ผลผลิตน้ำนมดิบในประเทศไทยมีประมาณ 2,800-3,000 ตันต่อวัน ปี 2567 ตลาดผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มในประเทศไทย (กลุ่มยูเอชทีและพาสเจอร์ไรซ์) มีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 33,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปี 2566 แต่แนวโน้มปริมาณการผลิตน้ำนมดิบกลับลดลง เนื่องจากต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น ภาวะโลกเดือด และจำนวนเกษตรกรโคนมที่ลดลง อีกทั้งหากไม่จัดการฟาร์มอย่างเป็นระบบครบวงจร อุตสาหกรรมโคนม ยังเป็นจำเลยสำคัญจากการเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทน
จากข้อมูลที่ปรากฏคือ วัว 1 ตัว ผลิตก๊าซมีเทน (CH4) ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 26 เท่า ในปริมาณ 70 – 120 กิโลกรัมต่อปี จากการตด เรอ และของเสียที่ปล่อยออกมา แถมสารแอมโมเนียจากฉี่วัวเมื่อผสมกับดินจะกลายเป็นก๊าซไนตรัสออกไซด์ที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกเช่นกัน

สลิลลา สีหพันธุ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ให้ข้อมูลว่า เนสท์เล่ ในฐานะบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำระดับโลก มีผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับผู้คนและสัตว์เลี้ยงครอบคลุมทุกช่วงวัยกว่า 2,000 แบรนด์ มีนโยบายขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ Good for You, Good for the Planet สร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภค และเพื่อโลก
จากปัญหาและความท้าทายที่เกิดขึ้น บริษัทจึงร่วมมือกับเกษตรกรส่งเสริมการทำฟาร์มโคนมตามแนวทางความยั่งยืน ด้วยการเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) เพื่อบริหารจัดการฟาร์มโคนมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มคุณภาพและปริมาณน้ำนมดิบ ลดต้นทุนแก่เกษตรกร ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้นจากปริมาณและคุณภาพผลผลิตที่ดีขึ้นควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบจากสภาวะโลกเดือด
“น้ำนมดิบถือเป็นวัตถุดิบสำคัญของเนสท์เล่ในการนำมาผลิตผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่างๆ ที่เป็นที่รู้จัก เช่น ไมโล ตราหมี และเนสกาแฟ เราจึงให้ความสำคัญกับการจัดหาน้ำนมดิบที่ต้องมีคุณภาพดี และมีแหล่งผลิตที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Sourcing เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม”
เป้าหมาย Net Zero ปี 2050
ทั้งนี้ เนสท์เล่ได้ดำเนินโครงการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มโคนม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในแผนงานเพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเหลือศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2050
