Share on
×

Share

เปิดมุมมอง ‘เอสซีจี – สวิตเซอร์แลนด์ – บางจาก’ กับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้ด้วยตัวเราเอง

เมื่อคำว่า “ความยั่งยืน” กลายเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทำธุรกิจในยุคสมัยใหม่ องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกต่างหาวิธีในการทำธุรกิจที่ช่วยในการสร้างความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยในการลดการเกิดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การเกิดความสูญเสียในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ไปจนถึงปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ทุกคนทั่วทุกมุมโลก

ที่ในงาน “60 YEARS OF EXCELLENCE” มีการเสวนาในหัวข้อ “A Conversation on the Sustainable Future” โดย 3 ผู้บริหารจากองค์กรไทย และต่างประเทศ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงมุมมอง ประสบการณ์ และแนวทางที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความยั่งยืนสำหรับธุรกิจในยุคปัจจุบันของบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ที่เห็นพ้องกันแล้วว่า การสร้างองค์กรในยุคปัจจุบันนี้ต้องไม่ใช่แค่สามารถแข่งขันได้ในตลาดปัจจุบันได้ แต่ยังต้องขับเคลื่อนความยั่งยืนให้กับโลกของเราด้วยเช่นเดียวกัน

การพัฒนาที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมของธุรกิจ SCG

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG กล่าวถึงความสำคัญของคำว่า “ความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขัน” ว่า เป็นสิ่งที่จะต้องทำไปควบคู่กัน ไม่สามารถเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เพราะธุรกิจที่ยั่งยืนนั้นไม่ได้หมายถึงแค่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่จะต้องทำการแข่งขันได้ ในทางกลับกันธุรกิจที่แข่งขันได้ก็ต้องสร้างความยั่งยืนที่ดีต่อโลกด้วย

ทาง SCG เอง จึงมุ่งเน้นในการปรับกระบวนการผลิตโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมธุรกิจซีเมนต์ ก่อสร้าง และในส่วนของปิโตรเคมี ซึ่งมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดและสร้างรายได้ให้ SCG ได้อย่างต่อเนื่อง ให้มีกระบวนการผลิตที่ดียิ่งขึ้น และตั้งเป้าหมายให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตให้เป็น 0 ภายในปี 2050 (โดยเริ่มต้นจากการลดการปล่อยก๊าซลง 25% ในระยะแรก) ซึ่งกระบวนการนี้จะทำไปพร้อมกันกับการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานหมุนเวียนด้วย เช่น การใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดที่มากขึ้น รวมถึงหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการใช้ถ่านหินและการผลิตที่ใช้ความร้อนสูงในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และพัฒนาการใช้พลาสติกแบบ Low carbon ที่สามารถรีไซเคิลได้มากขึ้น เพื่อที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคตอีกด้วย

นอกจากการลดการใช้ก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตต่าง ๆ แล้ว SCG ยังได้ดำเนินโครงการเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านการร่วมมือกันกับภาคส่วนอื่น ๆ เป็นโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติม เช่น การร่วมมือกับ Homepro และบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัดในการรีไซเคิลตู้เย็นและแอร์เก่าของลูกค้า แล้วนำกลับมาผลิตเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ หรือการร่วมมือกับภาครัฐในการจัดทำโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ (SARABURI SANDBOX) ที่เป็นพื้นที่ในการผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย โดยมีเป้าหมายในการทดสอบและปรับใช้เทคโนโลยีที่ช่วยในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งถ้าโครงการนี้ทำสำเร็จก็จะนำไปใช้งานในพื้นที่อื่น ๆ ต่อได้เช่นเดียวกัน

