ช่วงเวลานี้ หนึ่งในกระแสที่ผู้คนให้ความสนใจไม่น้อยคือ เรื่องราวของ “ยิบอินซอย” ยักษ์ใหญ่ไอทีไทยวัย 97 ปี กับ “Robinhood” สตาร์ตอัพฟู้ดเดลิเวอรี่วัย 4 ขวบที่กำลังหาบ้านใหม่ ที่ทั้งลุ้น ทั้งเชียร์ ลุ้นว่าโรบินฮู้ดจะลงเอยกับใคร และเชียร์ให้โรบินฮู้ดได้ไปต่อ
ต่างวัย ต่างยุค แต่มีจุดร่วมที่น่าสนใจ คือการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ ยิบอินซอยกำลังมองหาโอกาสเติบโตในศตวรรษที่สองด้วยเทคโนโลยี ส่วน Robinhood แพลตฟอร์มที่ธนาคารสร้าง ก็กำลังจะได้เจ้าของใหม่
ดีลนี้จะลงเอยอย่างไร? ต้องติดตามกันต่อไป
กำเนิด ยิบอินซอย
ยิบ อิน ซอย หนุ่มไฟแรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศจีน เขาได้สั่งสมประสบการณ์จากการฝึกงานด้านการเงินในฮ่องกงเป็นเวลาสองปี ก่อนจะกลับมาช่วยบิดา (ยับ หลง) ดูแลกิจการค้าขาย ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้สำรวจลู่ทางการค้าในภาคใต้ของประเทศไทย ในเวลานั้น อุตสาหกรรมเหมืองแร่กำลังรุ่งเรืองและมีอนาคตไกล
ราวปี 2469 “ยิปอินซอยแอนด์โก” ได้ถือกำเนิดขึ้นในรูปแบบห้างหุ้นส่วนสามัญ ณ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดย 3 ตระกูล คือ ตระกูลยิบอินซอย ตระกูลจูตระกูล และตระกูลลายเลิศ ในยุคนั้น ธุรกิจค้าแร่ยังถือเป็นน้องใหม่ในวงการ แต่ก็เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นเพื่อเกื้อหนุนธุรกิจยอดฮิตในเวลานั้น นั่นคือ การทำเหมืองแร่ดีบุกของบรรดาเหมืองแร่ในภาคใต้ และนำไปขายต่อให้โรงหลอมในปีนัง ยิบอินซอย มองเห็นและคว้าโอกาสที่จะเป็นผู้ขายแร่โดยตรงให้โรงหลอม และค่อย ๆ เติบโตจากสำนักงานสองคูหาที่ตั้งอยู่บริเวณชุมทางหาดใหญ่
ปี 2473 บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ด้วยทุนจดทะเบียน 150,000 บาท สำนักงานใหญ่ในช่วงแรกตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านทวาย จังหวัดพระนคร ก่อนที่จะย้ายมายังตำบลมหาพฤฒาราม อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร ในปี 2481 มาจนถึงปัจจุบัน
ยิบอินซอย ขยายและต่อยอดธุรกิจอย่างต่อเนื่องและหลากหลายอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
- ธุรกิจด้านการนำเข้าสินค้าคุณภาพชั้นนำระดับโลก เช่น การนำเข้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เท็กซาโก (Texaco) รถแทรกเตอร์ยี่ห้อ David Brown รถบรรทุก Isuzu เครื่องจักรทอกระสอบ เครื่องปรับอากาศ Air Temp
- ธุรกิจนำเข้าสินค้าอุปโภค บริโภค คุณภาพระดับโลก เช่น ตะเกียงเจ้าพายุตราโคลแมน กระดาษตราสแตบิโล เครื่องเขียน Pelikan, Swallo ผลิตภัณฑ์ตรา 3M กล้องถ่ายรูป Rolleiflex ฯลฯ
- ธุรกิจประกันภัย การออกกรมธรรม์ทางทะเล
- บุกเบิกการค้าปุ๋ยเคมีเป็นรายแรกของไทย เมื่อ พ.ศ.2489 โดยนำเข้าปุ๋ยเคมีคุณภาพสูงจากประเทศเยอรมนี เข้ามาจำหน่าย ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ตราใบไม้”
- ร่วมกับกลุ่มซีสซั่นส์ บราเดอร์ส เพ้นท์ ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สีทาบ้านคุณภาพรายใหญ่ที่สุดใน สหราชอาณาจักร ก่อตั้ง “บริษัท ซีสซั่นส์เพ้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสีอุตสาหกรรมคุณภาพสูง
