ความสนุกของคอนเทนต์คืออะไร? ครีเอเตอร์หลายคนตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรให้คอนเทนต์โดนใจผู้ชม ถามหาเคล็ดลับที่จะเป็นทางลัดให้ไปถึงความสำเร็จได้เร็ว วันนี้จะพามาชมเทคนิคที่คล้ายจะลับของน้าเน็ก ว่าน้าเน็กใช้วิธีอะไรในการสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และมอบข้อคิดดี ๆ ให้กับผู้ชม
ต้องจินตนาการกันไม่ได้แน่ ๆ ว่าเคล็ดลับที่ว่าคืออะไร เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “น้าเน็ก” ผู้ได้ชื่อว่าเป็นไลฟ์โค้ด พิธีกร นักพูด หรือคนดัง จะเป็นความธรรมชาติของตัวตนที่เจ้าตัวตามหามาตั้งแต่อายุ 15 จนตอนที่อายุ 55 ปีกว่าจะได้คำตอบว่าแท้จริงแล้วคอนเทนต์แท้จริงที่ผู้คนชื่นชอบของน้าเน็ตมีหน้าตาเป็นอย่างไร “ความจริงแล้วได้สร้างคอนเทนต์ที่ใส่ความเป็นตัวเองในงานที่รัก ทำในสิ่งที่ถนัด และพอหาเลี้ยงชีพได้” เท่านั้นก็เพียงพอที่จะมีความสุขในคอนเทนต์ที่สร้างได้ทุกวันแล้ว แถมในงาน ICREATOR 2024 น้าเน็กก็ได้แสดงเสน่ห์ของคอนเทนต์ที่ว่าด้วยการเปลี่ยนผู้ฟังในงานให้เป็นผู้โชคดีที่จะได้ถามคำถามสดจำลองรายการ อย่าหาว่าน้าสอน จะมีคำถามและคำตอบที่จี้โดดจุดอย่างไรไปดูกัน
ความสำเร็จในมุมมองของน้าเน็ก คือความบังเอิญและพลังของคอมมูนิตี้
คำว่าความสำเร็จในมุมมองของ “น้าเน็ก” เป็นเหมือนการถูกรางวัลหวย ที่ไม่มีคำอธิบายแน่ชัดว่าเหตุใดจึงเกิดขึ้น หรือทำไมถึงเลือกหมายเลขนั้น ๆ น้าเน็กมองว่าความสำเร็จเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากกระบวนการล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายพันครั้ง และไม่สามารถระบุได้ว่าช่วงเวลาใดคือ “จุดเปลี่ยน” ที่แท้จริง ในชีวิตของน้าเน็ก เคยอ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ และศึกษาเรื่องราวของคนอื่นที่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม น้าเน็กย้ำว่าเราไม่สามารถนำมาตรวัดของความสำเร็จของผู้อื่นมาเปรียบเทียบกับตัวเองได้ เพราะแต่ละคนล้วนผ่านเส้นทางที่แตกต่างกัน แม้กระทั่งตัวเขาเองที่ฟังเรื่องราวของคนมากมาย ก็ไม่สามารถนำบทเรียนเหล่านั้นมาใช้กับตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
สิ่งที่น้าเน็กยึดมั่นมาตลอดชีวิตคือ “ความเชื่อในเรื่องของ Community” หรือการรวมตัวของผู้คน ซึ่งเขามองว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ การที่คนกลุ่มหนึ่งออกจากบ้านและได้พบปะกับผู้คนใหม่ ๆ นับเป็นสิ่งดีงามและเป็นการสร้างพลังใหม่ให้กับชีวิต แต่ในทางกลับกัน หากใครกลับบ้านแล้วไม่ได้พบเจอหรือทำความรู้จักกับใครใหม่เกิน 5 คนในแต่ละวัน เขามองว่านั่นอาจเป็นความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว
ประเด็นคำถามที่ได้คำตอบสุดเจ๋งจากน้าเน็ก
คำถามจากคุณใบตอง: จัดการความรู้สึกอย่างไรเมื่อฟังเรื่องราวของคนอื่น?
