Google เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 ระบุ Search, Cloud และ YouTube ยังเป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้ เดินหน้าพัฒนานวัตกรรม AI อย่างต่อเนื่อง
ซุนดาร์ พิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Google กล่าวว่า “ไตรมาส 3 เป็นอีกหนึ่งไตรมาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับ Google แรงผลักดันทั่วทั้งบริษัทแข็งแกร่งอย่างมาก ความมุ่งมั่นของเราต่อนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนใน AI ระยะยาว กำลังผลิดอกออกผลและนำมาซึ่งความสำเร็จให้กับทั้งบริษัทและลูกค้า”
Google เชื่อว่า บริษัทมีศักยภาพในการเป็นผู้นำในยุคของ AI ด้วยกลยุทธ์แบบ Full Stack ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน AI ที่แข็งแกร่ง: ครอบคลุมศูนย์ข้อมูล ชิปประมวลผล และเครือข่ายไฟเบอร์ทั่วโลก ทีมวิจัยระดับโลก: ผู้เชี่ยวชาญที่ทุ่มเทให้กับการวิจัย AI เชิงลึก และพัฒนาโมเดล AI ที่ล้ำสมัย และการเข้าถึงระดับโลก: ผ่านผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อกับผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก
กลยุทธ์ Full Stack ของ Google ได้สร้างวงจรแห่งความสำเร็จ โดย Google จะลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI และนำมาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับผู้ใช้งานทั่วโลก
กลยุทธ์ Full Stack สู่ความเป็นผู้นำด้าน AI ของ Google
Google ยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ครอบคลุมตั้งแต่สหรัฐอเมริกา ไทย ไปจนถึงอุรุกวัย รวมถึงการลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น ข้อตกลงในการซื้อพลังงานนิวเคลียร์จากเครื่องปฏิกรณ์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก ซึ่งจะช่วยผลิตพลังงานสะอาดได้ถึง 500 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ Google ยังมุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล พัฒนาฮาร์ดแวร์ และโมเดล AI ตัวอย่างเช่น การทดสอบ AI Overviews ช่วยลดต้นทุนการประมวลผลแบบสอบถามลงได้กว่า 90% ในขณะเดียวกันก็เพิ่มขนาดของโมเดล Gemini
Google ยังคงพัฒนา TPU ซึ่งเป็นชิปประมวลผล AI รุ่นล่าสุดคือ Trillium (รุ่นที่ 6) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ AI ควบคู่ไปกับการใช้ GPU ของ NVIDIA
ด้านการวิจัย ทีม Google DeepMind ยังคงเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าของ AI โดยล่าสุด Demis Hassabis และ John Jumper ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีจากผลงาน AlphaFold ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพของทีมวิจัย Google
ทีมวิจัยยังคงพัฒนาโมเดล Gemini ให้มีความสามารถยิ่งขึ้น เช่น การเข้าใจบริบทที่ซับซ้อน การประมวลผลแบบหลายรูปแบบ (multimodal) และความสามารถในการทำงานแบบอัตโนมัติ (agentive capabilities) ปัจจุบัน โมเดล Gemini ถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย และมีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Google กำลังพัฒนา Project Astra ซึ่งเป็นเทคโนโลยี AI ที่สามารถรับรู้และเข้าใจโลกรอบตัว คาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2025
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มหลักของ Google เช่น Search, Google Maps ล้วนใช้โมเดล Gemini และ Google ยังเปิด API ให้กับนักพัฒนาภายนอก เช่น GitHub Copilot เพื่อขยายการใช้งาน Gemini ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
เพื่อให้การพัฒนา AI เป็นไปอย่างรวดเร็ว Google ปรับโครงสร้างองค์กร โดยย้ายทีมแอป Gemini ไปรวมกับ Google DeepMind รวมถึงปรับปรุงกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิศวกรได้อย่างมาก
