อวกาศ (Space) คืออาณาจักรที่กว้างใหญ่และไร้ขอบเขต การก้าวเข้าไปเพียงลำพังอาจทำให้เราเดินทางช้าและไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้น การมีเพื่อนร่วมทางที่ดีจะช่วยให้เราสามารถไปได้เร็วและไกลกว่า ดร.ณัฐวัฒน์ ธรรมวิถีกร หัวหน้าโครงการ “การวิเคราะห์แผนที่นำทาง” การวิจัยขั้นแนวหน้าระบบโลกและอวกาศและแนวทางการใช้ประโยชน์ ได้ร่วมกับคณะวิจัยสรุปแนวทางของสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สกสว.) เพื่อใช้แผนที่นำทางนี้ขับเคลื่อนการวิจัยขั้นแนวหน้าของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยที่มีคุณภาพและสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลและอุตสาหกรรมอวกาศของประเทศไทย
โครงการ “การวิเคราะห์แผนที่นำทาง” ได้อธิบายถึงกระบวนการทำงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนที่นำทาง (Roadmap) ที่พิจารณาในเชิงห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) โดยมีการร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ร่วมทุน แผนที่นำทางนี้ไม่ได้เพียงแค่เน้นไปที่เป้าหมายการพัฒนาเท่านั้น แต่ยังกล่าวถึงประโยชน์ของ “Passway Benefit” ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความคืบหน้าและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกัน
กำเนิดแผนที่นำทาง ESS (Earth Space System)
โครงการ ESS หรือ งานวิจัยขั้นแนวหน้าระบบโลกและอวกาศ (Earth Space System Frontier Research; ESS) คือการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการผลักดันงานวิจัยขั้นแนวหน้าบนฐานของเทคโนโลยีอวกาศ ตามนโยบายของสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุผลสำเร็จทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ โครงการนี้ถูกออกแบบมาอย่างเป็นระบบและครอบคลุม โดยกำหนดกรอบการพัฒนาที่ชัดเจน ครอบคลุมทั้งการกำหนดโดเมนความสามารถ (Competency Domains) ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศในประเทศไทย พร้อมทั้งการประเมินสถานะความพร้อมของเทคโนโลยีด้วยการวิเคราะห์ระดับความพร้อมของแต่ละโดเมนความสามารถ (TCD-RLs) ในกลุ่มชุมชนวิจัยของไทย นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบกับผู้นำระดับโลก (Global Leaders) เพื่อค้นหาจุดเด่นและจุดที่ยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติม พร้อมระบุช่องว่างของความสามารถที่ยังขาดอยู่
ESS ยังได้สำรวจโอกาสและประโยชน์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการพัฒนาทางเลือก (Pathway) เพื่อสนับสนุนการเติบโตของแต่ละโดเมนความสามารถ โดยตั้งเป้าหมายในการสร้างแผนที่นำทาง (Roadmap) ที่ปรับให้เข้ากับความต้องการและสภาพแวดล้อมเฉพาะของประเทศไทย เพื่อให้การพัฒนาเทคโนโลยีและงานวิจัยในแต่ละส่วนสามารถดำเนินไปได้อย่างสอดคล้อง มีประสิทธิภาพสูงสุด และพร้อมแข่งขันในระดับสากล โครงการนี้มีวัตถุประสงค์และผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการตามข้อกำหนดของ สกสว. ซึ่งถูกสร้างโดยทีมผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาในโครงการวิจัยด้านเทคโนโลยี มีหลายมิติ ได้แก่
- จัดทำแผนที่ทางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี จนสามารถเชื่อมโยงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีวิธีซับซ้อนแนวหน้าระบบโลกและอวกาศ
- สร้างแผนที่นำทางที่เน้นการพัฒนาขีดความสามารถทางการวิจัยเพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศ โดยมีการระบุเป้าหมายย่อยในแต่ละช่วงเวลา (pathway targets)
