การเปลี่ยนผ่านของเวลา ทำให้มนุษย์เผชิญความเปลี่ยนแปลงที่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นยุคของการรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน จนกระทั่งสู่ภาวะโลกเดือด เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาทำให้มนุษย์ต้องปรับตัวอยู่เสมอ เพื่อหาทางรอดในอนาคตที่กำลังจะมาถึง ภายในงาน SUSTAINABLELITY EXPO 2024 กล่าวถึงเรื่องการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่โลกเปลี่ยนไปให้กับคนในสังคมรับรู้ ตระหนัก พร้อมรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ ที่ตามมา การที่โลกส่งสัญญาณเตือนมานั่นแสดงถึงเวลาที่มนุษย์ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้เสียที
“ECONOMIC SUSTAINABLELITY เปิดสูตรลับพลิกวิกฤติ สู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน” เวทีเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่คลุกคลีอยู่กับข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคมโดย วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้ประกาศข่าวและพิธีกร, พีรพล เหมศิริรัตน์ Co-Founder of Environman และอังคนางค์ จิตรกร บรรณาธิการบริหาร SPOTLIGHT ร่วมกับสร้างความตระหนักรู้เรื่องการเตรียมตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจุบัน เพื่อให้เกิดความมั่งคั่งในทุกมิติ ครอบคลุมตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็ก ๆ การร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนสังคม ธุรกิจ หรือประเทศให้มั่งคั่งอย่างยั่งยืน
– ทีดีอาร์ไอห่วง “โลกเดือด” ทำภัยพิบัติรุนแรง เสนอปรับไทยตั้งรับความเสี่ยง
เกิดอะไรขึ้นกับโลกของเรา ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง
โลกส่งสัญญาณเตือนมาในรูปแบบของภัยธรรมชาติ ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนืออย่างรุนแรง แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สมัยก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นโดยมีน้ำเป็นหลัก แต่ปัจจุบัน ความยากที่เกิดขึ้น คือน้ำที่มาพร้อมดินโคลนซึ่งในทางการป้องกันนั้นยากมาก น้ำไม่ใช่แค่แห้งหายไป แต่กลับมีซากดินโคลนที่ทิ้งอยู่ในบริเวณบ้านเรือนของประชาชน กลุ่มเปราะบางอย่างผู้สูงวัย ผู้พิการ ที่อยู่ติดพื้นที่โยกย้ายถิ่นฐานยากจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงกว่าทุกกลุ่มเนื่องจากไม่มีการเตรียมรับมือกับเหตุกาณ์เฉียบพลันเหล่านี้มาก่อน
วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า หน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คือการช่วยสนับสนุนประชาชนทั้งด้านทรัพยากรและความรู้ เพื่อให้เกิดความมั่นคงสูงสุด จากเหตุการณ์น้ำท่วมทำให้เห็นว่าการเตรียมตัวรับมือนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่การจะเปลี่ยนแปลงมนุษย์นั้น ทำได้ยาก
3 ปัจจัยที่จะทำให้คนเกิดการเปลี่ยนแปลงคือ 1. เรื่องเงิน การให้สินทรัพย์เพื่อตอบแทนการเปลี่ยนพฤติกรรม 2. กฎหมายข้อบังคับให้ต้องเปลี่ยน 3. เรื่องความตาย โดยพื้นฐานมนุษย์ดำรงชีวิตเพื่อการอยู่รอดความตายจึงเป็นเรื่องที่มนุษย์กลัว
ตัวอย่างเช่น การมาของสถานการณ์โควิด-19 ทุกภาคส่วนต่างพากันเปลี่ยนเพราะกลัวการสูญเสียกันทั้งสิ้น พร้อมทั้งความท้าทายที่สูงในการสร้างองค์ความรู้ให้กับกลุ่มเปราะบาง ความยากคือการจะทำให้กลุ่มเหล่านี้เข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อมนั้นยาก แต่ละวันของประชาชนกลุ่มนี้ต้องดิ้นรนเพื่อชีวิต โฟกัสการหาเงินเพื่อดำรงชีพ ไม่มีเวลามารักษาสิ่งแวดล้อม แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำที่ละเลยบางอย่างจะสร้างผลลัพธ์ที่รุนแรงในอนาคต อย่างเรื่องการใช้พลาสติก การตัดไม่ทำลายป่า ชาวบ้านตามชุมชนไม่ได้ตระหนักรู้ทำการตัดไม้ทำลายป่าอยู่เสมอ ทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน น้ำป่าไหลหลากอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