Google มุ่งพัฒนา AI เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ทั่วโลก
Google ยกระดับประสบการณ์การค้นหาด้วย AI
Google ได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ บน Search เช่น AI Overviews, Circle to Search และ Lens เพื่อยกระดับประสบการณ์การค้นหาของผู้ใช้ โดยมุ่งเน้นให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และตรงกับความต้องการมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีจำนวนการค้นหาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
– Google ทุ่ม 3.6 หมื่นล้าน ลุยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ขยายโอกาสด้าน AI ให้คนไทย
AI Overviews ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ใช้ AI สรุปคำตอบจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้เปิดให้บริการแล้วในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยมีผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน AI Overviews ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบที่ครบถ้วน สำหรับคำถามที่ซับซ้อน และกระตุ้นให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น นอกจากนี้ Google ยังได้ผสานรวมโฆษณาเข้ากับ AI Overviews เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ค้นพบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้นหา
Circle to Search เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลบนหน้าจอโทรศัพท์ โดยการวาดวงกลมรอบสิ่งที่ต้องการค้นหา เช่น สินค้า รูปภาพ หรือข้อความ ซึ่งฟีเจอร์นี้ได้รับความนิยมอย่างมากบนอุปกรณ์ Android กว่า 150 ล้านเครื่อง
Google Lens เป็นฟีเจอร์การค้นหาด้วยภาพ ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งของ สถานที่ หรือข้อความ โดยการถ่ายภาพหรืออัปโหลดรูปภาพ ปัจจุบัน มีการใช้งาน Google Lens มากกว่า 20 พันล้านครั้งต่อเดือน
Google ยืนยันว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพัฒนา AI เพื่อการค้นหา และจะมีนวัตกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
AI ดัน Google Cloud โต 35%
Google Cloud มีรายได้ในไตรมาส 3 สูงถึง 11.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 35% จากปีที่แล้ว โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงาน 17% การเติบโตนี้เป็นผลมาจากความต้องการใช้งาน AI ที่เพิ่มสูงขึ้น
Google Cloud มีจุดเด่นในด้านเทคโนโลยี AI ที่ช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ และเพิ่มการใช้งานผลิตภัณฑ์ในกลุ่มลูกค้าเดิม โดยลูกค้าใช้ประโยชน์จาก Google Cloud ใน 5 ด้านหลัก ได้แก่
- โครงสร้างพื้นฐาน AI: Google Cloud มีโครงสร้างพื้นฐาน AI ประสิทธิภาพสูง ทั้งในด้านพื้นที่เก็บข้อมูล การประมวลผล และซอฟต์แวร์ รวมถึง TPU และ GPU ที่หลากหลาย ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น LG AI Research ใช้ TPU และ GPU ร่วมกัน ลดเวลาในการประมวลผลลงกว่า 50% และลดต้นทุนลง 72%
- แพลตฟอร์ม AI ระดับองค์กร (Vertex): Vertex ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างและปรับแต่งโมเดล AI ได้ตามต้องการ โดยใช้โมเดลพื้นฐานจาก Google หรือจากผู้ให้บริการรายอื่น การใช้งาน Gemini API บน Vertex เติบโตขึ้นถึง 14 เท่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น Snap ใช้ Gemini พัฒนาแชทบอท “My AI” ซึ่งช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ในสหรัฐอเมริกา มากกว่า 2.5 เท่า