ปัจจุบัน น้ำนมดิบที่เนสท์เล่ใช้ผ่านมาตรฐานด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนครบ 100% แล้ว และยังคงเดินหน้าส่งต่อสิ่งดีๆ สู่มือผู้บริโภค
“เพื่อให้มั่นใจว่า เรามีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร”
โมเดลฟาร์มโคนมต้นแบบ ปกป้อง-ทดแทน-ฟื้นฟู
จากที่ทราบกันว่า อุตสาหกรรมฟาร์มโคนมเป็นแหล่งของการปล่อยก๊าซมีเทน เนสท์เล่จึงทำงานร่วมกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศไทยมานานกว่า 40 ปี เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงแก่อุตสาหกรรมนมในประเทศไทย โดยส่งเสริมหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู ที่มุ่งเน้นการปกป้อง ทดแทน และฟื้นฟู
นั่นคือการปกป้องและฟื้นฟูดินที่เป็นแหล่งปลูกอาหารวัวให้มีความสมบูรณ์ การสร้างความหลากหลายทางชีวภาพให้เกิดขึ้น ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีด้วยการใช้มูลวัวตากแห้งเป็นปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทดแทน ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในแปลงปลูกและทรัพยากรธรรมชาติ

ศิรวัจน์ ปิณฑะดิษ นักวิชาการเกษตร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัดที่ลงพื้นที่และทำงานใกล้ชิดเกษตรกร เล่าว่า เนสท์เล่เป็นเจ้าแรกที่นำการเกษตรเชิงฟื้นฟูเข้ามาปรับใช้กับฟาร์มโคนม จากการตรวจยาปฏิชีวนะในน้ำนมดิบเป็นความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่ง ณ ปัจจุบันผลเป็นศูนย์
การเกษตรเชิงฟื้นฟูมุ่งเน้น 3 ด้านสำคัญในการบริหารจัดการฟาร์มโคนมอย่างครบวงจร คือ 1. การพัฒนาการจัดการอาหารและโภชนะ เพิ่มพื้นที่ปลูกพืชอาหารสัตว์ พัฒนาเป็นแปลงหญ้าผสมถั่วหลากหลายชนิด เพื่อให้วัวได้รับสารอาหารที่หลากหลายขึ้นและดีขึ้น ตรวจวิเคราะห์ดินเพื่อติดตามความอุดมสมบูรณ์และกำหนดแนวทางการจัดการปุ๋ยให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ ฝึกอบรมเกษตรกรและเจ้าหน้าที่สหกรณ์ในการคำนวนสูตรอาหารให้โภชนะตรงกับความต้องการของแม่โค เพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพผลผลิตน้ำนม
2. การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้จัดการมูลโคอย่างเป็นระบบ ทำพื้นที่สำหรับตากแห้งมูลโค เพื่อนำไปใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับแปลงหญ้า ลดการใช้ปุ๋ยเคมีในแปลงพืช ส่วนที่เหลือสามารถนำไปจำหน่าย และการติดตั้งบ่อไบโอแก๊สเพื่อนำมูลโคมาหมักในบ่อและนำก๊าซมีเทนไปใช้ประโยชน์เป็นแก๊สหุงต้มในครัวเรือน
3. สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับระบบน้ำในแปลงหญ้าเพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสำหรับแปลงหญ้าได้ตลอดปี