ถึงเวลาต้องเปลี่ยนในทุกด้าน มุมประชาชนต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงจากตนเองแบบไม่ตั้งเงื่อนไข คนไทยชอบตั้งเงื่อนไขว่าการเปลี่ยนนั้นยาก ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยนถึงจะยอมทำ ผลที่ตามมาคือไม่ได้เริ่มเสียที อย่างแรกต้องเริ่มจากการรู้และเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ปรากฏการณ์เรือนกระจก (climate change) ประเทศไทยเป็นประเทศอันดับที่ 19 ที่มีปริมาณปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์คือไม่ถึง 1% ของโลกแต่กลับเป็นลำดับที่ 9 ที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน จึงเป็นเรื่องที่ต้องร่วมกันเปลี่ยนแปลงหากอยากให้ประเทศได้รับผลกรทบน้อยต้องเริ่มจากคนในประเทศก่อน อาจจะเริ่มจากการทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการแยกขยะ การไม่ใช้พลาสติก
ในมุมของประเทศชาติ ก็ต้องเริ่มผลักดันเรื่องนโยบาย กฎหมาย พวก climate change act หรือ กฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำหนดข้อบังคับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเหมาะสม อีกสิ่งที่สามารถทำได้คือการเพิ่มพื้นที่ป้าไม้ของประเทศให้ได้ 35% เนื่องจากประเทศไทยสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 120 ล้านตัน/ปี และมีพื้นที่ป่าไม้อยู่ 31% ของประเทศ (ประมาณ 323 ล้านไร่ที่พร้อมดูดคาร์บอนไดออกไซด์ได้) การเพิ่มพื้นที่ป่าจะช่วยให้ประเทศมีแนวทางการรับมือกับปัญหาโลกร้อนได้เพิ่มขึ้น และในมุมธุรกิจต้องเริ่มดำเนินการเรื่องความยั่งยืนอย่างจริงจัง เพราะไม่ใช่แค่เทรนด์แต่เป็นข้อบังคับ Sustainable จะไม่ใช่ภาระที่ธุรกิจต้องแบกรับแต่เป็นโอกาสให้ธุรกิจที่ผสานความยั่งยืนลงในแผนธุรกิจได้ก่อน กลายเป็นผู้นำใน Supply Chain ของโลกได้
ความยั่งยืนในฉบับเฮียวิทย์ “ชีวิต Sustianable คือชีวิตที่ว่ายทวนน้ำ”
หลังจากได้รู้การเปลี่ยนแปลงในภาพรวมทั้งคน ประเทศ และธุรกิจ มาลงลึกในมุมของวิถีชีวิตกันบ้าง ซึ่งล้วนนำไปปรับใช้กับคนหรือแม้กระทั่งธุรกิจได้ เป็นแนวคิดพื้นฐานที่ทุกคนทำได้เพียงเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวันเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่
ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้ประกาศข่าวและพิธีกร แนะนำให้เริ่ม คิดและลงมือทำตัวตัวเรา เพราะเรื่องภาวะโลกร้อนถูกพูดถึงมานานแต่ที่ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงคือเราไม่ลงมือทำ ทุกคนมีอำนาจที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น คนมีวินัยมากๆ จนทำให้ประเทศพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างดี คนให้ความสำคัญกับการคัดแยกประเภทขยะ ใส่เสื้อผ้าที่ทนทานไม่เปลี่ยนบ่อยเป็น Fast Fashion หรือการทานอาหารแต่ละมื้อให้หมด ลดปัญหา Food Waste เทคนิคที่น่าสนใจคือคนญี่ปุ่นถูกสอนให้คำนวณปริมาณอาหารที่จะทานในแต่ละมื้อเพื่อให้ไม่เกิดอาหารเหลือ คนที่ไม่มีความมักง่ายในการใช้ชีวิตจะผลักดันสังคม ประเทศไปในทางที่ดีขึ้นอยู่เสมอ
3 สิ่งที่เริ่มได้ด้วยมือของเรา คือ 1. อย่าช่างซื้อ หมายถึงการไม่ซื้อของที่เกินความจำเป็น 2. การลด Food Waste ด้วยการคำนวณอาหารที่จะทาน ไม่กินฟุ่มเฟือย และ 3. คือการมั่งคั่งทางด้านการเงิน พยายามไม่ไปรบกวนเงินของรัฐบาลที่ใช้ในการดูแลประเทศรวมถึงการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะการลงทุนกับสุขภาพเป็นการสร้างความยั่งยืนในอีกรูปแบบหนึ่ง จะสังเกตได้ว่าทุกอย่างที่เริ่มทำได้ไม่ได้มีการใช้ทรัพยากรใดใดเพิ่มเลย มีแต่ประหยัดและลดลงแต่ยากที่จะเริ่มเพราะความไม่เคยชินเท่านั้นเอง ถ้าหากมีการปลูกฝังหรือเริ่มทำที่ละนิดให้เป็นนิสัย เริ่มทำเลยตอนนี้ไม่ต้องรออะไรมากระตุ้น และสร้างแพชชั่นการทำตัวให้มัธยัสถ์ เชื่อว่ากว่า 60 ล้านคนในประเทศไทยจะสร้างความยั่งยืนได้อย่างแน่นอน
Data เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมบอกว่าประเทศต้องการ “ตัวชี้วัด”
Environman เป็นแหล่งรวมข่าวสารความรู้เรื่องต่างๆ ในสังคมโดยเฉพาะเรื่องกับสิ่งแวดล้อม ปัญหาภาวะโลกร้อนเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยข้อมูลที่ปรากฏขึ้นล้วนเชื่อมโยงกันตั้งแต่ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ สิ่งแวดล้อม
พีรพล เหมศิริรัตน์ Co-Founder of Environman กล่าวว่า สิ่งที่ประเทศต้องการคือ “ตัวชี้วัด” ที่ไม่ใช่เพียง GDP ของประเทศเพราะความเจริญก้าวหน้าของประเทศมาจากหลายมิติ ต้องใช้ตัวชี้วัดให้หลากหลายเพื่อวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดความเจริญหรือวิเคราะห์หาปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อหาทางรับมือกับปัญหานั้น ๆ ในเรื่องความยั่งยืนก็เช่นกัน ความท้าทายหลัก คือความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมของคนในประเทศ ทักษะความเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และการปฏิบัติตนนำความรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำยังน้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่เจริญแล้ว
– “สึนามิน้ำจืด” เสียงเตือนจากธรรมชาติ ว.วชิรเมธี แนะป้องกันด้วยการบวชป่า ปลูกป่า
พีรพลตั้ง Environman ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยน “ความไม่รู้ไม่รู้” (การไม่รู้ว่าไม่รู้เรื่องอะไร) ของคน ปัจจุบันคนไทยเสพสื่อกันโดยเฉลี่ยวันละ 3-4 ชั่วโมงซึ่งเยอะมาก นั่นคือการโฉบฉวยโอกาสที่จะส่งมอบคอนเทนต์เรื่องสิ่งแวดล้อมให้กับผู้คนในสังคมผ่าน Short Form Content ที่ย่อยง่าย เล่าเรื่องผ่านการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ได้รับประสบการณ์จริง โดยตั้งใจเปลี่ยนความตระหนักรู้เป็นความเข้าใจก่อนจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเรื่องพฤติกรรมในที่สุด Environman จึงกลายเป็นตัวแทนของผู้ที่อยากปกป้องสังคม สิ่งแวดล้อมด้วยการเป็นผู้เผยแพร่ข่าวสารด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มความตื่นตัวให้มากขึ้น
โลกมีพื้นที่ให้เราทุกคนได้เข้าไปช่วยกันรักษาอยู่ที่แนวคิดของเราที่อยากจะเริ่มทำอะไรบางอย่างให้กับโลกแล้วหรือยัง ถ้าเริ่มคิดแล้วให้ลงมือทำ และหากจะขับเคลื่อนประเทศได้อย่างรวดเร็วจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกๆ ภาคส่วนทั้งประชาชน ภาครัฐและเอกชน
สรุปแล้วการจะสร้างความยั่งยืนไปพร้อมกับการเพิ่มโอกาส รักษาโลก แบบมั่นคงต้องเริ่มจากตัวเราก่อน เปลี่ยนพฤติกรรมทีละเล็กน้อย ปรับ Mindset ให้มีแพชชันการทำตัวให้มัธยัสถ์ ไม่บริโภคของเกิดจำเป็น ใช้พัฒนาการของ Technology และ Innovation ให้เป็นประโยชน์ในการสร้างความเปลี่ยนแปลง อย่ารอรับมือกับปัญหาแบบเดิมซ้ำ ๆ แต่ให้คิดหาทางออกแบบที่จะไม่ให้เกิดปัญหานั้นซ้ำ แนวคิดจาก Reactive สู่ Proactive เริ่มสร้างตัวตนให้เป็น Better Me Better Cutlery เพื่อสร้าง Better World
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
โลกจะรับมือความเสี่ยงใน 6 ปีข้างหน้านี้อย่างไร เปิดมุมมอง 4 ผู้นำกับวิสัยทัศน์ช่วยสร้างโลกให้ยั่งยืน
ทรู ดึง “เทนนิส – พาณิภัค” นั่งพรีเซนเตอร์คนล่าสุด เปิดตัว 3 แพ็กเกจใหม่ เอาใจแฟนกีฬาชาวไทย