- แพลตฟอร์มข้อมูล (BigQuery): BigQuery ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลแบบหลายรูปแบบ และทำงานร่วมกับ Gemini ได้อย่างราบรื่น ด้วยการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เช่น Hiscox ใช้ BigQuery และ Gemini ลดเวลาในการประเมินความเสี่ยง จากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่นาที
- โซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์: Google Cloud นำเสนอโซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น Google Threat Intelligence และ Security Operations ช่วยป้องกัน ตรวจจับ และตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว โดยมีลูกค้าเช่น BBVA และ Deloitte
- ชุดการมีส่วนร่วมของลูกค้า: Google Cloud เปิดตัว Customer Engagement Suite เพื่อช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ทั้งช่องทางออนไลน์ แอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ศูนย์บริการลูกค้า และร้านค้าปลีก เช่น Volkswagen of America ใช้เทคโนโลยีนี้พัฒนา myVW Virtual Assistant
นอกจากนี้ Gemini ยังถูกนำมาใช้ใน Google Workspace เพื่อช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย 75% ของผู้ใช้ ระบุว่า Gemini ช่วยยกระดับคุณภาพงาน
YouTube สร้างรายได้ทะลุ 5 หมื่นล้านดอลลาร์
YouTube ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ ด้วยรายได้รวมจากโฆษณาและการสมัครสมาชิก ทะลุ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของบริการสมัครสมาชิก เช่น YouTube TV, NFL Sunday Ticket และ YouTube Music Premium
เพื่อยกระดับประสบการณ์การรับชม YouTube ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ เช่น มุมมองแบบหลายมุมมอง (multiview) ที่ให้ผู้ใช้รับชมหลายช่องพร้อมกัน และตัวเลือกสำหรับผู้สร้าง ในการจัดระเบียบเนื้อหาเป็นตอนๆ และซีซัน คล้ายกับรายการทีวี
นอกจากนี้ YouTube ยังได้เปิดตัว Veo ซึ่งเป็นโมเดล AI จาก Google DeepMind ที่สามารถสร้างวิดีโอได้ โดยจะนำมาใช้ใน YouTube Shorts เพื่อช่วยให้ผู้สร้าง ผลิตวิดีโอสั้นได้ง่ายขึ้น
Gemini เสริมประสิทธิภาพ Android และ Pixel
Google ได้นำ Gemini มาผสานรวมกับ Android เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งาน เช่น Gemini Live ที่ให้ผู้ใช้สนทนากับ AI ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งฟีเจอร์นี้ มีให้บริการแล้วบนอุปกรณ์ Android รวมถึง Samsung Galaxy
ในส่วนของสมาร์ทโฟน Pixel 9 series มาพร้อมกับโมเดล AI ขั้นสูง เช่น Gemini Nano ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี และได้รับรางวัลมากมาย
Waymo ผู้นำด้านยานยนต์ไร้คนขับ
Waymo ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ ภายใต้ Alphabet มีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด โดยปัจจุบัน Waymo ให้บริการรถยนต์ไร้คนขับ มากกว่า 1 ล้านไมล์ต่อสัปดาห์ และมีผู้ใช้บริการแบบชำระเงินมากกว่า 150,000 เที่ยว
Waymo ร่วมมือกับ Uber ให้บริการรถยนต์ไร้คนขับ ในออสตินและแอตแลนตา และร่วมมือกับ Hyundai พัฒนารถยนต์ไร้คนขับรุ่นใหม่
ด้วยเทคโนโลยี Driver ที่ Waymo พัฒนาขึ้น ทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับรถยนต์หลากหลายรุ่น และระบบรุ่นที่ 6 ของ Waymo ช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยไม่ลดทอนความปลอดภัย
ซุนดาร์ พิชัย กล่าวขอบคุณพนักงานทั่วโลก ที่ร่วมกันสร้างผลงานอันยอดเยี่ยม ในไตรมาสที่ 3 และยินดีต้อนรับ Anat CFO คนใหม่ เข้าร่วมทีม Alphabet
บทความนี้ใช้ Gemini ช่วยแปลและเรียบเรียง*
ที่มา: Google
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘โซเชียลมีเดีย’ แหล่งข้อมูลอันดับหนึ่ง ที่คนไทยเลือกใช้ในการค้นหาร้านอาหารและสินค้าลักซ์ชัวรี่
ความต้องการทองคำผู้บริโภคไทย เติบโตสูงสุดในอาเซียน ติดต่อกัน 2 ไตรมาส