำหนดเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อ โดยมีการทำงานร่วมกับที่ปรึกษามืออาชีพเพื่อตรวจสอบความเสี่ยงและผลกระทบของโครงการที่ขอสินเชื่อ และนำเสนอเงื่อนไขเพื่อให้โครงการเหล่านี้สามารถลดความเสี่ยงได้ตามมาตรฐานที่เข้มงวดและเป็นสากล หลักการนี้เป็น Best Practice ที่ได้รับการยอมรับในวงการการเงินและการลงทุนระดับโลก ธนาคารไทยพาณิชย์ยังเป็นหนึ่งในธนาคารที่อยู่ในเครือข่ายสมาชิก 128 แห่ง ของธนาคารชั้นนำระดับโลกที่ใช้หลักการอีเควเตอร์ในการกำกับดูแลสินเชื่อ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาความยั่งยืนในภาคธุรกิจของธนาคาร

และผลลัพธ์ของการใช้หลักการนี้ คือ ในช่วงที่ผ่านมา SCB ได้ปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการที่ใช้มาตรฐานอีเควเตอร์ไปแล้วกว่า 53 โครงการ มูลค่ากว่า 75,000 ล้านบาท และทุกโครงการได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินการจะส่งผลกระทบที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

นโยบายด้านสินเชื่อเพื่อพลังงานหมุนเวียน

หนึ่งในนโยบายสำคัญที่ SCB ได้นำมาใช้คือ นโยบายด้านการปล่อยสินเชื่อ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการพลังงานสะอาดมาอย่างยาวนาน ซึ่งไทยพาณิชย์ได้สนับสนุนการปล่อยวงเงินสินเชื่อโรงงานไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไปแล้วกว่า 1.98 แสนล้านบาทระหว่างปี 2011 ถึงปัจจุบัน และยังให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการถ่านหินและการขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่เสี่ยง โดยมีนโยบายที่ชัดเจนในการไม่สนับสนุนโครงการใหม่ที่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น รวมถึงทำการทยอยลดสินเชื่อคงค้าง (Coal Phasing Out) ในโครงการที่ใช้พลังงานถ่านหิน

ไทยพาณิชย์เดินหน้าภารกิจ “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ตั้งเป้าสู่ธนาคารชั้นนำด้านความยั่งยืน

กลยุทธ์การสนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่ม

SCB ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับ ลูกค้า SME และลูกค้ารายย่อย ด้วย โดยมีการจัดอบรมให้ความรู้และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ในช่วงปีที่ผ่านมา ธนาคารได้ให้การอบรมด้านความยั่งยืนแก่ลูกค้ากว่า 1,500 ราย เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกและแนวโน้มด้านสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ SCB ยังได้ร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมในการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มเกษตรกร เช่น ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล เพื่อสนับสนุนการลดฝุ่น PM 2.5 โดยการปล่อยสินเชื่อที่มาพร้อมกับแรงจูงใจในการซื้อเครื่องจักรที่ช่วยลดการเผาอ้อย และอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยคือ ธุรกิจโรงแรม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้ถึง 20% ของ GDP ของประเทศไทย SCB ได้ให้การสนับสนุนสินเชื่อแก่ธุรกิจโรงแรมมากกว่า 134,000 ล้านบาท และยังมุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมนี้โดยเฉพาะ และด้วยการที่ธุรกิจโรงแรมถือเป็นธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญในด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งการปล่อยคาร์บอนขนาดใหญ่ SCB จึงให้ความสำคัญกับการสร้างองค์ความรู้และการสนับสนุนทางการเงินที่ช่วยให้โรงแรมสามารถปรับตัวและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างยั่งยืน

ผู้นำในพลังงานหมุนเวียนและกลยุทธ์ Net Zero

ในส่วนของพอร์ตสินเชื่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SCB ได้เน้นการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก โดยปัจจุบันสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนในพอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 61% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารชั้นนำในระดับโลก ธนาคารยังได้ใช้หลักการ Sectoral Decarbonization Approach (SDA) ในการประเมินการปล่อยคาร์บอนของโรงไฟฟ้าแต่ละแห่ง โดยการวัดความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอนต่อการผลิตไฟฟ้า ซึ่งทำให้ SCB สามารถติดตามและปรับปรุงพอร์ตสินเชื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์เพื่ออนาคต Net Zero