บริษัทเข้ามาแนะนำให้เกษตรกรทำแปลงหญ้าผสมถั่วหลากหลายชนิดเพื่อเป็นแปลงหญ้าอาหาร และเป็นการเสริมสารอาหารประเภทโปรตีนแก่แม่โค ส่งผลให้ปัจจุบันได้ปริมาณน้ำนมดิบโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 13.5 กก. ต่อตัวต่อวัน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศที่ 11.7 กก. ต่อตัวต่อวัน และยังมีแผนจะเพิ่มปริมาณให้สูงขึ้นอีกเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำนมดิบในต่างประเทศได้สูงถึง 20-30 กก.ต่อตัวต่อวัน ส่วนหนึ่งขึ้นกับคุณภาพอาหารที่โคบริโภค
หญ้าและพืชตระกูลถั่วที่ส่งเสริมให้ปลูก เช่น หญ้าเนเปียร์ หญ้ารูซี่ หญ้ากินนี ถั่วไมยรา ถั่วดินผี เป็นต้น ซึ่งต่างก็มีเมล็ดพันธุ์จำหน่ายในประเทศ
นอกจากนี้ คุณค่าโภชนาการในน้ำนมดิบก็ดีขึ้น วัดได้จากระดับโปรตีนในนมที่เพิ่มขึ้นเป็น 3.02% จากระดับ 2.94% ในปี 2566 ซึ่งการที่ระดับโปรตีนในนมมีสูงกว่า 3% บ่งบอกถึงสุขภาพของแม่โคที่สมบูรณ์ และยังเป็นการเพิ่มโภชนาการที่มีประโยชน์แก่ผู้บริโภคด้วย
อีกทั้งการปลูกพืชหลายชนิดก็เป็นการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในแปลง พร้อมกับปกป้องและฟื้นฟูทรัพยากรดิน และสิ่งแวดล้อมในฟาร์ม
จัดการอย่างมีประสิทธิภาพ-เพิ่มมูลค่ามูลโค
ศิรวัจน์ ยังเล่าด้วยว่า การส่งเสริมเกษตรกรยังรวมถึงแนะนำให้จัดการมูลโคอย่างมีประสิทธิภาพโดยการนำไปตากแห้ง โดยอุดหนุนเงินสร้างลานปูนตากมูล 25,000 บาทต่อลาน ทำให้แห้งเร็วขึ้นภายใน 3-5 วัน จากเดิมตากบนพื้นดินใช้เวลานานนับเดือน
เมื่อแห้งแล้วสามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ในแปลงหญ้าอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและบางส่วนสามารถแบ่งไปจำหน่ายในรูปของปุ๋ยคอก สร้างแหล่งรายได้แก่เกษตรกร กิโลกรัมละ 1 บาท เปลี่ยนจาก “มูลโค สู่มูลค่า” สร้างรายได้อีกกว่า 40,000 บาทต่อปี
พร้อมกันนี้ ยังสนับสนุนการติดตั้งบ่อไบโอแก๊สเพื่อนำมูลโคมาหมักในบ่อและนำก๊าซมีเทนไปใช้ประโยชน์เป็นแก๊สหุงต้มในครัวเรือน นับเป็นวิธีการจัดการของเสียในฟาร์มให้เกิดประโยชน์ และที่สำคัญยังช่วยลดคาร์บอนจากมูลสัตว์ เนื่องจากการนำมูลโคมาตากแห้งจะทำให้ไม่เกิดการหมักหมมจนเกิดเป็นก๊าซมีเทน
ขณะเดียวกัน ยังส่งเสริมการเพิ่มมูลค่ามูลโค โดยนำไปทำอาหารเลี้ยงไส้เดือน ซึ่งไส้เดือนจะกินเยื่อใยในมูลโค เมื่อขับถ่ายออกมาเป็นมูลไส้เดือน ยังจำหน่ายได้กิโลกรัมละ 8-10 บาท
ทั้งนี้ วัว 1 ตัวจะขับถ่ายของเสียปริมาณ 50 กิโลกรัมต่อวัน จากปริมาณบริโภคน้ำ 70-100 ลิตรต่อวัน และอาหารอีก 15 กิโลกรัมต่อวัน
ส่งเสริมติดโซล่าเซลล์
อีกกรณีหนึ่งคือ ฟาร์มโคนมบางพื้นที่ระบบไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง หรือไม่เสถียร เนสท์เล่จึงส่งเสริมให้เกษตรกรติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สำหรับสูบน้ำบาดาลมาใช้ในแปลงหญ้า เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งน้ำได้ตลอดปี และลดต้นทุนด้านพลังงาน ช่วยให้เกษตรกรโคนมมีไฟใช้ในครัวเรือน ซึ่งการทำฟาร์มโคนมตามหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูทั้งหมดที่กล่าวมา ช่วยลดคาร์บอนได้รวมประมาณ 2,000 ตันในปี 2565 เมื่อเทียบกับปี 2561
