Share on
×

Share

บทบาทของภาคธุรกิจเพื่อโลก ความยั่งยืนที่ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือหนทางสู่ความอยู่รอด

ความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกแต่เป็นทางรอดของภาคธุรกิจ เพราะภาคธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมต้องเริ่มตระหนักถึงการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกเนื่องจากหลายธุรกิจมีการพึงพาทรัพยากรธรรมชาติ จึงเป็นบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้การผลิตสินค้าในอนาคตมีความยั่งยืน รวมถึงการสร้างความร่วมมือในการลดปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ภายในงาน “ปลูกป่า ปลูกคน: ทางเลือก ทางรอด หรือ Mae Fah Luang Sustainability Forum 2024” โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีการแชร์ประสบการณ์ของภาคธุรกิจที่ดำเนินเรื่องการสร้างความยั่งยืนในหัวข้อ “ความยั่งยืนของภาคธุรกิจ: จากทางเลือกสู่ทางรอด” โดยต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), สุศมา ปิตากุลดิลก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงามความยั่งยืนและบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน), ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และสุมลรัตน์ ทวีกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผมองค์กร บริษัท ยูนิ-ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเป็นกรณีศึกษาและแนวทางในการดำเนินงานให้กับภาคธุรกิจอื่นๆ ที่พร้อมจะตั้งเป้าหมายสร้างความยั่งยืนให้กับโลกใบนี้

ความยั่งยืนแบบฉบับบริษัทไทยเบฟ

ในยุคที่ปัญหาโลกร้อนและสภาพภูมิอากาศเลวร้ายขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลายองค์กรเริ่มตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาทิ พายุ น้ำท่วม ไฟป่า ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ ทั้งในแง่ของทรัพยากรอาหารที่ลดลง หรือแม้กระทั่งการเกิดโรคระบาดใหม่ ๆ ปัญหาน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ในอนาคตอันใกล้ (ภายในปี 2030) มีการคาดการณ์ว่าระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นจนกระทบหลายจังหวัดในประเทศไทย เช่น อยุธยา นครปฐม กรุงเทพมหานคร และราชบุรี สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ในฐานะบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นในการดำเนินกลยุทธ์เพื่อสร้างความยั่งยืน โดยการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและการรับมือกับความเสี่ยงในอนาคต ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. การใช้พลังงานสะอาด ไทยเบฟตั้งเป้าหมายเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดให้มากถึง 50% ของพลังงานที่ใช้ทั้งหมดภายในปี 2030 ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 40% โดยมีการนำระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) และไบโอแก๊สมาใช้ในกระบวนการผลิต
  2. การจัดการของเสีย หรือ Waste Management บริษัทได้ริเริ่มการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้รักษ์โลกมากขึ้น โดยการใช้พลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate) ให้ได้ 30% และใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิลในสินค้าประเภทเบียร์ช้าง รวมถึงมีเป้าหมายเก็บขวดแก้ว พลาสติก และกระป๋องอะลูมิเนียมให้ได้ 100% ภายในปี 2030
  3. นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Innovation): ไทยเบฟได้นำนวัตกรรมมาใช้ในการผลิตเพื่อให้เกิดมลพิษน้อยที่สุด นอกจากนี้ยังวิจัยแหล่งอาหารใหม่ เช่น การใช้โปรตีนจากแมลง ซึ่งช่วยลดการปล่อยแก๊สมีเทนที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดภาวะโลกร้อน
  4. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไทยเบฟได้ร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในการสร้างโครงการปลูกป่าชุมชนเพื่อสร้างคาร์บอนเครดิต และยังคงมองหาวิธีการลดคาร์บอนในอนาคตอย่างต่อเนื่อง
  5. การจัดการคุณภาพน้ำ ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจน้ำ ไทยเบฟมุ่งเน้นการรักษาคุณภาพน้ำและการบำบัดน้ำเสีย โดยตั้งเป้าทดแทนน้ำที่ใช้ไปให้ได้ 100% ภายในปี 2040 ซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้ 5% แล้ว
  6. การประเมินและบริหารความเสี่ยง บริษัทได้เริ่มประเมินความเสี่ยงด้านน้ำ โดยการลงพื้นที่โรงงานต่าง ๆ เพื่อจัดทำแผนรับมือกับปัญหาน้ำในทุกโรงงาน รวมถึงการบริหารความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อชุมชนและธุรกิจในอนาคต

นอกจากการดำเนินการภายในองค์กร ไทยเบฟยังเน้นการทำงานร่วมกับพนักงาน เครือข่ายพันธมิตร และซัพพลายเออร์ เพื่อร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงสื่อสารกับผู้บริโภคให้เห็นถึงคุณค่าของการสนับสนุนสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การดำเนินการของไทยเบฟเวอเรจไม่เพียงแค่การลดปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงในอนาคตอย่างเป็นระบบ

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ชี้ ‘ปลูกป่า ปลูกคน’ ทางออกของไทยเพื่อบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีส

กลยุทธ์ความยั่งยืนของ ปตท.สผ.

