ความยั่งยืน ดูจะเป็นเมกะเทรนด์ที่ทุกธุรกิจให้ความสนใจ ไม่เว้นแม่แต่ 4 ธุรกิจยักษ์ใหญ่ของไทย ทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์, เอสซีจี, ไทยเบฟเวอเรจ และไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ที่ผู้นำทัพของทั้ง 4 องค์กรจะมาชวนทุกคนรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นผ่านการบอกเล่าแนวคิดและประสบการณ์ของผู้ลงมือทำจริง ซึ่งสามารถหยิบมาเป็นต้นแบบของการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจได้ในหลายมิติ ภายใต้การเสวนาในหัวข้อ “วิสัยทัศน์ 2030 : พลังความร่วมมือสู่อนาคตที่ยั่งยืน” ในงาน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) จะมีแนวคิดสำคัญอะไรที่เป็น Key Takeaway ให้กับธุรกิจยุคใหม่บ้าง ตามไปดูสรุปพร้อม ๆ กัน
การเดินหน้าสู่เป้าหมายความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์
ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวถึงการเดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมายแห่งความยั่งยืนในระดับโลกว่า ทุกประเทศในตอนนี้กำลังพยายามที่จะเดินหน้าสู่ความยั่งยืนตามที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) กำหนดไว้ โดยได้ตั้งเป้าหมายความยั่งยืน Sustainable Development Goals : SDGs) ไว้ทั้งหมด 17 ข้อ และมีตัวชี้วัดประมาณ 140 ตัวชี้วัด ซึ่งทั้งหมดนี้เริ่มต้นกันมาตั้งแต่ปี 2022 และต้องบรรลุเป้าหมายกันในปี 2030 แต่จากปัจจุบันพบว่า มีความสำเร็จเพียง 12% เมื่อเทียบปีเป้าหมาย 2030 เรายังเหลือเวลากันอีก 6 ปีในการทำให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งก็ยังถือว่ายังห่างจากความเป็นจริงค่อนข้างมาก แน่นอนว่า กลายเป็นความท้าทายสำคัญแล้วที่จะต้องผลักดันให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนให้สำเร็จตามที่กำหนด
เมื่อหันมามองย้อนดูตัวบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่เรามีบริษัทในเครือมีการประกอบการใน 20 ประเทศ และมีการค้ากว่า 100 ประเทศทั่วโลก เรามุ่งมั่นที่จะส่วนหนึ่งในการช่วยบรรลุเป้าหมายนี้ จึงได้มุ่งเน้น 3 ด้านหลักที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ คือ
- การลดการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจก
- การลดของเสีย (Waste Management) หรือขยะที่มาจากอาหาร โดยการนำไปฝังกลบต้องเป็นศูนย์ (Zero Waste)
- การสร้างจิตสำนึกและการศึกษา ด้วยการสร้างความตระหนักรู้และการศึกษาให้กับพนักงานและคู่ค้าในเรื่องความยั่งยืน เพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสนับสนุนผู้คน 50 ล้านคนให้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต
สำหรับแผนการเดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจก เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ตั้งเป้าหมายใน Scope 1 (การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กรโดยตรง) และ Scope 2 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน) เพื่อนำองค์กรสู่ Carbon Neutral ได้อย่างต่อเนื่องตามแผนด้วยการปรับลดลงมาได้ 0.6 ล้านตันเทียบกับค่าสูงสุดในปี 2021 จากการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 17% การใช้ไบโอแก๊ส ไบโอแมส และการปลูกป่า รวมทั้งลดขยะของเสียเป็นศูนย์ นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่อหน่วยรายได้ 12% เทียบกับปี 2022 และลดปริมาณการใช้พลังงานรวม 2.3% เทียบกับปี 2022 ซึ่งช่วยลดความสิ้นเปลือง และทำให้การปล่อยคาร์บอนลดลงด้วย
สำหรับ Scope 3 ที่เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ ตลอดทั้ง Supply Chain ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายมาก เพราะต้องทำงานร่วมกับหลายภาคส่วน อย่างเช่น ในฝั่งคู่ค้าของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่จะต้องลดการปล่อยคาร์บอนจากการทำงานร่วมกันให้ได้ 25% ต้องลดการปล่อยก๊าซจากเกษตรกร 30% และลดคาร์บอนจากการขนส่งอีก 25% ซึ่งจำเป็นที่จะต้องสร้างความร่วมมือตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงควรได้รับความร่วมมือจากภาครัฐในการออกนโยบายหรือกฎข้อบังคับที่เข้ามาช่วยส่งเสริมในการลดคาร์บอน มีการทำให้เกิดการลงทุนในพลังงานสะอาดมากขึ้น และต้องไม่ลืมที่จะสร้างแรงจูงใจในการลดคาร์บอนให้มากขึ้น เนื่องจากเรื่องเหล่านี้ภาคเอกชนไม่สามารถทำเองได้ทั้งหมด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผลักดันให้เกิดข้อตกลงที่มีประสิทธิภาพร่วมกันได้ต่อไป