- การศึกษากรอบความต้องการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ที่สอดคล้องกับแนวหน้าระบบโลกและอวกาศด้วยวิธี Social Network Analysis
- เสนอประเด็นสำคัญเชิงนโยบายและแนวทางการดำเนินการ เพื่อยกระดับความสามารถจากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัย
- แนวทางในการติดตามความก้าวหน้าของงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดการทบทวนและปรับแผนที่ทางการในแต่ละช่วงเวลาที่เหมาะสม
- การนำเสนอผลการศึกษาในรูปแบบ Virtual Exhibition for National Technology Roadmaps
ทั้ง 6 ผลที่คาดว่าจะตามมาจากการพัฒนาแผนที่นำทาง จะอยู่ภายใต้กระบวนการทำงานที่ครอบคลุมการร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งการประชุมกับผู้บริหาร การเรียนรู้จากองค์กรอื่นๆ และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงหลักฐาน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและวิจัยเทคโนโลยีในโครงการ ได้แก่
- Discuss with the key stakeholders : เป็นการประชุมและหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักในโครงการ เช่น การประชุมกับผู้บริหารระดับสูงและทีมวิจัย รวมถึงการเยี่ยมชมหน่วยงานและห้องปฏิบัติการของ GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ) และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลที่จำเป็น
- Lessons Learned from Different Organizations : เป็นการรวบรวมบทเรียนและประสบการณ์จากองค์กรต่างๆ เช่น ESA (European Space Agency), NASA, KASI (Korea Astronomy and Space Science Institute) รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจากหลายสถาบัน เพื่อสรุปแนวทางและปัจจัยสำคัญที่สามารถนำมาใช้ในโครงการได้
- Evidence based Analysis : การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงหลักฐาน โดยใช้ข้อมูลจากกรณีศึกษาและการประเมินเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น กล้องอุตสาหกรรมและโซลาร์เซลล์
- Workshop Series: Participants : การจัดเวิร์กช็อปเพื่อรวบรวมผู้เข้าร่วมจากหลายภาคส่วน ได้แก่ หน่วยงานรัฐบาล (48%), ภาคเอกชน (50%), และภาคการศึกษา (2%) มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 150 คน
3 Step การพัฒนาแผนที่นำทาง ESS เพื่อศักยภาพสูงสุด
ภายใต้แนวคิดในการจัดทำแผนที่นำทางแบบ Conceptual Design เป็นการพัฒนามุ่งสู่การบูรณาการความรู้และศักยภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถที่จำเป็นที่สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาศักยภาพในกรอบขององค์กรชั้นนำอย่าง ESA (European Space Agency) เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ครอบคลุมและมีผลกระทบเชิงบวกต่อหลายภาคอุตสาหกรรมสำหรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีวิจัยขั้นแนวหน้าระบบโลกและอวกาศ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาและแนวทางการพัฒนา ได้แก่
ส่วนที่ 1 : Upstream หมายถึงการพัฒนาเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ เช่น โมดูล Payload, เสาอากาศต่างๆ (Altika Altimeter Antenna, Star Sensors, LRA ฯลฯ) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของการพัฒนาอุปกรณ์อวกาศเพื่อใช้งานในภารกิจหรือโครงการอวกาศ
ส่วนที่ 2 : Downstream หมายถึงการนำเทคโนโลยีที่พัฒนามาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ ต่อเนื่อง เช่น การสื่อสารผ่านดาวเทียม การสำรวจทรัพยากรโลก หรือการเก็บข้อมูลเพื่อการประยุกต์ใช้ในภาคส่วนอื่นๆ
ส่วนที่ 3 : Spill-over Effects เป็นผลกระทบที่เกิดต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากการใช้งานโดยตรง เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor), อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ (Battery Industry), อุตสาหกรรมยา (Pharma Industry) ซึ่งได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น
ทั้ง 3 ส่วนนี้จะมีแนวทางการพัฒนาตามระยะเวลาที่วางไว้อย่างรอบคอบ ได้แก่
- ช่วงปี 2567-68 (2024-2025) พัฒนา “Competency Development” ในช่วงนี้เน้นการพัฒนาและวิจัยเพื่อเสริมสร้างความสามารถ (Competencies) ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีและการวิจัยขั้นแนวหน้าระบบโลกและอวกาศ โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาขีดความสามารถพื้นฐานของประเทศในการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
- ช่วงปี 2568-70 (2025-2027) พัฒนา “Upstream Development” โดยเน้นส่วนกลางของแผนที่นำทาง (Upstream) เป็นการพัฒนาในด้านเทคโนโลยีและระบบที่เกี่ยวข้องกับอวกาศโดยตรง เช่น การพัฒนายานอวกาศ (Satellite/Spacecraft) และองค์ประกอบของยาน (Spacecraft Component Development) ที่สำคัญต่อการพัฒนาระบบอวกาศขั้นพื้นฐานของประเทศ และส่วนต้นน้ำของแผนที่นำทาง (Satellite Development) โฟกัสที่การพัฒนาผลผลิตหรือการวิจัยด้านอวกาศที่เกิดขึ้นในส่วนต้นน้ำ อาทิ การสร้างและพัฒนาระบบยานอวกาศ และการพัฒนาชิ้นส่วนและองค์ประกอบต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละช่วงเวลา
- ช่วงปี 2570 และต่อไป (2027 and Beyond) พัฒนา Downstream/Spillover Effects ส่วนปลายน้ำของแผนที่นำทาง (Downstream/Spillover effects) เน้นการนำเทคโนโลยีที่พัฒนามาใช้ประโยชน์ในภาคส่วนต่างๆ
12 โดเมนความสามารถ (TCDs) ความมุ่งหวังสูงสุดของประเทศไทย
จากเป้าหมายสำคัญของการวิจัยและพัฒนา ESS ไม่ได้มีเพียงการบรรลุถึงระดับความพร้อมของเทคโนโลยีที่ระดับ 9 (TRL 9) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่แสดงถึงความพร้อมในการใช้งานในเชิงพาณิชย์หรือในสถานการณ์จริง แต่ยังต้องการให้การพัฒนาดังกล่าวนำไปสู่โอกาสที่แข่งขันได้ในเศรษฐกิจอวกาศระดับโลก ซึ่งหมายถึงการเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของตลาดและอุตสาหกรรมอวกาศระดับนานาชาติ กระทั่งเกิดเป็นการพัฒนาความสามารถหลักของประเทศไทย (Thailand Competency) ในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ โดยแบ่งออกเป็น 12 โดเมนความสามารถ (TCDs) ที่ครอบคลุมหลากหลายด้านของเทคโนโลยีอวกาศ ได้แก่
TCD1 : EEE Components, Photonics, MEMS การพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนแสง, และ MEMS (Micro-Electro-Mechanical Systems) ซึ่งใช้ในภารกิจอวกาศ
TCD2 : Structures, Mechanisms, Materials, Thermal โครงสร้างและวัสดุที่ทนต่อสภาวะแวดล้อมของอวกาศ เช่น การจัดการความร้อนและกลไกที่ซับซ้อน
TCD3 : Avionic Systems ระบบอิเล็กทรอนิกส์บนยาน เช่น ระบบคอมพิวเตอร์บนยาน ระบบจัดการข้อมูล และระบบควบคุมการสื่อสาร
TCD4 : Electric Architecture, Power & Energy การพัฒนาระบบพลังงานไฟฟ้าและการจัดการพลังงานสำหรับยานอวกาศ
TCD5 : RF & Optical Systems and Products ระบบสื่อสารวิทยุและออปติก เช่น การสื่อสารระยะไกล, การสำรวจระยะไกล และการปรับปรุงภาพ
TCD6 : Life Support, Robotics & Automation ระบบสนับสนุนชีวิตและการควบคุมอัตโนมัติ เช่น หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในอวกาศ
TCD7 : Space Logistic and Launcher การขนส่งและการปล่อยจรวด เช่น การพัฒนาระบบจรวดและระบบขนส่งอวกาศ