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กับการทำ ESG

Helene Budliger Artieda, State Secretary for Economic Affairs, Seco, Switzerland บอกถึงแนวทางการสนับสนุนและการพัฒนาความยั่งยืนที่เกิดขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า แม้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะมีประชากรเพียง 9 ล้านคนและปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับต่ำ แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับการลดการใช้คาร์บอนแบบเต็มที่ จึงทำให้โฟกัสไปที่การทำ ESG (ซึ่งย่อมาจาก Environment, Social, และ Governance) โดยการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอนและมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในอนาคต โดยการใช้ความรู้และเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย รวมถึงพยายามที่จะสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในการสร้างความยั่งยืนให้มีมากยิ่งขึ้นในระดับโลก ยกตัวอย่างการส่งต่อและแลกเปลี่ยนความรู้เช่น การเปลี่ยนรถเมล์ในกรุงเทพฯ ให้เป็นรถ E-Bus (รถโดยสารประจำทางไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือ Bangkok E-Bus Programme) ที่เป็นส่วนหนึ่งในโครงการที่เกิดขึ้นภายใต้ของข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) จากการที่ทางประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้สนับสนุนความรู้และเทคโนโลยีให้กับประเทศไทย เพื่อทำให้เกิดกิจกรรมการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

บางจากกับแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พูดถึงการที่บางจากได้เริ่มวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาตั้งแต่ปี 2011 และทำมาต่อเนื่องจนในปี 2019 จนบางจากได้กำหนดมาตรฐาน ISO ขึ้นมา ทำให้มีการเริ่มที่จะปรับใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อวัด Carbon Footprintและใช้ในการวางแผนการที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว ซึ่งในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานี้ บางจากได้ลงทุนกับเรื่องนี้ไปประมาณ 6 หมื่นล้านบาทในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ช่วยในการรักษ์โลกและสร้างพลังงานสะอาด แต่ก็ต้องยังคงทำตามความต้องการให้ผลกำไรกับผู้ถือหุ้นในฝั่งของการแข่งขันในแง่ของการทำธุรกิจควบคู่ไปด้วย

และไม่ใช่ในระดับองค์กรเท่านั้น บางจากยังโน้มน้าวให้คนทั่วไปให้เห็นถึงความสำคัญเรื่องนี้ด้วยการปรับให้ชุมชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้มากขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การที่บางจากมีร้านกาแฟอินทนิลที่มีโครงการใช้แก้ว BIO Cup (แก้วที่ย่อยสลายได้) หรือโครงการที่ให้บริการตู้เปลี่ยนแบตเตอรี่อัตโนมัติในปั๊มบางจากที่ผู้ใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในโครงการให้สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ด้วยตนเองได้ โดยมี Swap Station กระจายอยู่ 120 แห่งทั่วกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังมีการสร้างคลับให้กับคนในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุยและศึกษาในเรื่องของคาร์บอน โดยมีการจัดโครงการให้ความรู้กันในทุก ๆ เดือน เพื่อให้คนในชุมชนตระหนักรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่บางจากทำมากยิ่งขึ้นด้วย

จะเห็นว่าองค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทยหรือต่างประเทศต่างเข้ามามีบทบาทในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมและการดำเนินธุรกิจด้านความยั่งยืนกันมากขึ้นผ่านการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ไปจนถึงการลงไปให้ความรู้กับคนในชุมชน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่งที่ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านการผลิตและการใช้พลังงานมากยิ่งขึ้น แต่สุดท้ายก็ต้องมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเข้ามาเพื่อที่จะทำให้องค์กรต่าง ๆ มีแรงขับเคลื่อนและแรงสนับสนุนในการทำตามแผนให้สามารถบรรลุเป้าหมายของความยั่งยืนได้ในอนาคตโดยที่ยังสามารถทำการแข่งขันต่อไปได้ในระยะยาว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

4 ผู้นำโชว์กลยุทธ์ และวิธีปรับตัวสู่ความยั่งยืน ในยุคที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง

“การกินเพื่อกู้โลก” แนวคิดการบริโภคอย่างยั่งยืน เป็นไปได้จริงหรือ?

ถอดรหัสการเติบโตแบบยั่งยืนของ 3 บริษัทใหญ่: PTT, Central และ AIS

×

Share

ผู้เขียน