แนวคิดการสร้างพลังความร่วมมือสู่ความยั่งยืนของไทยเบฟเวอเรจ
ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นกล่าวถึงปัญหาที่โลกกำลังเผชิญ ทั้งในเรื่องของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น การใช้ทรัพยากรที่ไม่หยุดยั้ง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Extreme Weather) ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อทุกคนในโลก รวมถึงปัญหาความมั่นคงทางอาหารที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อให้มนุษย์สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ได้คือ การสร้างความร่วมมือกันระหว่างภาคธุรกิจ รัฐบาล และชุมชน ด้วยการใช้แนวคิด Coexistence และ Co-Creation ที่ทุกภาคส่วนควรช่วยกันสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้น โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียมองค์ความรู้ให้ทุกภาคส่วนให้ทุกคนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
สำหรับภาคเอกชนนั้นการร่วมมือกันจะต้องเกิดขึ้นในทุกระดับตั้งแต่บริษัทขนาดใหญ่ไปจนถึง SMEs ที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพราะถึงแม้บริษัทขนาดเล็กจะมีทรัพยากรจำกัด แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มีโอกาสได้รู้ข้อกำหนดบังคับและมีแรงมากพอก็ควรที่จะให้การช่วยเหลือและสนับสนุน SMEs ในการปรับตัวสู่แนวทางที่ยั่งยืน ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกันมากขึ้น ซึ่งแนวคิดที่จะช่วยส่งเสริมให้การรวมตัวจากองค์กรมีความเหนียวแน่นและมุ่งหน้าสู่ความยั่งยืนได้คือ แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่มักกล่าวถึง ความพอเพียง ความยั่งยืน เพื่อโลก หรือ Sufficiency for Sustainability
นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงหลักการมองภาพรวมของการพัฒนาความยั่งยืนในทุกมิติที่เรียกกันว่า 5P ประกอบด้วย
- Planet (โลก): การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- People (ผู้คน): การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคนในสังคม
- Prosperity (ความเจริญเติบโต): การส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเท่าเทียมกัน
- Peace (ความสงบสุข): การสร้างสันติภาพและความมั่นคงในสังคม
- Partnership (ความร่วมมือ): การร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน
ซึ่งแนวคิด 5P นี้จะเป็นหลักในการดำเนินการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนในอนาคต ด้วยการนำมาบูรณาการร่วมกันในทุกภาคส่วน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลกและสังคมได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต
ความท้าทายและโอกาสในการพัฒนาธุรกิจคาร์บอนต่ำในมุมมองของ SCG
ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาประเทศไทยและบริษัท เอสซีจี มุ่งเน้นที่จะพัฒนาความยั่งยืนผ่านโครงการสำคัญต่าง ๆ (Flagship Projects) โดยจะเน้นผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน 2 ด้านสำคัญ คือ 1. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ประเทศไทยได้เข้าร่วม และ 2. การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันที่จะต้องทำไปพร้อมกัน
ซึ่งส่วนที่ SCG ทำได้ดี คือ ได้ร่วมทำโครงการสระบุรีแซนด์บ๊อกซ์ ซึ่งเป็นต้นแบบของการพัฒนา Net Zero (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์) โดยตั้งเป้าหมายที่จะทำให้สระบุรีเป็นจังหวัดต้นแบบในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งหากประสบความสำเร็จ พื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย เช่น เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือกรุงเทพมหานครจะสามารถนำแบบแผนนี้ไปปรับใช้ได้ต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้ทำการปรับมาตรฐานอุตสาหกรรมซีเมนต์ที่ทำอยู่ให้กลายเป็นซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (Low Carbon Cement) ซึ่งเป็นแนวทางที่สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจากข้อมูลของ SGC ในปีที่ผ่านมายอดขายซีเมนต์ของบริษัทถึง 70% เป็นซีเมนต์คาร์บอนต่ำ และในปีนี้ตั้งเป้าหมายให้เพิ่มยอดขายเป็น 80-100% ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคและอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศไทยเริ่มให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