SCB มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการบรรลุ Net Zero โดยมีแผนการลดการปล่อยคาร์บอนทั้งในพอร์ตสินเชื่อและการลงทุน การสนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่มให้มีการปรับตัวและเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ ซึ่ง SCB ไม่ได้เน้นเพียงแค่เรื่องของการเงินเท่านั้น แต่ยังมีการดำเนินการ 3 เรื่องหลักที่จะช่วยสร้างความตระหนักรู้และสนับสนุนลูกค้าในเส้นทางสู่ Net Zero อย่างรอบด้าน

1) ให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้

SCB ให้ความสำคัญกับการให้ความรู้และการสร้างความตระหนักรู้แก่ลูกค้าและสังคมในเรื่องความยั่งยืน การปรับตัวก่อนจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ดีมากกว่าการปรับตัวล่าช้า ซึ่งการให้ความรู้นี้ถือเป็นภารกิจสำคัญของธนาคาร ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา SCB ได้จัดคอร์สอบรมและให้ความรู้กับลูกค้ากว่า 1,500 ราย ทั้งในกลุ่ม Corporate และ SME เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มของโลกที่มุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืน

    ตัวอย่างโครงการที่โดดเด่นคือ MISSION X ซึ่งเดิมทีเน้นเรื่อง Digital Transformation แต่รุ่นล่าสุด SCB ได้เจาะไปยังกลุ่มธุรกิจโรงแรม และได้นำเรื่อง sustainability เข้ามาเป็นหัวข้อหลักในการให้ความรู้ นอกจากนี้ยังมีโครงการเกี่ยวกับธุรกิจขนส่งสีเขียวและ Sustainability Innovation ที่ SCB พยายามออกแบบคอร์สต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

    2) สนับสนุนทางการเงินอย่างยั่งยืน

    SCB พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สอดคล้องกับแนวทางความยั่งยืน เช่น Sustainability-Linked Products ซึ่งออกแบบมาเพื่อสนับสนุนลูกค้าที่พร้อมเดินบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน โดยมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน เช่น การลดคาร์บอนหรือคะแนน DGSI (Data Governance and Strategic Intelligence) หากลูกค้าสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ธนาคารจะมีการปรับลดดอกเบี้ยให้กับลูกค้าเพื่อเป็นแรงจูงใจ

    อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้คือ Sustainable Deposit สำหรับลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องการลงทุนอย่างยั่งยืน ธนาคารเห็นว่าลูกค้าขนาดใหญ่ไม่ได้ต้องการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพียงแค่ในธุรกิจหลัก แต่ยังรวมถึงการลงทุนที่ต้องการให้มีผลกระทบที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

    3) การสร้างเครือข่ายพันธมิตรและพัฒนาทักษะภายใน

    SCB ไม่เพียงสนับสนุนลูกค้าภายนอกเท่านั้น แต่ยังเตรียมความพร้อมสำหรับองค์กรภายในด้วย โดยมีการพัฒนาทักษะพนักงานในด้านการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความยั่งยืน เพื่อให้สามารถสนับสนุนลูกค้าได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบฐานข้อมูลและพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในเรื่องความยั่งยืน และการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยลดคาร์บอนให้กับองค์กรอย่างเป็นระบบ

      และในอนาคต SCB จะยังคงมุ่งมั่นในการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง สำหรับลูกค้าและภาคธุรกิจไทยในการขับเคลื่อนสู่การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนและบรรลุเป้าหมาย Net Zero อย่างมั่นคง

      ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

      แนวทางการพัฒนา AI ของ Meta และความร่วมมือในการส่งเสริมศักยภาพธุรกิจไทย

      4 เทรนด์สำคัญกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย พร้อมเผยทักษะ “5 อวัยวะ” ที่ผู้นำยุคใหม่ต้องมี

      ธนาคารกรุงศรีฯ ก้าวสู่สถาบันการเงินที่ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาพนักงานและองค์กร

      ×

      Share

      ผู้เขียน