ปัจจุบัน เนสท์เล่ ให้ความรู้และเทคนิคการเกษตรเชิงฟื้นฟูแก่เกษตรกรไปแล้วกว่า 160 ฟาร์มจาก 3 สหกรณ์ และมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ได้เริ่มทำเกษตรเชิงฟื้นฟูครบวงจรแล้วกว่า 40 ฟาร์ม และรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรผ่านสหกรณ์โคนมในราคาที่เป็นธรรมตามเกณฑ์มาตรฐานการรับซื้อที่กำหนดไว้ เพื่อสร้างความมั่นใจด้านการมีตลาดรองรับผลผลิตน้ำนมดิบแก่เกษตรกร จากที่เกษตรกรได้รับความรู้ด้านการทำปศุสัตว์ที่เหมาะสม จึงสามารถส่งน้ำนมดิบให้เนสท์เล่ด้วยมาตรฐาน GAP จากกรมปศุสัตว์ทั้ง 100%
“เกษตรกรเข้าร่วมโครงการจะต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง กล้าริเริ่มทำสิ่งใหม่ เช่นแปลงของวรวัฒน์ เวียงแก้ว ได้เปลี่ยนแปลงมันสำปะหลังมาเป็นแปลงหญ้า”
ตัวอย่างฟาร์มต้นแบบผู้กล้าเปลี่ยน
วรวัฒน์ เวียงแก้ว ตัวแทนเกษตรกรสหกรณ์โคนม อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ผู้เลี้ยงโคนมในอำเภอห้วยแถลง (เขตติดต่ออำเภอพิมาย) ผู้มีพื้นฐานด้านวิศวกรรมโลจิสติกส์ เล่าว่า การทำฟาร์มนั้นความเสี่ยงสูง ที่ทำอยู่นี้เรียกได้ว่า ใจรักล้วน ๆ และต้องทำจริง จากเริ่มเลี้ยงโคนม 5 ตัว ในปี 2561 ถึงปัจจุบันมีจำนวนรวมทั้งแม่และลูก 40 ตัว
ที่ผ่านมา ปัญหาและอุปสรรคในการทำฟาร์มโคนมมีทั้งด้านสาธารณูปโภคระบบไฟฟ้าที่ยังเข้าไม่ถึงในพื้นที่ หรือการที่วัวมีผลผลิตน้ำนมลดลงอย่างต่อเนื่อง น้ำนมดิบมีคุณภาพต่ำลง รวมถึงต้นทุนอาหารสัตว์ชนิดข้นที่แพงขึ้น ซึ่งมีส่วนทำให้จำนวนเกษตรกรฟาร์มโคนมมีจำนวนลดน้อยลง ซึ่งหลังช่วงโควิดมีผู้เลิกเลี้ยงโคนมไปแล้วหลายราย
“ผมได้ร่วมงานกับเนสท์เล่ ในช่วงปี 2564 จากการเป็นสมาชิกเกษตรกรโคนมพิมาย ทางเนสท์เล่ ลงพื้นที่มาพูดคุยถึงปัญหาในการทำฟาร์ม ช่วยหาวิธีในการเพิ่มผลผลิต รวมทั้งแนะนำหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูเข้ามาประยุกต์ใช้ จึงได้เริ่มเป็นฟาร์มโคนมนำร่อง ทำแปลงหญ้ารูซี่ หญ้าไนล์ และปลูกพืชถั่วร่วมด้วย ทำบ่อไบโอแก๊ส ตากมูลวัว ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพราะไฟฟ้าเข้ามาไม่ถึง ตอนนี้จึงเป็นฟาร์มที่ใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ 100% มีแบตเตอรี่สำรองไฟ ที่บ้านใช้แอร์ได้ และสามารถสูบน้ำบาดาลมาใช้กับแปลงหญ้าได้ตลอดปี รวมทั้งนำมูลโคตากแห้งไปขายเพื่อเป็นรายได้เสริมอีกด้วย”
วรวัฒน์ เล่าว่า หลังติดตั้งโซล่าเซลล์ ต้นทุนการทำฟาร์มลดลง การขายน้ำนมดิบจากที่เคยได้ส่วนต่าง 5-6 บาทจาก 100 บาท ทุกวันนี้กลายเป็น 50:50 แล้ว
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และชุมชน รากฐานของการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน
SCB ช่วย SME “เริ่ม เพื่อ รอด” สู่ธุรกิจยั่งยืน ด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
ยิบอินซอย มั่นใจ Robinhood กำไรสิ้นปี 67 เร่งดึงร้านค้า – เพิ่มยอด ผนึก Paypoint ดันคะแนนลูกค้า