Share on
×

Share

ลักษณะของสตาร์ตอัพที่นักลงทุนมองหา ก่อนขอรับเงินทุนเพื่อขยายการเติบโต

ปัจจุบันมีความร่วมมือมากมายที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจสตาร์ตอัพ แต่ปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือแหล่งเงินทุน ในประเทศไทยมีการเดินหน้าสนับสนุนธุรกิจประเภทสตาร์ตอัพโดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI เนื่องจากความก้าวหน้าด้านนวัตกรรม AI ต้องใช้ทรัพยากรทั้งด้านการเงินและการวิจัยที่สูง การมีเงินทุนสนับสนุนจะช่วยให้สตาร์ตอัพสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าเข้าสู่การแข่งขันในระดับสากล

บนเวทีอภิปรายหัวข้อ “ปลดล็อกการเข้าถึงเงินทุนเเละความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อความก้าวหน้าด้าน AI” ภายในงาน AI Thailand Forum 2024 Sustainable Growth with AI มีการพูดถึงความสามารถด้านการเติบโตของธุรกิจสตาร์ตอัพจากการระดมทุนจากนักลงทุนประเภทต่าง ๆ เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดยนฤศันส์ ธันวารชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนแหล่งเงินทุนจากภาคเอกชน, ดร.สุทธิรักษ์ ดวงบุรงค์ นักพัฒนานวัตกรรมอาวุโส ฝ่ายนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ตัวแทนแหล่งเงินทุนจากภาครัฐบาล และกัมปนาท วิมลโนท กรรมการผู้จัดการ บริษัท กสิกร เอกซ์ เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด ตัวแทนแหล่งเงินทุนจากระดับโกลบอล ในการแนะนำแนวทางการระดมทุนให้กับสตาร์ตอัพในยุคปัจจุบัน รวมถึงการเตรียมพร้อมธุรกิจให้มีมาตรฐานเพิ่มความน่าสนใจเพื่อดูงดูดนักลงทุน

ทำความรู้จัก 3 แหล่งเงินทุนสำหรับสตาร์ตอัพ

เงินทุนมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับกลุ่มธุรกิจประเภทสตาร์ตอัพ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนเหล่านี้ช่วยให้สตาร์ตอัพมีทรัพยากรในการขยายธุรกิจและนวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการเติบโตและสร้างผลตอบแทนให้ทั้งนักลงทุนและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยแหล่งเงินทุนที่สามารถเข้าถึงได้อาจมาจากเงินทุนจากผู้ร่วมลงทุน (Angel Investors) จากบุคคลหรือบริษัทร่วมทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพสูง (Venture Capital : VC) ทุนจากบริษัทขนาดใหญ่ (Corporate Venture Capital : CVC) และเงินทุนจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น NIA หรือ BOI ที่สนับสนุนสตาร์ตอัพเพื่อการพัฒนาประเทศ ตัวอย่างแหล่งเงินทุนที่จะมาบอกแนวทางการสร้างธุรกิจให้เป็นที่ดึงดูดนักลงทุนวันนี้ ได้แก่

