ในยุคที่การเป็นครีเอเตอร์กลายเป็นหนึ่งในอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝัน จำนวนครีเอเตอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง YouTube, TikTok, Instagram หรือแพลตฟอร์มเกิดใหม่มากมาย ทำให้การแข่งขันในตลาดคอนเทนต์รุนแรงมากขึ้น แม้ครีเอเตอร์จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือความคิดสร้างสรรค์ที่โดดเด่น แต่หากขาดความเข้าใจในการสร้างรายได้และโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมก็อาจทำให้ไม่สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว
ครีเอเตอร์หลายช่องมีความคิดสร้างสรรค์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแต่เพียงแค่นั้นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถเติบโตและยืนหยัดอยู่ในวงการได้อย่างยั่งยืน ความสำคัญจึงอยู่ที่การเข้าใจปัจจัยการสร้างรายได้ในโลกที่การแข่งขันระหว่างครีเอเตอร์ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ภายในงาน ICREATOR 2024 ในหัวข้อ “Creator Monetization กลยุทธ์การสร้างรายได้ร่วมกับแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ” โดย ปู-สุวิตา จรัญวงศ์ CEO ของ Tellscore ในหัวข้อที่เปิดมุมมองของตลาดคอนเทนต์ว่าครีเอเตอร์ต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อให้เท่าทันกับตลาด เพื่อปั้นคอนเทนต์เพื่อก้าวไปสู่การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้อย่างยั่งยืนที่สุด
ความคิดสร้างสรรค์คือจุดเริ่มต้น แต่การเข้าใจโมเดลรายได้จะทำให้เกิดความยั่งยืน
โลกดิจิทัลเปิดโอกาสให้คนธรรมดากลายเป็นครีเอเตอร์ที่มีอิทธิพลต่อผู้ชมทั่วโลก การสร้างรายได้จากคอนเทนต์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โฆษณาหรือการสนับสนุนจากแบรนด์ แต่เกิดช่องทางหลากหลายมากขึ้นทำให้ครีเอเตอร์สามารถเลือกแนวทางผลิตคอนเทนต์ที่ตนเองถนัดไปพร้อมกับสร้างรายได้
สุวิตา กล่าวว่ามี 7 ช่องทางรายได้ของครีเอเตอร์ยุคใหม่ ได้แก่
1. การทำคอนเทนต์รีวิวสินค้า หนึ่งในวิธีการสร้างรายได้ที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพที่สุดคือการรีวิวสินค้า ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ด้านความงาม อาหาร หรืออุปกรณ์เทคโนโลยี ครีเอเตอร์สามารถนำเสนอความเห็นที่ตรงไปตรงมาและดึงดูดผู้ชมให้สนใจสินค้าได้ เป็นการสร้างการรับรู้ของครีเอเตอร์ถึงแบรนด์ว่าช่องของเรามีโอกาสสร้างรายได้กับกับแบรนด์ด้วยฐานผู้ชมของช่อง
2. ค่าคอมมิชชันจากยอดขายสินค้า มีให้เห็นมากในปัจจุบัน เป็นการขายสินค้าผ่านระบบ Affiliate Marketing หรือการโปรโมตลิงก์สำหรับสินค้า หากมีผู้ชมสั่งซื้อผ่านลิงก์ดังกล่าว ครีเอเตอร์จะได้รับส่วนแบ่งจากยอดขาย เป็นอีกช่องทางที่สร้างรายได้แบบ Passive Income มีหลากหลายแพลตฟอร์มให้ครีเอเตอร์เข้าไปใช้บริการ เช่น Shoppee, Lazada, TikTok Shop, YouTube ฯลฯ เป็นต้น
3. ลิขสิทธิ์คอนเทนต์ ส่วนใหญ่จะเป็นทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การนำคลิปวิดีโอไปใช้ในงานโฆษณาหรือโปรเจกต์ต่าง ๆ หรือเพลง ดนตรี เสียงพากย์ เป็นต้น
4. วิทยากรในงานอีเวนต์ การเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านคอนเทนต์ทำให้ครีเอเตอร์สามารถรับเชิญไปพูดหรือจัดเวิร์กช็อปในงานต่างๆ นอกสถานที่ รายได้มาจากค่าจ้างในการให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ เพียงต้องสร้างความเชี่ยญชาญด้านที่ถนัดเพื่อปั้นความโดดเด่นดึงดูดผู้ที่เข้ามาว่าจ้าง