แต่ถึงแม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในด้านการลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมหลัก ๆ เช่น อุตสาหกรรมซีเมนต์ แต่ในเรื่องของ Circular Economy (เศรษฐกิจหมุนเวียน) เรายังไม่สามารถเทียบเคียงกับยุโรปได้ เนื่องจากประเทศไทยยังขาดแผนแม่บทในการรีไซเคิลที่ชัดเจน ทำให้ความสามารถในการจัดการของเสียและการรีไซเคิลยังไม่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร รวมถึงจิตสำนึกของประชาชนในการแยกขยะก็อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กระบวนการรีไซเคิลในประเทศยังมีต้นทุนสูง ประเทศไทยจึงควรลงทุนในด้านการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางให้มากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด หากเปรียบสมรรถนะเกณฑ์มาตรฐานกับจีนแล้ว ประเทศไทยยังขาด Regulator Chain ต้องมีระบบกักเก็บพลังงาน เพื่อสร้างเสถียรภาพของระบบสายส่งทั่วประเทศจะสามารถเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้อย่างมีศักยภาพสูงสุด ซึ่งถ้าเราทำเรื่องนี้ได้เพิ่มขึ้น ก็จะสร้างศักยภาพการแข่งขันได้แน่นอน
ก้าวสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ในแบบไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความพยายามของบริษัทในการปรับตัวและดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โดยเริ่มจากการดำเนินการ 2 เรื่องสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การดูแลสุขภาพคนและการดูแลสุขภาพของทะเล และเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) เนื่องจากในปี 2014 ประเทศไทยประสบปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายและการดูแลแรงงานที่ไม่เป็นธรรม และบริษัทได้ดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดด้วยการร่วมมือกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน การทำให้การประมงถูกต้องตามกฎหมาย การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และการผลิตที่มีความรับผิดชอบ
และในปี 2023 ที่ผ่านมาไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้มีการประกาศพันธกิจเดินหน้า Net Zero ภายในปี 2050 โดยพันธกิจนี้เน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับความต้องการของคู่ค้าและนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ซึ่งหลังจากประกาศพันธกิจสำคัญไปแล้ว ในปี 2024 ไทยยูเนี่ยนได้ขยายพันธกิจจาก 4 เป็น 11 พันธกิจ โดยเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1, 2, 3 ให้ได้ 42% ภายในปี 2030 ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มาก เบื้องต้นทางบริษัทได้เริ่มต้นจากการดูแลในด้านอาหารทะเล โดยเฉพาะสัตว์น้ำที่มาจากธรรมชาติอย่างเช่น ทูน่า ซาดีน แซลม่อน และยังมีการขยายดูแลจากสัตว์น้ำธรรมชาติ ไปสู่สัตว์น้ำเลี้ยงด้วยการช่วยเกษตรกรทำ Low Carbon Shrimp ที่ได้รับความร่วมมือจากสถาบันการเงินในการช่วยลงทุนให้กับ Solar Panels เพื่อให้ทุกฟาร์มในเครือของบริษัทได้ใช้ในระบบที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังขยายไปสู่ทางด้านเกษตรกรรม เช่น การจัดซื้อถั่วเหลืองจากเกษตรกรที่ไม่ทำลายป่า ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain บริษัทด้วยอีกทางหนึ่ง
สุดท้ายนี้ ทุกภาคส่วนจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังและเร่งด่วนในการลดการปล่อยคาร์บอน พัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และสร้างนโยบายที่สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในภาคธุรกิจ ภาครัฐ และชุมชน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม เนื่องจากการจะไปถึงเป้าหมายความยั่งยืนที่ตั้งไว้เป็นเรื่องที่ยากและท้าทายอย่างมาก และคงไม่ใช่แค่ภาคเอกชนอย่างบริษัทชั้นนำเท่านั้นที่จะสามารถนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายได้ ดังนั้น การร่วมมือกันจึงเป็นทางออกสำคัญที่จะทำให้ประเทศมุงสู่การทำ Net Zero ได้อย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
DGA รวมพลังขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล ดันดัชนี EGDI ไทย ปี 2567 ขึ้นสู่อันดับที่ 52 ของโลก
AI กับการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน
ผู้เชี่ยวชาญแนะ “ความมั่นคงทางการเงิน และการดูแลตัวเองให้ดี” สำคัญต่อการรับมือภาวะโลกร้อน