  1. 1. สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) : ตัวแทนผู้ลงทุนจากภาครัฐ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนสตาร์ตอัพผ่านการให้เงินทุน NIA สนับสนุนเงินทุนให้สตาร์ตอัพในหลายรูปแบบ เช่น เงินทุนสนับสนุนสำหรับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ โดยเป็นการลงทุนประเภท Grant ให้เงินเปล่าสนับสนุนแก่ธุรกิจ สตาร์ตอัพ หรือโครงการพัฒนาต่าง ๆ โดยไม่ต้องคืนเงินทุน โดยปกติเงินทุนประเภทนี้จะมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม การวิจัย หรือโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ปัจจุบันมีการลงทุนได้กว่า 150 ล้านบาท
  2. บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด : ตัวแทนผู้ลงทุนจากภาคเอกชน หรือที่เรารู้จักในในชื่อ VC (Venture Capital) อินโนสเปซเป็นหนึ่งในองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนสตาร์ตอัพและนวัตกรรมในประเทศไทย เน้นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจใหม่และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ๆ โดยอินโนสเปซเน้นลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับ Deep Tech เป็นหลัก วิธีการคือจะรวมรวมเงินทุนจากที่ต่าง ๆ มาลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเติบโตสูง โดยเพราะอย่างยิ่งธุรกิจในอุตสาหกรรม AI (Artificial Intelligence), Machine Learning, IoT (Internet of Things), Food for the Future และ Health and Wellness ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในช่วง Early Stage หมายถึงธุรกิจที่อยู่ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนา ซึ่งมักจะประกอบด้วยการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) หรือการสร้างผลิตภัณฑ์ขั้นต่ำที่สามารถทำงานได้จริง (Minimum Viable Product – MVP) เพื่อทดลองตลาดและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้ในกลุ่มแรก ๆ ปัจจุบันมีการลงทุนไปกว่า 20 ล้านบาท
  3. บริษัท กสิกร เอกซ์ เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Kasikorn X Venture Capital – KXVC) : ตัวแทนผู้ลงทุนประเภทบริษัทขนาดใหญ่ หรือที่เรารู้จักในในชื่อ CVC (Corporate Venture Capital) เป็นบริษัทร่วมลงทุนในเครือธนาคารกสิกรไทย มีบทบาทในการลงทุนในสตาร์ตอัพและธุรกิจนวัตกรรมที่มีศักยภาพสูง เน้นลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับ AI (Artificial Intelligence), Machine Learning, Blockchian และเทคโนโลยีทั่วโลก โดย KXVC สามารถสนับสนุนการลงทุนรวมไปถึง Asset ที่มีอย่าง เช่น พานักพัฒนาในเครือ KBTG เข้าไปให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือธุรกิจที่ร่วมลงทุน

ความแตกต่างของ VC (Venture Capital) และ CVC (Corporate Venture Capital) คือ VC เน้นผลกำไรเป็นหลัก ในขณะที่ CVC เน้นสร้างโอกาสความร่วมมือทางธุรกิจที่ช่วยเสริมศักยภาพและนวัตกรรมให้กับองค์กรผู้ลงทุน ส่วนภาครัฐเข้ามามีส่วนช่วยทั้งธุรกิจสตาร์ตอัพและผู้ร่วมลงทุน ในด้านธุรกิจสตาร์ตอัพให้การสนับสนุนตั้งแต่ Idea Stage เริ่ม Business Model ที่ชัดเจนโดยจะมอบเงินลงทุนเปล่าให้กับธุรกิจ ส่วนด้านผู้ร่วมลงทุนภาครัฐเข้ามาช่วยเรื่อง Matching Fund เพิ่มแรงจูงใจให้ธุรกิจร่วมลงทุนและแสดงถึงความมุ่งมั่นของผู้ประกอบการโดยการลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพที่มีโอกาสเติบโตในอัตรา 1:1 ร่วมกับผู้ลงทุนอื่นๆ แถมยังเป็นการลดความเสี่ยงให้กับผู้ร่วมทุนหากธุรกิจสตาร์ตอัพนั้นไปไม่รอดอีกด้วย

อนาคตของธุรกิจประเภทเทคโนโลยี AI

ในอีก 5-7 ปีข้างหน้า แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะเติบโตขึ้นมาก เพราะ AI จะกลายเป็นตัวช่วยที่จะเข้ามาแก้ปัญหาในกับภาคธุรกิจ การประยุกต์ใช้ AI ของภาคธุรกิจจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลกับการเติบโตของธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ตามไปด้วย