5. การสนับสนุนจากแฟนคลับ ได้รับความนิยมมากในกลุ่มครีเอเตอร์ที่มีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น เช่น การขายเนื้อหาพิเศษ (Exclusive Content) หรือการรับทิป (Tipping) ผ่านแพลตฟอร์ม เช่น YouTube Membership หรือ TikTok Gifts เป็นต้น
6. การจัด Fan Meets และคอนเสิร์ต กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้แฟนคลับได้ใกล้ชิดกับครีเอเตอร์สามารถสร้างรายได้จากการขายบัตรเข้าชม ซึ่งสามารถต่อยอดไปสร้างรายได้อื่นๆ ด้วย เช่น การขายสินค้า Merchandise เป็นต้น
7. ขายสินค้า Merchandise การสร้างและจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ส่วนตัว เช่น เสื้อผ้า ของที่ระลึก หรือสินค้าอื่นๆ ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของครีเอเตอร์ เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยสร้างรายได้เสริมและส่งเสริมแบรนด์ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
ช่องทางรายได้ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นโอกาสให้หลายคนในฐานะครีเอเตอร์ยุคใหม่ สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงหรือเติบโตได้ไม่ยาก แม้จะมีผู้ติดตามมาน้อยเท่าไร แต่ถ้ารู้จักธรรมชาติ ความชื่นชอบของผู้ติดตามจะทำให้เราเจอเเนวทางที่ใช่ของช่องตนเองได้ไม่ยาก เป็นโอกาสสำคัญในการใส่ความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดรายได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
ควรเข้าไปในตลาด Red Ocean และ Blue Ocean อย่างไรดี?
การสร้างรายได้ดังกล่าวไปข้างต้นไม่ได้มีเพียงแค่การทำธุรกิจในตลาดที่มีอยู่แล้ว (Red Ocean) แต่ยังรวมถึงการค้นหาหรือสร้างตลาดใหม่ (Blue Ocean) ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายที่แตกต่างกัน
ในมุมของ Red Ocean เป็นตลาดที่มีผู้เล่นจำนวนมากและมีการแข่งขันสูง การต่อสู้ในตลาดที่เต็มไปด้วยคู่แข่ง ซึ่งในประเทศไทยถือว่าตลาดครีเอเตอร์ได้เข้าสู่ Red Ocean อย่างเต็มตัวแล้ว ด้วยครีเอเตอร์กว่า 9 ล้านคน การแข่งขันเพื่อดึงดูดแบรนด์และผู้ติดตามเป็นเรื่องท้าทาย ส่วนใหญ่จะเป็นครีเอเตอร์ในสายอาหาร เครื่องดื่ม หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้เล่นส่วนใหญ่จะใช้การลดราคาค่าจ้างเพื่อดึงดูดแบรนด์ทำให้เกิดการแข่งขันกันสูง หากครีเอเตอร์สามารถสร้างฐานผู้ติดตามและเป็นที่ยอมรับในตลาดได้ในช่วงแรกแสดงถึงโอกาสในการแข่งขันที่ดี ส่วนผู้เล่นหน้าใหม่ที่ไม่ได้มีสถิติหรือประสิทธิภาพที่ก้าวกระโดดเป็นแนวหน้าจะแข่งขันยากในตลาดนี้หากยังไม่ประสบความสำเร็จในช่วง 1 ปีแรก ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนไปยังตลาดที่มีการแข่งขันน้อยกว่า
แต่ตลาดที่น่าสนใจในอนาคตที่กำลังมาคือ Blue Ocean ตลาดใหม่ที่ยังไม่มีผู้เล่นหรือมีผู้เล่นน้อยมาก ซึ่งช่วยลดการแข่งขันและเพิ่มโอกาสในการสร้างเอกลักษณ์ของเหล่าครีเอเตอร์ ยังไม่มีการแข่งขันที่สูงมากเน้นกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงหรือยังไม่ได้รับการตอบสนองหรือที่เรียกกันว่ากลุ่มเป้าหมายใหม่ ง่ายที่จะเก็บเกี่ยวโอกาสในอนาคต ในโลกที่การสร้างคอนเทนต์เป็นมากกว่าการเล่าเรื่อง การหาโอกาสในตลาด Blue Ocean จะช่วยให้ครีเอเตอร์เติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในแง่รายได้และความนิยม
แต่ปัจจุบันก็เริ่มเห็นการผสมผสานของการเข้าไปเล่นทั้งสองตลาดของครีเอเตอร์ อย่างกการสร้างสองช่องที่แตกต่างกันเพื่อเสิร์ฟคอนเทนต์ที่เหมาะกับธรรมชาติของผู้ชมทั้งสองตลาด เป็นการเพิ่มโอกาสสร้างรายได้อย่างชาญฉลาด
8 บรรยากาศที่เกิดขึ้นในวงการสำคัญสำหรับครีเอเตอร์
ในโลกของ Creator Economy ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การค้นหาแหล่งข้อมูล เทรนด์ และแหล่งรายได้ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อตัวครีเอเตอร์เองได้มาก เพราะต้องปรับตัวให้เข้ากับความท้าทายเพื่อความอยู่รอดต่อไปอย่างมั่นคง จำเป็นต้องรู้เรื่องเหล่านี้เพื่อกระโจนเข้าไปหาโอกาสให้กับตนเอง
1. Soft Power เมื่อนโยบายภาครัฐให้การสนับสนุนการใช้ Soft Power ส่งผลให้การสร้างคอนเทนต์ของเหล่าครีเอเตอร์จะถูกสนับสนุนว่าจ้างจากภาครัฐค่อนข้างเยอะ เช่น สายรีวิวเฟสติเวล ที่ดึงดูดผู้ติดตามให้มีส่วนร่วมกับเทศกาล สถานที่ท่องเที่ยว หรือการสื่อสารวัฒนธรรมและจุดเด่นของท้องถิ่น เป็นต้น ด้วยการตลาดผ่าน Influencers ไม่ใช่เพียงแค่การจ้างคนดังมาโปรโมตสินค้า แต่ต้องอาศัยการวางกลยุทธ์ที่ซับซ้อน ตั้งแต่การดึงดูดความสนใจในวงกว้าง (Macro) ไปจนถึงการกระตุ้นการซื้อในกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Micro) กระบวนการที่ผสมผสานทั้งความคิดสร้างสรรค์และการวางแผนอย่างดีจะช่วยให้แคมเปญการตลาดประสบความสำเร็จและสร้างผลลัพธ์ที่ดี
2. Gig Economy หมายถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คน คนจำนวนมากออกจากงานประจำเข้าสู่โมเดล Gig Economy ในฐานะตัวเลือกใหม่สำหรับแรงงานยุคดิจิทัล ด้วยอัตราการเติบโต 15-20% ต่อปี แรงงานในกลุ่มนี้ไม่เพียงแค่ตอบโจทย์ความยืดหยุ่น แต่ยังมีศักยภาพในการสร้างรายได้ที่หลากหลายและสอดคล้องกับความต้องการของเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยการมาทำสายครีเอเตอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน การเรียกมาทำสายอาชีพนี้จะชาวยเพิ่มรายได้เสริมที่รวดเร็วกว่าสายอื่นๆ
3. ความซับซ้อนของการสร้างคอนเทนต์ ในการทำงานร่วมกันของแบรนด์ เอเจนซี และครีเอเตอร์สิ่งที่จำเป็นมากคือการแทร็กหาประสิทธิภาพด้วยเมตริกต่างๆ เช่น Cost per View (CPV) หรือ Cost per Lead (CPL) เพื่อวัดผลลัพธ์และความคุ้มค่าที่เกิดขึ้น ครีเอเตอร์ต้องรู้ว่าแบรนด์ต้องการอะไรเพื่อที่จะผลิตงานออกมาได้ตรงวัตถุประสงค์ เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้จ้างงาน
4. ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือจาก Cyber Crime ครีเอเตอร์ต้องรับมือกับความเสี่ยงนี้อย่างจริงจัง ด้วยการสร้างตัวตนที่น่าเชื่อถือและรักษาภาพลักษณ์สำคัญยิ่งในการรักษาความไว้วางใจจากแบรนด์และผู้ติดตาม หรือไม่ก็ผลิตคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับการเปิดโปงกลโกงหรือความโปร่งใสเพราะยังเป็นที่ต้องการมากในสังคมปัจจุบัน
5. ความท้าทายใหม่ที่เข้ามา อย่าง AI ที่เข้ามาเป็นตัวเลือกให้กับแบรนด์ เช่น Virtual Creator และ AI Presenter กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด ครีเอเตอร์มีโอกาสไม่ถูกจ้างงานหากไม่เพิ่มเสน่ห์ความเป็นมนุษย์ลงไปในงานคอนเทนต์
6. Algorithm ของแพลตฟอร์ม ทำให้การหารายได้จากยอดวิวเพียงอย่างเดียวใช้ไม่ได้ผล ครีเอเตอร์จำเป็นต้องหารูปแบบการสร้างรายได้อื่นๆ เช่น การจัดอีเวนต์ หรือการทำสินค้า Merchandise หรือ Affiliate เข้ามาเสริมเพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์ม
7. การสร้างคอนเทนต์อย่างมีจรรยาบรรณ ด้วยเทรนด์ของ Sustainability มาแรงในมุมของคอนเทนต์ครีเอเตอร์ การสร้างความยั่งยืน คือการมีคุณธรรมในการผลิตผลงานช่วยเพิ่มคุณค่าและความน่าเชื่อถือ แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม
8. การปรับตัวของสื่อและองค์กร ที่หันมาเป็นครีเอเตอร์กันมากขึ้น จะทำให้การสร้างคอนเทนต์เกิดการแข่งขันก็สูงขึ้นตามไปด้วย ความครีเอทีพจึงและการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายจะมาเป็นส่วนสำคัญที่วัดว่าใครทำคอนเทนต์ได้ดึงดูดผู้ชมได้มากกว่ากัน
เพิ่มความร่วมมือเพื่อพัฒนา Creator Economy
สร้างแวดล้อมที่ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์ เอเจนซี และครีเอเตอร์ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแคมเปญที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น โดยเริ่มจากทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันในเป้าหมายของแคมเปญ เช่น การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ต้องการ ทั้งในแง่ยอดขายหรือการสร้างการรับรู้ ก่อนการแบ่งปันข้อมูล เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค แนวโน้มตลาด หรือผลการดำเนินงาน ช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถปรับปรุงกลยุทธ์และเนื้อหา
คุณปู กล่าวว่า เศรษฐกิจครีเอเตอร์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างแบรนด์ เอเจนซี และครีเอเตอร์ การสื่อสารและการแบ่งปันข้อมูลคือกุญแจสำคัญในการพัฒนาให้เศรษฐกิจนี้เติบโตได้ในระยะยาว และในปี 2025 ความต้องการของแบรนด์และเอเจนซีจะเปลี่ยนไปตามแนวโน้มของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง การร่วมงานกับครีเอเตอร์หลากหลายประเภทจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสำเร็จ
5 ประเภทครีเอเตอร์ที่แบรนด์ต้องการ
แบรนด์ต่าง ๆ กำลังมองหาครีเอเตอร์ที่สามารถตอบโจทย์เป้าหมายการตลาดและสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน การเลือกครีเอเตอร์ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แบรนด์สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประเภทที่น่าสนใจ ได้แก่
1. Effective Mass Creators ที่วัดผลลัพธ์ได้ เป็นกลุ่มที่อยู่ในตลาด Red Ocean เพราะการแข่งขันที่สูง คนผลิตคอนเทนต์ที่เข้าใจความต้องการของแบรนด์จึงมีโอกาสมากกว่า หากสามารถบอกประสิทธิภาพของช่องตนเองได้และเหมาะสมกับความต้อการจะเป็นครีเอเตอร์น้ำดีที่ไม่ตายไปจากวงการเเน่นอน
2. Creative Niche Creators ครีเอเตอร์กลุ่มเฉพาะ เป็นกลุ่มที่มีผู้ติดตามจำเพาะซึ่งการสื่อสารทำได้ยาก แบรนด์ต้องการตรีเอเตอร์เหล่านี้เพื่อเป็นตัวช่วยในการสื่อสารไปถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่ต้องการ
3. Local Nationwide Creators ครีเอเตอร์ท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ เสน่ห์ความเป็นไทย มีความน่ารัก สนุนสนานที่ทำให้คนทั่วโลกต่างชื่นชอบ อีกทั้งภาครัฐยังให้การสนับสนุนเนื่องจากเป็น Soft Power ประเภทหนึ่ง
4. Subculture Creators (Soft Power) ครีเอเตอร์สายวัฒนธรรมย่อย เป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีผู้ติดตามมากมาย แต่เป็นกลุ่มที่มีแฟนคลับเหนียวเเน่นที่สร้างสรรค์เนื้อหาที่เน้นกลุ่มเป้าหมายที่มีความชอบเฉพาะ เช่น กลุ่มแฟนคลับศิลปิน เป็นต้น
5. Omni-Channel Creators ครีเอเตอร์สายการเชื่อมโยงทุกช่องทาง กลุ่มที่สามารถสร้างคอมมูนิตี้ของผู้ติดตามให้มาทำกิจกรรมร่วมกันนอกหน้าจอ กลุ่มนี้จะมีโอกาสสร้างรายได้และเติบโตไปในทิศทางใหม่ๆ ได้อย่างคาดไม่ถึง
“ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ครีเอเตอร์ที่ยั่งยืนคือผู้ที่พร้อมเรียนรู้และเข้าใจการสร้างรายได้ที่ดีไปพร้อมกับความเคลื่อนไหวของตลาด” การพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณอยู่รอดได้ในฐานะครีเอเตอร์ อินฟลูเอเซอร์ที่มีรายได้มั่นคงและภูมิใจในอาชัพของตนเองอย่างที่สุด