- ธุรกิจด้านการเงิน โดยเป็นตัวแทนของ “ธนาคารนครหลวงแห่งประเทศไทย” และ “ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ” ในเขตพื้นที่ภาคใต้และบางจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- ก่อตั้ง “บริษัท ยิบอินซอยลงทุนและค้าหลักทรัพย์ จำกัด (YIT Invesment & Securities Ltd.- YISCO)” “บริษัท ยิบอินซอย เงินทุน” (Yipintsoi Finance Limited. – YIPFIN) ทำธุรกิจด้านการเงินและหลักทรัพย์ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น“บริษัท เงินทุนเอกธนกิจ จำกัด)”
ยิบอินซอย ก้าวเข้าสู่ธุรกิจเทคโนโลยีในปี 2497 โดยเป็นผู้จัดจำหน่าย “Burroughs Adding Machines” ซึ่งเป็นเครื่องคิดเลขจักรกลขั้นสูงสำหรับสำนักงานในขณะนั้น ต่อมาในปี2501 ได้จัดตั้ง “แผนก B” (ย่อมาจาก Burroughs) เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์นี้
ในปี 2506 ธวัช ยิบอินซอย ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มขับเคลื่อนธุรกิจเทคโนโลยี เขาเริ่มต้นด้วยการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างคอมพิวเตอร์ Burroughs ที่สามารถพิมพ์ภาษาไทยได้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญในยุคนั้น
ในปี 2516 บริษัทได้ขยายธุรกิจสู่การจัดจำหน่ายและติดตั้งคอมพิวเตอร์เมนเฟรม โดยมี เทียนชัย ลายเลิศ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในธุรกิจนี้ โครงการที่โดดเด่นของบริษัท ได้แก่ การติดตั้งเมนเฟรมที่ธนาคารกสิกรไทย, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, กองทัพอากาศ, การไฟฟ้านครหลวง, กระทรวงการคลัง และกรมศุลกากร ธุรกิจขยายตัวไปสู่ลูกค้าภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ นำไปสู่การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในธุรกิจเทคโนโลยีของยิบอินซอย
ในปี 2540 ในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ผู้บริหารรุ่นที่ 3 คือ มรกต ยิบอินซอย และสุภัค ลายเลิศ ได้เข้าร่วมวางกลยุทธ์และนำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในยิบอิน ซอย พวกเขานำเทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพ เช่น NetApp และผลิตภัณฑ์จาก SUN Microsystems มาสร้างตลาดใหม่ในยุคที่ระบบเปิดกำลังเข้ามาแทนที่ระบบเมนเฟรม และร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลกสู่ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศที่ครอบคลุม และขยายฐานลูกค้าจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจไปสู่ภาคการเงิน การธนาคาร และอุตสาหกรรมอื่น ๆ
มองไกลสู่ศตวรรษที่ 2 ด้วยดิจิทัลและกรีนเทคโนโลยี
“ยิบอินซอย” ไม่ใช่แค่ชื่อบริษัท แต่เป็นตำนานแห่งวงการไอทีของไทยที่สั่งสมประสบการณ์มากว่า 97 ปี วันนี้กำลังก้าวสู่ศตวรรษที่ 2 ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้น “ดิจิทัลเทคโนโลยี” และ “กรีน” เป็นหัวใจสำคัญ
ปัจจุบัน ยิบอินซอย มีบริษัทในเครือถึง 9 แห่ง พนักงาน 1,900 คน และศูนย์บริการกว่า 32 แห่งทั่วไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งเน้นการเป็น “พันธมิตรทางธุรกิจที่ดี” เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตดิจิทัลและการทำงานของผู้คน
ในปี 2567 ยิบอินซอยจะมุ่งเน้น 5 กลุ่มโซลูชันและผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ คลาวด์และระบบโครงสร้างพื้นฐาน, ไซเบอร์ซิเคียวริตี, โซลูชันสำหรับธุรกิจ, โซลูชันวิเคราะห์ข้อมูล และบริการด้านการเงินและการธนาคาร โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 70-80% ของรายได้รวม
