ในยุคที่การพัฒนาด้านเทคโนโลยีและความยั่งยืนถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างธุรกิจ ทำให้หลายบริษัทเริ่มต้นที่จะเริ่มต้นปรับตัวให้ธุรกิจมุ่งหน้าเข้าสู่เทรนด์นี้กันมากยิ่งขึ้น รวมถึงบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ที่ได้ก้าวเข้าสู่การเป็น Tech and Sustainability Company ที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งการสร้างธุรกิจในรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน แต่ยังสร้างคุณค่าให้กับสังคมในระยะยาวอีกด้วย
ในงาน WHA Open House 2024 ทางจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงวิสัยทัศน์และทิศทางของ WHA ทั้งที่ผ่านมาและในอนาคต ภายใต้หัวข้อ “How We’re Shaping a Sustainable Future”
การเติบโตของธุรกิจที่มากกว่าแค่ความสำเร็จทางการเงิน
ในการเติบโตของด้านธุรกิจยุคปัจจุบันนี้ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญต้องคิดว่าจะเติบโตอย่างไรให้ยั่งยืน ธุรกิจจะสามารถช่วยเหลือประเทศ หรือช่วยยกระดับประเทศให้พัฒนาได้อย่างไรบ้าง ซึ่งทาง WHA มีหลัก Stategy ที่ช่วยทำให้ธุรกิจเติบโต และสร้างผลประกอบการได้อย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ปี 2017 ที่บริษัทประกาศจุดยืนทรานส์ฟอร์มองค์กร (Digital Transformation) เป็นบริษัท Tech and Sustainability Company โดยมี Visual Innovation ที่เป็นวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนแปลงองค์กร 5 เรื่องด้วยกัน คือ การสร้าง Digital Strtegy ที่ทำให้ Core Business แข็งแรง, Build & Workforce ด้วยการพัฒนาเรื่องคนและองค์กร เพื่อให้พนักงานกลายเป็น Smart Employee ที่มีประสิทธิภาพ, การเพิ่มศักยภาพ Digital Ability ให้กับองค์กร และสร้าง Digital Foundation Platform ที่มีคุณภาพ นอกจากนี้เพิ่มต่อมาคือ การเพิ่มประสิทธิภาพของ Business Model ให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากด้านเทคโนโลยีแล้ว WHA ยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับพนักงานอย่างยั่งยืนมากขึ้นด้วยการสร้าง Core Value หลักจากการพูดคุยกับทุกคนในองค์กร จนได้ออกมาเป็น..
- ให้ความสำคัญกับ Partnership ด้วยการสร้าง Strategic Partnership ขึ้นมาอย่างมีระบบ
- Intivity หรือความกระตือรือร้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรปลูกฝั่งเป็นอย่างแรกในบริษัท
- การเป็น Champion ในงานของตนเอง
- การถ่ายทอด Resources ที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ
- Advance กับการก้าวนำหน้าผู้อื่นอยู่เสมอ
และในปี 2023 เพิ่ม Core Value ใหม่เป็น Respect คือ ให้เกียรติซึ่งกันและกันไม่ว่าจะตำแหน่งไหนก็ตาม เพื่อทำให้เกิด Trust ระหว่างกันและกันมากขึ้น
ซึ่งจากการลงมือลงแรงในการสร้างรากฐานขององค์กรให้ยั่งยืนและมั่นคง ส่งผลให้ธุรกิจแข็งแรงขึ้น ดูได้จากผลประกอบการต่าง ๆ กับการเติบโตของธุรกิจใน 4 กลุ่มธุรกิจหลักซึ่งรวมมูลค่าธุรกิจแล้วมากกว่า 200,000 ล้านบาท ได้แก่
- กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ พื้นที่คลังสินค้ารวมขนาดมากกว่า 3,100,000 ตารางเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 70 แห่ง และส่วนใหญ่เป็นลูกค้าต่างชาติ
- กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม บนพื้นที่รวมแล้วกว่า 78,000 ไร่ จำนวนรวม 13 แห่ง และมีลูกค้ามากกว่าพันราย
- ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ที่เป็นบริการจัดการขายเรื่องน้ำ บำบัดน้ำเสีย รวมแล้ว168 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมถึงในด้านพลังงานที่ผลิตไฟฟ้าได้ถึง 957 MW
- ธุรกิจดิจิทัลโซลูชัน (Digital Solutions) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ
และถ้าดูภาพรวมของการดำเนินธุรกิจในภาพรวมตั้งแต่ปี 2020-2024 WHA สามารถดึงการลงทุนได้มากกว่า 1.6 ล้านล้านบาท โดยมาจากประเทศจีนประมาณ 61% เติบโตจากช่วงปี 2017-2018 ก่อนที่จะเกิดเทรดวอร์ (Trade War) นอกจากนี้ ยังมีประเทศญี่ปุ่น 27% และเรื่องของการส่งออก สามารถทำให้เติบโตได้มากกว่า 80% โดยตัวเลขที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นในด้านธุรกิจพลังงานสะอาดเรียกว่า Solar Energy เช่น Sahafarm capacity 45.6 MW, Mega Bangna capacity 9.9 MW, Prix Chengshan capacity 24.2 MW ฯลฯ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าของธุรกิจที่จะเน้นในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability)
ส่วนในด้านการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) WHA มีโปรเจกต์มากกว่า 38 โปรเจกต์ มีมากกว่า 50 applications เพื่อตอบสนองในเรื่อง Product Activity และ Improve Efficiency โดยใช้เงินไปทั้งหมดเพียง 160 ล้านบาทเท่านั้น โดยประยุกต์ใช้ AI ในหลายๆ ด้าน เช่น ด้าน Solar, โดรน, HR และ Accounting ด้วย
ภาพอนาคตของ WHA
WHA มุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการเน้นพัฒนาธุรกิจในด้านพลังงานสะอาด โดยเฉพาะธุรกิจ EV Rental Service, On Premise & Public EV Charging Solution และ Mobilix Software Solution ซึ่งทั้ง 3 ธุรกิจนี้จะเน้นการบริหาร ปรับปรุง และการดำเนินการ รวมถึงสามารถติดตามและคาดการณ์ได้ด้วย AI ซึ่งมีประโยชน์ในด้านการลดค่าใช้จ่าย (Cost) ได้ด้วย
สำหรับด้านความยั่งยืน WHA ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจในแนวนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (SMART ECO Industrial Estates) จึงทำการพัฒนา OPERATION CENTER: UOC หรือศูนย์ควบคุมส่วนกลางที่แสดงข้อมูลการปฏิบัติการของ WHA ที่ช่วยแสดงข้อมูลของการบริหารนิคมอุตสาหกรรม ไปจนถึงระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยียังไม่หยุดอยู่แค่นี้ เพราะยังสามารถนำ Resources ไปพัฒนาเพิ่มเติมได้หลายอย่าง เช่น
- WHA Smart Traffic ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group ได้รับข้อมูลอัปเดตเรื่องสถานการณ์จราจรภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและบริเวณใกล้เคียง ช่วยวางแผนการเดินทาง ลดต้นทุนเชื้อเพลิงในการขนส่ง
- Smart Water Platform ด้วยการนำ Artificial Intelligence (AI) เข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อลดการซื้อน้ำจากข้างนอกเข้ามา พร้อมเทรดน้ำจากลูกค้าอีกรายไปหาอีกราย รวมถึงทำแพลตฟอร์มเพื่อช่วยชุมชน เพื่อลดดวามเหลื่อมล้ำและลดต้นทุนของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม
- การทำ Super App ให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบการใช้น้ำใช้ไฟ ผ่านทางแอปพลิเคชันที่คิดค้นขึ้นมาได้เลย
นอกจากนี้ เป้าหมายของ WHA ที่ตั้งเป้าไว้ว่า ในปี 2029 ที่จะทำการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero greenhouse gas emissions) ซึ่งถ้าทำได้จะเทียบเท่ากับการปลูกป่าได้ถึง 280,000 ต้น ซึ่งเป้าหมายตั้งเป้าหมายว่าจะลดให้ได้ 32% ในด้านการลดการใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเองก็ช่วยทำให้ลดต้นทุนการซื้อน้ำได้ แน่นอนว่า ช่วยเสริมในด้านการลงทุนได้ด้วย
จะเห็นว่าการทำธุรกิจให้เป็น Tech and Sustainability Company เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะธุรกิจสามารถนำ Infrastructure มาต่อยอดและพัฒนาธุรกิจได้อีกหลายด้าน เช่นเดียวกับ WHA ที่มุ่งมั่นการเติบโตที่ยั่งยืนด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีและการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง และตั้งเป้าที่จะลงทุนในพลังงานสะอาดและการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ รวมถึงสร้างสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเติบโตของบริษัทจะไม่เพียงแค่สร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจ แต่ยังสร้างคุณค่าให้กับชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘เนสท์เล่’ หนุนเกษตรกรโคนมพิมาย ต้นแบบฟาร์มยั่งยืน-ขับเคลื่อนเกษตรเชิงฟื้นฟู
Betagro ร่วมทุนรอบ Series B ใน ‘Plantible’ เดินหน้าสร้างระบบอาหารที่มั่นคงและยั่งยืน
AWS เผยการร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง สร้างเครือข่ายเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไทย
