Share on
×

Share

การเมืองไทยเดินหน้ายึดอิสระแบงก์ชาติ

ประเด็นดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และแบงก์ชาติกับการเมือง วนกลับมาเป็นข่าวเป็นช่วง ๆ ตามสถานการณ์ใหม่ที่เปลี่ยนเข้ามา ล่าสุด พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง ให้ข่าวกับสื่อว่า จะนัดผู้ว่าแบงก์ชาติ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ หารือกันอีกครั้งซึ่งอาจจะเป็น ก่อน หรือ หลัง การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งที่ 5 (16 ต.ค. 67) โดยรูปแบบเข้าใจว่า เป็นจับเข่าคุยกันเช่นครั้งที่แล้วโดยหัวข้อสนทนาหลักคือ กรอบเงินเฟ้อปีหน้า

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา รองนายกฯ นัดหารือกับผู้ว่าแบงก์ชาติ และใช้เวลาพูดคุยราว 2 ชั่วโมง ตามรายงานข่าวระบุว่า บรรยากาศดีโดย ประเด็นหารือพุ่งเป้าไปที่ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อแบงก์พาณิชย์ของครัวเรือน และ SME ซึ่งเป็นกลุ่มที่ รองนายกฯ ระบุว่ายังไม่สร่างไข้โควิด-19 

ตามข่าว รองนายกฯ ได้อ้างถึงความแข็งแรงของสถาบันการเงินไทยสะท้อนผ่านอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ฺBIS) และอยากให้ (แบงก์ที่แข็งแรง) ให้โอกาสกลุ่มที่กำลังโฟกัส (SME) เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้นได้หรือไม่? 

พร้อมกับย้ำด้วยว่า “กลุ่มที่กำลังโฟกัส” นั้นมีสัดส่วนในพอร์ตสินเชื่อรวมของแบงก์ “ไม่ได้ใหญ่” โดยการร้องขอครั้งนี้ รองนายกฯใช้คำว่า “ยืดหยุ่น” ไม่ใช่ “ผ่อนปรนกฎเกณฑ์” ที่แบงก์ชาติใช้กำกับความเสี่ยงบรรดาแบงก์อยู่เวลานี้ ซึ่งทางผู้ว่าแบงก์ชาติต้องไปทำการบ้านว่าระหว่าง “ ยืดหยุ่น “กับ “ผ่อนปรนกฎเกณฑ์” นั้นต่างกันตรงไหน 

ส่วนนัดหมายจับเข่าคุยครั้งต่อไป ประเด็นที่พิชัย รองนายกฯ จะยกขึ้นมาหารือ นอกจากกรอบเงินเฟ้อตามที่กล่าวข้างต้น คงมีการทวงถามว่าแบงก์ชาติ สามารถยืดหยุ่นข้อบังคับต่างๆเพื่อเปิดโอกาสให้ SME เข้าถึงเงินกู้ได้เมื่อไหร่? ส่วนลดดอกเบี้ย คงฝากสารไว้ในถ้อยคำระหว่างสนทนามากกว่าจะถามกันตรง ๆ

ประเด็น กรอบเงินเฟ้อปีหน้านั้น พิชัย รองนายกฯ มองว่า ..อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดไว้ และมีโอกาสที่จะต่ำกว่ากรอบล่างหรือต่ำกว่า 1% (กรอบเงินเฟ้อปัจจุบัน 1-3%) “.. ขณะนี้เงินเฟ้อของเราอยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดไว้ ก็ต้องมาคุยกันว่าจะมีโอกาสเร่งเครื่องเศรษฐกิจไหมและเชื่อว่าสถานการณ์ตอนนี้ใคร ๆ ก็เข้าใจตรงกันว่าจะต้องทำอย่างไร” พิชัย กล่าว โดยรองนายกฯบอกด้วยว่า อยากเห็นกรอบเงินเฟ้อปีหน้าขยับสูงขึ้นอีกหน่อย โดยก่อนหน้ามีรายงานข่าวกระทรวงการคลังจะเสนอกรอบเงินเฟ้อปี 2568 ที่ 1.5-3.5% ซึ่งสื่อนัยว่า ถึงนโยบายการเงินว่าควรผ่อนปรนมากขึ้น 

การนัดพบกันระหว่างพิชัย รองนายกฯที่ดูแลเศรษฐกิจของรัฐบาล กับเศรษฐพุฒิ ผู้ว่าแบงก์ชาติ รอบนี้พิเศษกว่าครั้งก่อนตรงที่ว่า จะมีขึ้นท่ามกลางกระแสคัดค้านคนจากฝ่ายเมืองมาเป็น ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ แทน ปรเมธีวิมลศิริ ที่เพิ่งหมดวาระไปเมื่อกลางเดือนกันยายน ที่ผ่านมา 

การประชุมคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการแบงก์ชาติครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมยังไม่มีข้อสรุปโดยอ้างเหตุผลเรื่องความรอบครอบ แต่ชื่อ กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯและรมว.คลัง (รัฐบาลยิ่งลักษณ์) ถูกยกให้เป็นเต็ง 1

มีกระแสต้าน กิตติรัตน์ จากหลายฝ่ายเพราะมองว่า อดีตรองนายกฯ คนนี้ ใกล้ชิดรัฐบาลเพื่อไทย และไม่เชื่อในเรื่องอิสระแบงก์ชาติ สะท้อนจากการคัดค้านการ คงดอกเบี้ยนโยบาย ของกนง.มาโดยตลอด และเคยแสดงความเห็นออกสื่อในประเด็นปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ ทั้งช่วงดำรงตำแหน่ง รองนายกฯรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และ ประธานที่ปรึกษา อดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน  

คณะศิษยานุศิษย์ที่น้อมนำธรรมองค์หลวงตามพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ออกหนังสือ คัดค้านบุคคลซึ่งเกี่ยวโยงการเมืองเข้ามาแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งถึง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา ข้อความตอนหนึ่งชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของที่มาคณะกรรมการสรรหาว่า

“…รมว.คลังในรัฐบาลของท่าน ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาประธานและกรรมการธปท. ชุดใหม่โดยไม่ได้ตั้งอดีตผู้ว่าธปท. คนใดคนหนึ่งเป็นกรรมการสรรหา ด้วยพฤติการณ์ดังนี้แตกต่างจากประเพณีปฏิบัติในหลายครั้งที่ผ่านมา …”

ธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ หนึ่งในผู้ออกมาค้านคนการเมืองคุมแบงก์ชาติ โดยโพสต์ข้อความแสดงความเห็นไว้ตอนหนึ่งว่า บุคคลคนใกล้ชิดการเมืองมาเป็นประธานคณะกรรมการแบงก์ชาติ เพราะเกรงว่าจะนำแบงก์ชาติไปสนองนโยบายรัฐบาล“ ..ซึ่งหากภาพนี้เกิดขึ้นหายนะเศรษฐกิจไทยจะตามมาอย่างแน่นอน “

อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติหญิงขยายความว่า “..ในต่างประเทศ ที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงธนาคารกลาง การกระทำดังกล่าวทำให้ความเชื่อมั่นของต่างประเทศต่อระบบเศรษฐกิจสั่นคลอนเพราะธนาคารกลางที่ถูกแทรกแซง จะไม่สามารถมีบทบาทในการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว เศรษฐกิจจึงเสี่ยงที่จะเสียหายจากนโยบายที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเพียงอย่างเดียว ”  

แม้มีกระแสค้านหนักแน่น และอิสระแบงก์ชาติจากการเมือง เป็นหลักการที่สากลยอมรับ แต่โอกาสที่จะเปลี่ยนทิศทางสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งผูกโยงไปถึงการสรรหาผู้ว่าแบงก์ชาติที่จะมีขึ้นในอนาคต มีไม่มากนัก เพราะตัวนายกฯเองยังเชื่อว่า กฎหมายที่ให้แบงก์ชาติเป็นอิสระจากรัฐบาล เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

บทความอื่น ๆ ที่ของผู้เขียน

ความท้าทายที่ ‘พิชัย ชุณหวชิร’ ขุนคลังคนใหม่ต้องเผชิญ

เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย

งบฯ 2568 ก่อพายุหมุน หรือเติมความเสี่ยงให้เศรษฐกิจ  

                                      

×

Share