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็นหนึ่งในบริษัทที่สำคัญในเครือ ปตท. ก่อตั้งขึ้นในปี 1985 โดยมีพันธกิจในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทย ด้วยการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอย่างมีประสิทธิภาพและเพียงพอเพื่อรองรับความต้องการในประเทศ ทั้งนี้ พลังงานที่ผลิตต้องมีราคาที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ง่าย อีกทั้งยังต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย PTTEP ได้วางกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างชัดเจนผ่านการเป็นองค์กรที่เก่ง มีความรับผิดชอบ และผสานการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อรักษาทรัพยากรสำหรับโลกและชุมชนอย่างยั่งยืน

สุศมา ปิตากุลดิลก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงามความยั่งยืนและบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เผยกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจ 3 ด้านหลักเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางพลังงานและสิ่งแวดล้อม ดังนี้

  1. การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม บริษัทมุ่งมั่นสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศอย่างเต็มกำลัง
  2. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก PTTEP ตั้งเป้าหมายเป็นองค์กร Net Zero ภายในปี 2050 โดยมีเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง
  3. การเปลี่ยนแปลงสู่พลังงานสะอาด บริษัทพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานในอนาคตผ่านการสนับสนุน Energy Transition สู่พลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านต้นทุน เครื่องจักร หรือกระบวนการผลิตสินค้าต่าง ๆ

ด้วยความตระหนักถึงบทบาทของบริษัทพลังงานซึ่งมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ จึงเริ่มดำเนินการสร้างความยั่งยืนมาตั้งแต่ปี 2013 ที่บริษัทตั้งใจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยปัจจุบันสามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกสะสมได้มากกว่า 2 ล้านตัน ผ่านการนำก๊าซกลับมาใช้ซ้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน และการใช้พลังงานทดแทน PTTEP ยังตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 80% ส่วนที่เหลืออีก 20% จะชดเชยด้วยการใช้คาร์บอนเครดิตผ่านการปลูกป่าและกิจกรรมอื่นๆ นอกจากนี้ได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น โครงการ Carbon Capture and Storage (CCS) ซึ่งเป็นกระบวนการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่ปล่อยออกจากกระบวนการผลิตไปเก็บไว้ใต้ดินลึกประมาณ 2-3 กิโลเมตร โครงการนี้มีแผนดำเนินการในพื้นที่อ่าวไทย โดยตั้งเป้าลด CO₂ 1,000 ตันก่อนปี 2027 อีกทั้งยังมองหาโอกาสในการเพิ่มคาร์บอนเครดิตจากการปลูกป่าและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ

อีกด้านหนึ่งยังให้ความสำคัญกับการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมองว่าการดำเนินงานด้าน Climate Action และ Climate Diversity ต้องทำควบคู่กัน เพราะทั้งสองประเด็นส่งผลกระทบร่วมกัน จึงไม่สามารถจัดการแยกกันได้ อีกหนึ่งโครงการที่สำคัญคือ โครงการทะเลเพื่อชีวิต (Ocean for Life Strategy) เนื่องจากบริษัทดำเนินงานในพื้นที่ทะเลอ่าวไทย ทะเลจึงเป็นเสมือนบ้านหลังที่สองขององค์กร โดยมีการตั้งเป้าหมาย 4 ด้านเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศของทะเลไทย ไม่ว่าจะเป็น การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศของทะเลไทย การเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนที่อยู่บริเวณพื้นที่ติดกับทะเลอ่าวไทย หรือสร้างเครือข่ายในพื้นที่ชุมชนเพื่อพิทักษ์ความสมบูรณ์ของท้องทะเล ด้วยการใช้ข้อมูลจากการดำเนินงานใกล้ชิดทะเลเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนรักษาทรัพยากรทางทะเล ให้การสนับสนุนการปลูกป่าชายเลนและการวัดอุณหภูมิทะเลอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก พร้อมทั้งสร้างศูนย์รักษาพันธุ์สัตว์ทะเล เพื่ออนุรักษ์และดูแลระบบนิเวศของทะเลให้คงอยู่ต่อไป

ความยั่งยืนผ่านการสนับสนุนลูกค้า SCB

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความยั่งยืนในสังคม โดยเฉพาะในแง่ของการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions) ของลูกค้าธนาคาร ในบริบทที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อน (Climate Change) สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และ Technology Disruption ธนาคารได้วางแผนรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ โดยเน้นการสนับสนุนลูกค้า การเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม และการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า หนึ่งในภารกิจหลักของ SCB คือการให้ความช่วยเหลือลูกค้า โดยเฉพาะในยามที่เกิดวิกฤติ เช่น ภาวะน้ำท่วมในภาคเหนือและภาคอีสาน ธนาคารได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้า เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ ยืดระยะเวลาชำระหนี้ รวมถึงการทำงานร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในการปลูกป่าชุมชนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโครงการเพื่อสังคมด้านการศึกษา เช่น การมอบอุปกรณ์ดิจิทัลให้กับนักเรียนและนักศึกษา เพื่อให้เข้าสู่ยุค Digital Ecosystem อย่างเต็มตัว

ในด้านของความยั่งยืนเอง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ก็มุ่งสู่การเป็นองค์กร Net Zero ด้วยมาตรฐาน SBTI (Science Based Targets Initiative) ที่เน้นความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายให้ลูกค้าของตนบรรลุสถานะ Net Zero ภายในปี 2050 ขณะที่องค์กรเองจะเป็น Net Zero ภายในปี 2030 นอกจากนี้ SCB ยังมุ่งเป้าหมายระยะสั้นในช่วง 3 ปีข้างหน้าในการให้สินเชื่อด้านการเงินยั่งยืน (Sustainable Finance) มากกว่า 150,000 ล้านบาท หรือการดำเนินมาตรการภายในองค์กรเพื่อลดการใช้พลังงาน เช่น การเปลี่ยนแอร์เก่าและการเปลี่ยนยานพาหนะของธนาคารเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยคาดหวังว่าจะลดการใช้พลังงานลงได้ถึง 50% ภายในปี 2027 ธนาคารปล่อยก๊าซคาร์บอนประมาณ 70,000 ตันต่อปีจากการดำเนินธุรกิจ แต่ SCB มุ่งมั่นลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระบบเศรษฐกิจของลูกค้าธนาคารด้วย ซึ่งลูกค้าที่กู้ยืมเงินจากธนาคารมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนรวมกันมากกว่า 6.7 ล้านตัน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าที่มีสัดส่วนสูงถึง 50%

แต่หนึ่งในแนวทางที่ใช้ในการลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งไม่เหมือนกับภาคธุรกิจใดเลย คือการไม่ปล่อยสินเชื่อให้กับโรงงานถ่านหินใหม่ เพื่อสร้างมาตรฐานที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ว่าธนาคารจะไม่ส่งเสริมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ธนาคารมีการวัดผลการดำเนินการผ่านมาตรฐาน ITR (International Transition Risk) และมุ่งเน้นให้ทุกองค์กรตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่ง SCB พร้อมให้การสนับสนุนทั้งในด้านการเงินและเทคโนโลยี เช่น มีความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือธุรกิจ SME ผ่านโปรแกรม Transition Finance โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการปรับตัวเข้าสู่พลังงานสะอาด ในส่วนของธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมแล้ว ธนาคารจะให้การสนับสนุนผ่านการลดดอกเบี้ยเมื่อลูกค้าสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกได้ เป็นต้น

โดยรวมคือการเน้น “Live Sustainably” สนับสนุนความยั่งยืนทุกมิติ พร้อมนำพลังเทคโนโลยีร่วมขับเคลื่อนให้ใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ผ่านสนับสนุนลูกค้าให้ก้าวไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ผ่านการให้สินเชื่อและการลงทุนที่ยั่งยืน การสร้างระบบนิเวศธุรกิจที่ยั่งยืนและโปร่งใส พร้อมกับการเป็นผู้นำด้าน Cybersecurity และเทคโนโลยีการเงิน (FinTech) และการสนับสนุนการศึกษา การเข้าถึงบริการทางการเงิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน

การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนในแบบยูนิ-ชาร์ม

บริษัท ยูนิ-ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มยูนิ-ชาร์มกรุ๊ป ซึ่งมีวิสัยทัศน์ในการสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมุ่งหวังให้ทุกคนสามารถยืนหยัดและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ เป็นการสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยบริษัทมุ่งเน้นการดูแล 3 ด้านหลัก คือ การดูแลปกป้องผู้คน การดูแลปกป้องสังคม และการดูแลปกป้องโลก

สุมลรัตน์ ทวีกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผมองค์กร บริษัท ยูนิ-ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด แชร์ประสบการณ์สร้างความยั่งยืนว่า ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิง ยูนิ-ชาร์มตระหนักถึงปัญหาการใช้ทรัพยากร โดยเฉพาะพลาสติก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลิต บริษัทจึงพยายามลดการใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์และกระบวนการผลิต เช่น การผลิตผ้าอนามัยที่ลดการใช้สารฟอกขาวเพื่อความปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือสำหรับผลิตภัณฑ์ของผู้สูงอายุ บริษัทได้พัฒนาสินค้าที่สามารถใช้ซ้ำได้เพื่อลดปริมาณขยะ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น ทรายแมว ก็มีการปรับปรุงเพื่อให้ลดฝุ่นและกลิ่น ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะและมลพิษในสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ

ยูนิ-ชาร์มได้ตั้งเป้าหมายสำคัญ 3 ประการ ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  1. การลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ บริษัทมีแผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตและการดำเนินงาน
  2. การลดปริมาณพลาสติกในบรรจุภัณฑ์ ยูนิ-ชาร์มพยายามลดการใช้พลาสติกในการผลิตและใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
  3. การไม่สนับสนุนการตัดไม้ทำลายป่า บริษัทใช้กระดาษจากป่าไม้ที่ปลูกทดแทน และยังมีการสนับสนุนชุมชนที่ทำการปลูกป่าเพื่อรักษาทรัพยากรป่าไม้

บริษัทแม่ในญี่ปุ่นได้เป็นต้นแบบในการรีไซเคิล ความริเริ่มด้านการรีไซเคิลและการจัดการขยะ เช่น ผ้าอ้อมที่ใช้แล้วเพื่อนำกลับมาใช้ซ้ำ เป็นต้น ส่วนในประเทศไทย ยูนิ-ชาร์มมีความโดดเด่นในด้านการจัดการขยะอย่างยั่งยืน มีการตั้งจุด Drop Point ให้กับลูกค้าเพื่อทิ้งขยะและนำไปรีไซเคิล นอกจากนี้ ยังเน้นการให้ความรู้และปลูกฝังความเข้าใจในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่พนักงาน นักเรียน นักศึกษา และลูกค้าเป็นสำคัญ อีกทั้งยีงมีการใช้พลังงานหมุนเวียน มุ่งมั่นเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ถึง 50% ภายในปี 2027 จากปัจจุบันที่ใช้พลังงานหมุนเวียนไปแล้วกว่า 30% และยังมีแผนที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายในปี 2030 การดำเนินงานทั้งหมดนี้ถูกติดตามและตรวจสอบผ่าน คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product : CFP) คือการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์เป็นการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ในกระบวนการผลิตของทุกผลิตภัณฑ์ในเครือยูนิ-ชาร์ม เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทกำลังเดินไปสู่การใช้พลังงานที่ยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อมตามที่ตั้งเป้าไว้ได้อย่างแน่นอน

ความยั่งยืนในภาคธุรกิจแม้จะดำเนินการแตกต่างกัน แต่สิง่ที่ทุกธุรกิจให้ความสำคัญชี้ให้เห็นว่า การสร้างความยั่งยืนไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นการเดินทางร่วมกันที่ทุกภาคส่วนในสังคมต้องร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่ง เพื่อขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางเดียวกัน ความสำเร็จของการสร้างความยั่งยืนต้องอาศัยทั้งความพร้อมของภาคธุรกิจ นโยบายจากภาครัฐ การสนับสนุนจากนักวิชาการและซัพพลายเชนต่าง ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของภาคประชาชนและชุมชน เมื่อทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ การบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ไปพร้อม ๆ กัน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคและเทรนด์ตลาด 2024 ปรับตัวอย่างไรก่อนเข้าสู่ปี 2025

“บิ๊กดาต้า” พัฒนาโคราช สู่เมืองอัจฉริยะ

×

Share

ผู้เขียน