TCD8 : Ground Systems & Mission Operations ระบบควบคุมภาคพื้นดินและการดำเนินภารกิจ เช่น การประมวลผลข้อมูลและการติดตามวงโคจร
TCD9 : Digital & Information Applications การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ปัญญาประดิษฐ์, ระบบอัตโนมัติ, และการประมวลผลข้อมูล
TCD10 : Guidance, Navigation and Control (GNC) System ระบบควบคุมการนำทางและทิศทางของยานอวกาศ
TCD11 : Space Debris & Space Environment การจัดการกับขยะอวกาศและการศึกษาสภาพแวดล้อมในอวกาศ
TCD12 : Science Payloads and Experiment การพัฒนาอุปกรณ์วิทยาศาสตร์และการทดลองในอวกาศ เช่น การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจอวกาศ
ทั้งหมดเพื่ออัปเกรดความสามารถของประเทศไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศในหลายด้าน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบระบบบนยานอวกาศไปจนถึงการพัฒนาระบบการจัดการขยะอวกาศ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเทคโนโลยีอวกาศในอนาคต
สรุปความคาดหวังจากแผนที่นำทาง ESS (Earth Space System) ช่วงปี 2568-2575
จากการพัฒนาใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่Upstream, Downstream และ Spill-over Effectsโดยดร.ณัฐวัฒน์ ธรรมวิถีกร หัวหน้าโครงการ “การวิเคราะห์แผนที่นำทาง” การวิจัยขั้นแนวหน้าระบบโลกและอวกาศและแนวทางการใช้ประโยชน์ ร่วมกับคณะวิจัย มาจากทั้งส่วนงานที่ดำเนินการไปแล้ว กำลังดำเนินการอยู่ และแผนงานที่วางไว้ในอนาคต ซึ่งแต่ละระยะมุ่งหวังการพัฒนาขีดความสามารถที่ครอบคลุมทั้งระบบไฟฟ้า ซอฟต์แวร์ ระบบควบคุม และการพัฒนาดาวเทียมในหลายรูปแบบ สามารถอธิบายโดยย่อได้ว่า
- การพัฒนาขีดความสามารถด้าน Upstream มีรายละเอียดดังนี้
- ปี 2568 พัฒนาระบบ EPS (Electric Power System) ซึ่งเป็นระบบจัดการพลังงานสำหรับยานอวกาศ
- ปี 2569 พัฒนาซอฟต์แวร์ควบคุมการบิน (Flight Software) เพื่อสนับสนุนการทำงานของดาวเทียม
- ปี 2570 พัฒนา Onboard Computer (OBC) ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์หลักสำหรับการประมวลผลและควบคุมยานอวกาศ รวมถึงการพัฒนาโรงเรือนปลูกพืชอาหารในอวกาศ
- ปี 2571 พัฒนาดาวเทียมระดับชาติ (National Satellite) และระบบควบคุมทิศทาง (ADCS/AOCS) เพื่อปรับทิศทางและควบคุมการเคลื่อนที่ของดาวเทียม
- ปี 2572 พัฒนากลุ่มดาวเทียม (Satellite Constellation) ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อดาวเทียมหลายดวงเพื่อทำงานร่วมกัน และพัฒนาอุปกรณ์ Avionics สำหรับควบคุมและสื่อสารกับยานอวกาศ
- ปี 2573 การพัฒนาอุปกรณ์ Hyperspectral Imager เพื่อเพิ่มความสามารถในการสังเกตการณ์จากอวกาศ และการพัฒนาระบบการปล่อยดาวเทียม
- กิจกรรมการพัฒนา Downstream มีรายละเอียดดังนี้
- ปี 2568 พัฒนาเทคโนโลยี GNSS SW & Climate เพื่อการสำรวจสภาพภูมิอากาศและการใช้งานด้านระบบนำทาง นอกจากนี้ยังพัฒนาเทคโนโลยี SSA (Space Situational Awareness) สำหรับการติดตามวัตถุในอวกาศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการศึกษาด้าน Micro-Organisms ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวิจัยชีวภาพและอุตสาหกรรมอาหาร
- ปี 2569 พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการติดตามการแผ่รังสีในอวกาศ (Space Radiation) และการสร้างแบบจำลองซอฟต์แวร์เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลและการปฏิบัติการในอวกาศ
- ปี 2570 พัฒนา STM (Space Traffic Management) เพื่อจัดการการจราจรในอวกาศและลดความเสี่ยงจากการชนในวงโคจร รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีการทำนายการเกษตร (Forecast Agriculture) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเกษตรด้วยข้อมูลจากอวกาศ
- ปี 2571 มุ่งเน้นการพัฒนาด้าน Space Medicine เพื่อศึกษาผลกระทบของสภาพแวดล้อมในอวกาศต่อร่างกายมนุษย์ และการพัฒนาระบบทำนายทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจอวกาศ
- ปี 2572 พัฒนา Asteroid Impact การศึกษาผลกระทบจากดาวเคราะห์น้อยและการป้องกันความเสียหาย และ Mitigation การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติจากอวกาศ
- กิจกรรมการพัฒนา Spill-over Effects มีรายละเอียดดังนี้
- ปี 2568 สร้าง Platform การทดลองของไหลสำหรับพื้นที่จำกัด (1): การพัฒนาระบบและแพลตฟอร์มสำหรับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับของไหลในสภาพแวดล้อมที่มีข้อจำกัด เช่น บนสถานีอวกาศ และการทำฟาร์มถึงจุดโน้มถ่วงเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ พัฒนาระบบและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในสภาพไร้น้ำหนักหรือจุดโน้มถ่วงจำกัด ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านการแพทย์และอุตสาหกรรมอาหาร
- ปี 2569 ระบบควบคุมด้วยแรงกลสังเคราะห์ที่มีการจัดการความเสียหาย การจัดการระบบสำรอง การสื่อสารระยะไกล และพัฒนาระบบควบคุมและการสื่อสารที่ใช้เทคโนโลยีแรงกลสังเคราะห์ เพื่อรองรับการใช้งานในอวกาศและการสื่อสารระยะไกล
ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงถึงการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศไทยในด้านเทคโนโลยีอวกาศตั้งแต่การพัฒนาภายในประเทศ ต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในด้านการเกษตร การแพทย์ และการจัดการสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการวิจัยและพัฒนาที่จะมีผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต แต่ยังต้องการการสนับสนุนจากหลายภาคส่วนเพื่อแก้ไขรวมถึงผลักดันนโยบาย (Policy Recommendations) สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศของประเทศไทย
โดยเน้นการพัฒนาใน 3 ด้านหลัก คือ อย่างแรกการพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการโครงการวิจัย โดยเน้นการพัฒนาวิธีการบริหารและจัดการโครงการวิจัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมอวกาศ ต่อมาการพัฒนากำลังคน เน้นการพัฒนาทักษะและความสามารถของบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมอวกาศ และเตรียมความพร้อมสำหรับงานวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีและสุดท้ายการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติและการรักษาสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Balance) สนับสนุนและผลักดันผู้ประกอบการให้เข้าสู่อุตสาหกรรมอวกาศ โดยเฉพาะการเปลี่ยนจากการผลิตในปริมาณมาก (Volume Base) ไปสู่การผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Production) โดยใช้กลไกสนับสนุน เช่น Seeding Fund, เงินทุนลดหย่อนภาษี และมาตรการทางการคลัง ไปพร้อมกับการพัฒนาบุคลากรที่สามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก (Spillover Effect) ได้เพิ่มมากขึ้น และต้องไม่ลืมการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงและสมดุลในการพัฒนาทางเทคโนโลยี และเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายระดับโลกด้วยเช่นกัน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
3 พันธมิตรไทย-ไต้หวัน ผนึกกำลัง ให้บริการ AI ครบวงจร ผ่าน ‘เฮกซ่าเทคโซลูชั่นส์’
เปิดเส้นทางสู่ความสำเร็จ 2 ผู้บริหารไทย สู่การเป็นนักศึกษาทุนระดับโลก