นฤศันส์ ธันวารชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในอนาคต AI จะเป็นพื้นฐานที่ทำให้เครื่องมือหรือ Application อื่น ๆ ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น AI จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับเครื่องมือหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยช่วยให้ทำงานได้อย่างชาญฉลาดและตอบสนองความต้องการผู้ใช้มากขึ้น สอดคล้องกับกัมปนาท วิมลโนท กรรมการผู้จัดการ บริษัท กสิกร เอกซ์ เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด ที่มองเหมือนกันว่า AI ณ ปัจจุบันยังเป็นยุคเริ่มต้นเพราะอะไรที่ต่างชาติมี มันจะเข้ามาในประเทศไทยเช่นกัน

“AI จะไม่เข้ามาแทนทั้งหมดแต่จะเข้ามาช่วยลด Gap การทำงานที่ไม่จำเป็นให้กับมนุษย์” ยิ่งในจังหวะที่ผู้คนเริ่มให้ความสนใจ ตลาดเริ่มเปิดกว้าง จึงทำให้เกิดการเติบโตของ AI ส่งผลต่อดการพัฒนาและขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เพื่อรองรับความต้องการด้านการประมวลผลข้อมูลที่มากขึ้น ต่อไปก็จะเข้าสู่การขยายวงกว้างของการนำ AI มาสร้าง Application ต่างๆ เพื่อตอบสนองการใช้งานของผู้บริโภค และในที่สุดจะเป็นการเติบโตทั้ง Ecosystem เป็นวัฏจักรการเกิด Technology Disruption ทำให้ในอีก 5-7 ปีข้างหน้า จะเกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มากขึ้นเพราะผู้คนสามารถผลิต AI ในต้นทุนที่ถูกลงนั่นเอง

ด้าน ดร.สุทธิรักษ์ ดวงบุรงค์ นักพัฒนานวัตกรรมอาวุโส ฝ่ายนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) มองว่า อนาคตของธุรกิจ AI มาแน่นอนเนื่องจากผู้คนปัจจุบันให้ Engage กับเครื่องมือ AI ค่อนข้างมาก ส่งผลให้ตลาดเปิดกว้างให้กับผู้เล่นหน้าใหม่ ๆ อนาคตจึงมองว่าเป็นโอกาสให้ธุรกิจที่สามารถประยุกต์ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเพิ่มศักยภาพในการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ แต่สิ่งที่จะทำให้ธุรกิจอยู่อย่างยั่งยืนนั่นคือการส่งมอบสินค้าและบริการที่สร้าง Impact ให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริง NIA จึงเร่งผลักดันกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีกันอย่างจริงจัง

ลักษณะของสตาร์ตอัพที่นักลงทุนมองหา

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เปิดโอกาสให้ทุกธุรกิจที่มีความตั้งใจ มี Idea ธุรกิจ มี Business Model ที่ชัดเจนให้เข้ามาเสนอขอทุนจาก NIA ได้เลย แต่เงื่อนไขการให้ทุนของ NIA จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ Tech Fund จะให้ทุนแก่นักศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก หรือผู้ที่สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่า 5 ปี อาจเป็นไอเดียโปรเจ็กต์จบที่ต้องการต่อยอดต่อไม่จำเป็นต้องมีบันทึกรายได้หรือสินค้าหรือบริการจริงก็สามารถยื่นเสนอแผนธุรกิจเพื่อดำเนินการเปิดธุรกิจได้ โดยก้อนแรกให้ไม่เกิน 1 แสนบาท ต่อมาในส่วนของ NIA เองมีความคล้ายคลึงกันคือการเปิดโอกาสให้ธุรกิจที่มีแนวคิด มีแพชชันการดำเนินธุรกิจอย่างแน่วแน่ มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน มีโอกาสเติบโตให้เข้ามาขอทุนได้เลย และหากมีแนวโน้มการเติบโต ทาง NIA จะมีกลยุทธ์ในการจัดซื้อสินค้าและบริการนั้นมาปรับใช้กับภาครัฐเพื่อเพิ่มรายได้ ดึงดูดกลุ่มผู้ลงทุนประเภท VC และ CVC ให้สนใจลงทุนกับธุรกิจสตาร์ตอัพนี้มากขึ้น เน้นไปที่การสร้างความน่าเชื่อถือ ไว้ใจให้กับนักลงทุนคนอื่น ๆ

อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด มองหากลุ่มธุรกิจสตาร์ตอัพในระดับ Early Stage เช่น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยที่มีไอเดียพร้อมผลิตสินค้าและบริการเข้าสู่ตลาด มีการสร้างผลิตภัณฑ์ขั้นต่ำที่สามารถทำงานได้จริง (Minimum Viable Product – MVP) หรือมีการปกป้องและจัดเก็บทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) ของบริษัท มีกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจที่ชัดเจน มองหาธุรกิจที่เกี่ยวกับด้านการประยุกต์ให้ AI ที่ตอบโจทย์สำหรับ Users ในอุตสาหกรรม Food หรือ Health เป็นหลัก สำหรับผู้ที่สนใจอยากเสนอขอทุน ต้องมี Solution ที่ชัดเจนเพื่อให้พร้อมรายได้สุทธิระยะเวลา ครึ่งปีถึง 1 ปี ให้อินโนสเปซ มีแผนธุรกิจไปเสนอกับผู้ร่วมลงทุนภายในบริษัทต่อไป หากธุรกิจที่มีคุณสมบัติครบทุกประการดังนี้สามารถเข้าไปเสนอธุรกิจเพื่อขอทุนกับ อินโนสเปซได้เลย โดยจัดให้ทุนประมาณ 1 แสนเหรียญ พร้อมให้คำปรึกษาเพื่อเติบโตไปพร้อม ๆ กัน

บริษัท กสิกร เอกซ์ เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Kasikorn X Venture Capital – KXVC) มองหาธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องและมีความสามารถในการดึงลูกค้าให้ใช้บริการสินค้าของธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือไม่ได้ดูเฉพาะการหารายได้แต่ต้องรักษาผู้บริโภคให้อยู่กับธุรกิจต่อได้อย่างมั่นคง โดยอุตสาหกรรมที่สนใจจะอยู่ในกลุ่มของเทคโนโลยีที่สนับสนุนทีมงาน AI พัฒนาโมเดลได้เร็วและสะดวกมากขึ้น  รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่พัฒนาประยุกต์ใช้ AI กับธุรกิจต่าง ๆ ได้ และมี 5 อุตสาหกรรมที่สนใจเป็นพิเศษคือ FinTEch, Infrastructure, Server security, Health Care, Logitic และ Industrial กล่าวโดยภาพรวมคือ กสิกร เอกซ์ เวนเจอร์ แคปิทัล จะเชื่อมั่นในธุรกิจที่มีลูกค้าอย่างเหนียวแน่นนั่นเอง โดยจัดให้ทุนประมาณ 5 แสนเหรียญ

สุดท้ายนี้สำหรับสตาร์ตอัพในไทยที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีและต้องการเงินทุน ควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งในด้านเทคโนโลยี โมเดลธุรกิจ และทีมงาน คิดถึงสินค้าและบริการในระดับสากล (Global Scale) เพื่อตั้งรับโอกาสที่เข้ามาและไม่ต้องลดขนาดธุรกิจในภายหลัง นอกจากนี้ ควรติดตามเทรนด์โลกและศึกษาข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในตลาด

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สังคมได้บทเรียนจาก “แชร์ลูกโซ่ดิไอคอน” อย่างไร   

เปิดมุมมองภาครัฐ – ภาคธุรกิจ ในการเตรียมตัวรับมือกับโลกที่เต็มไปด้วย AI

เทรนด์ Influencer Marketing ปี 2025 กับการสร้าง Performance แบบจับต้องได้

×

Share

ผู้เขียน