นอกจากธุรกิจหลัก ยิบอินซอยยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในด้านพลังงานสะอาด เทคโนโลยีการเกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ในการสร้าง “สังคมที่มีความสุข” และเน้นธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
แม้จะมีแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่ยิบอินซอยยังคงยืนยันว่าจะไม่นำบริษัทแม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่จะส่งบริษัทลูกเข้า IPO ในปี 2569 เพื่อเปิดโอกาสในการเติบโตและเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ ๆ
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาเกือบ 100 ปี บวกกับวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมและความยั่งยืน ยิบอินซอยพร้อมแล้วที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในศตวรรษที่ 2 ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้นำด้านไอที แต่ยังจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว
เส้นทางการลงทุนในสตาร์ตอัพของยิบอินซอย
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ยิบอินซอย ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ลงทุนใน 4 สตาร์ตอัพที่มีศักยภาพสูง โดยเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสีเขียวและนวัตกรรม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
- บริษัท อีซีไรซ์ จำกัด (EasyRice) สตาร์ตอัพที่ใช้ AI ในการคัดเลือกพันธุ์และคุณภาพข้าว ซึ่งมีศักยภาพในการพลิกโฉมวงการเกษตรไทยและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น กาแฟและทุเรียน
- บริษัท โมรีนา โซลูชัน จำกัด (Morena Solution) บริษัทด้านไบโอ-นาโนเทคโนโลยี ที่พัฒนาเทคโนโลยีการส่งสารอาหารตรงสู่พืชและสัตว์ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจเฮลท์แคร์ได้
- บริษัท วินโนหนี้ จำกัด (Winnonie) แพลตฟอร์มเช่ามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งยิบอินซอยร่วมทุนกับบางจากฯ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดมลพิษ
- บริษัท โซลาริน จำกัด (Solaryn) สตาร์ตอัพที่พัฒนามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า RYN มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าฝีมือคนไทย
นอกจากนี้ YIP IN TSOI จับมือกับ ม.ขอนแก่น ผุดโครงการ “พัฒนางานวิจัยสู่การผลิตภาคอุตสาหกรรม” เพื่อนำแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมาใช้ใน RYN และต่อยอดสู่การผลิตแบตเตอรี่โซเดียมไอออนสำหรับกักเก็บพลังงานในโครงการ Smart Farming ของบริษัท และโครงการนี้ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานยุคใหม่ให้แก่นักศึกษาและบุคลากรของ ม.ขอนแก่น
ปี 2566 ยิบอินซอย มีรายได้รวม 5,963,583,905 บาท โดยมีกำไรสุทธิ 129,211,079 บาท
โรบินฮู้ด … จากฮีโร่สู่ตำนานในวงการฟู้ดเดลิเวอรีไทย
ย้อนกลับไปในเดือนมิถุนายน 2563 ช่วงเวลาที่โรคโควิด-19 กำลังระบาดอย่างหนัก ชื่อของ “Robinhood” ได้ปรากฏขึ้นบนหน้าสื่อเป็นครั้งแรก อาทิตย์ นันทวิทยา ผู้นำทัพ SCBX ในขณะนั้น ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่สัญชาติไทยภายใต้ชื่อนี้
Robinhood เกิดขึ้นภายใต้บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทน้องใหม่ในเครือ SCB 10X ด้วยงบลงทุนเริ่มต้นกว่า 100 ล้านบาทต่อปี แพลตฟอร์มนี้ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางความท้าทาย แต่ก็พร้อมที่จะเป็นฮีโร่ช่วยเหลือร้านอาหารและผู้บริโภคในช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยมี ธนา เธียรอัจฉริยะ เป็นประธานกรรมการบริหาร
โรบินฮู้ดโดดเด่นด้วยโมเดลธุรกิจที่ไม่เก็บค่าคอมมิชชั่น (GP) จากร้านค้า ทำให้ร้านอาหารสามารถขายสินค้าในราคาที่เป็นธรรม และผู้บริโภคก็ได้รับประโยชน์จากราคาที่ไม่แพง นอกจากนี้ โรบินฮู้ดยังมีบริการอื่นๆ เช่น Robinhood Mart, Robinhood Travel, และ Robinhood Ride
ด้วยโมเดลธุรกิจที่เป็นมิตรต่อร้านค้า และการสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ โรบินฮู้ดเติบโตอย่างรวดเร็ว มีร้านค้าเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง Robinhood เติบโตอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียง 1 ปี มียอดผู้ใช้ลงทะเบียนกว่า 2.3 ล้านคน ร้านอาหารร่วม 164,000 ร้าน และไรเดอร์อีกกว่า 26,000 คน
จากจุดเริ่มต้นที่บริการส่งอาหาร Robinhood ขยายบริการครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งสั่งสินค้าจากร้านค้าและตลาดสด (Mart), จองตั๋วและที่พัก (Travel), ส่งของและพัสดุ (Express) และเรียกรถโดยสาร (Ride)
สถิติของโรบินฮู้ด
ผู้ใช้: ฐานผู้ใช้แอคทีฟกว่า 3.7 ล้านราย
ร้านค้า: กว่า 3 แสนร้านค้า มีรายได้รวม 17,200 ล้านบาท
ไรเดอร์: กว่า 3 หมื่นคน มีรายได้รวม 3,600 ล้านบาท
ส่งอาหาร: มากกว่า 90 ล้านมื้อ เฉลี่ย 100,000 ออร์เดอร์ต่อวัน
Robinhood Travel: มีโรงแรมที่พักกว่า 20,000 แห่ง และสายการบินกว่า 170 สายการบิน
Robinhood Mart: มีร้านค้าในระบบกว่า 13,000แห่ง
แม้จะประสบความสำเร็จแต่โรบินฮู้ดก็ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดฟู้ดเดลิเวอรี การขาดทุนสะสม และความยากลำบากในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน Robinhood ขาดทุนต่อเนื่อง 4 ปีขาดทุนรวม 5 พันกว่าล้านบาท ในปี 2563 ขาดทุน 87 ล้านบาท ปี 2564 ขาดทุน 1.3 พันล้านบาท ปี 2565 ขาดทุน 1.9 พันล้านบาท และปี 2566 ขาดทุน 2.1 พันล้านบาท
ในที่สุดโรบินฮู้ดประกาศปิดให้บริการ 31 กรกฎาคม 2567 แต่ทว่า SCBX ประกาศเลื่อนการปิดบริการส่งอาหารของแอปพลิเคชัน Robinhood ออกไปอย่างไม่มีกำหนด หลังจากมีผู้สนใจเข้าซื้อกิจการมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ มีการคาดเดาว่าใครจะมาเป็นผู้ลงทุนรายใหม่ในแพลตฟอร์มส่งเดลิเวอรี่สัญชาติไทยนี้ ชื่อไทยเบฟถูกพูดถึงก่อน แต่ปฏิเสธไป ล่าสุดคือ ยิบอินซอย ที่ถูกจับตามากที่สุดตอนนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่า SCBX อาจจะขายโรบินฮู้ดที่ราคา 1 พันล้านบาท
หลายคนเฝ้าติดตามดูว่าดีลนี้จะลงเอยอย่างไร แต่เชื่อแน่ว่าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจใดที่จะมาลงทุนซื้อกิจการ Robinhood จะสร้างแรงกระเพื่อมในวงการธุรกิจเดลิเวอรี่ในไทยให้คึกคักขึ้นอย่างแน่นอน และที่สำคัญการซื้อกิจการในครั้งนี้น่าจะนำมาสู่การขยายตัวของธุรกิจที่มากไปกว่าแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ เพราะจะเกิดการต่อยอดจุดแข็งของกันและกันแน่นอน