น้าเน็ก (ที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา): “ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความแตกต่างโดยธรรมชาติ” การพยายามตั้งคำถามให้ดู “ใหม่” หรือ “แตกต่าง” มักสะท้อนถึงการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ซึ่งอาจทำให้เราไขว้เขวจากความเป็นตัวเอง สิ่งที่น้าเน็กแนะนำคือการปรับมุมมอง “ไม่ต้องสนใคร” ถามในสิ่งที่เราอยากถามจริง ๆ โดยไม่ต้องกังวลว่าคำถามนั้นจะเหมือนหรือแตกต่างจากคนอื่นหรือไม่ เพราะเมื่อเราถามจากความสงสัยและมุมมองของเราเอง คำถามนั้นย่อมมีเอกลักษณ์และ “ใหม่” โดยธรรมชาติอยู่แล้ว
คำถามจากคุณแพร : ตั้งคำถามให้เป็นมุมมอง “ใหม่” ได้อย่างไร?
น้าเน็ก: “ผมไม่ใช่ไลฟ์โค้ช” น้าเน็กกล่าวพร้อมเน้นว่า เขาไม่ได้เชื่อว่าชีวิตของใครจะมีใครมาไกด์ให้ได้ หากจะนิยามบทบาทของเขา คงใกล้เคียงกับคำว่า “Advisor” มากกว่า เพราะสิ่งที่เขาทำคือรับฟังและให้คำแนะนำตามเหตุผล 70% ของบทสนทนาที่เขามีคือการรับฟังเรื่องราวจากคนแปลกหน้าที่โทรเข้ามาเพื่อเล่าความทุกข์ใจ หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเผชิญกับปัญหาอะไร สิ่งสำคัญที่น้าเน็กยึดถือคือถอดทัศนคติออกก่อนรับฟัง เขาไม่รัก ไม่ชอบ และไม่เกลียดคนที่เล่าเรื่อง เพราะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน การเปิดใจรับฟังโดยไม่ตัดสิน ทำให้เขาสามารถรับฟังด้วยความเป็นกลาง เรื่องราวที่มาด้วยอารมณ์สามารถถูกอธิบายด้วยเหตุผล ในขณะเดียวกัน เรื่องที่เกิดขึ้นจากเหตุผล หากเสริมด้วยอารมณ์ จะทำให้เรื่องราวนั้นมีมิติและงดงามมากขึ้น เขาย้ำว่าในการฟัง “ให้ฟังแล้วลืม”เราไม่จำเป็นต้องซึมซับอารมณ์ของผู้เล่าแค่แยกแยะและมองผ่านกรอบของเหตุผลได้ก็เพียงพอแล้ว
คำถามจากผู้โชคดี : เมื่อแบรนด์ต้องการคอนเทนต์ที่ไม่ตรงกับตัวตนเราจะมีวิธีเจรจาอย่างไรให้ลงตัว?
น้าเน็ก: ถ้าให้แชร์จากประสบการณ์ส่วนตัวหลายครั้งที่แบรนด์หรือทีมลูกค้าติดต่อมาเพื่อจ้างทำงาน พวกเขามักมาพร้อมกับไอเดียที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียด ซึ่งน้าเน็กเองถึงกับสงสัยว่า “ถ้าคิดมาเยอะขนาดนี้ ทำไมไม่ทำกันเองเลยวะ?” โดยเฉพาะในกรณีของโฆษณาที่บางครั้งถูกออกแบบมาในลักษณะที่คนดูเลือกจะเลื่อนผ่าน
อย่างไรก็ตาม น้าเน็กมองว่า หากแบรนด์มาจ้างเรา นั่นแปลว่าแบรนด์ต้องการอะไรบางอย่างที่เราเป็น เช่น ฐานผู้ติดตาม ประสิทธิภาพในการสื่อสาร หรือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเรา การเข้าใจจุดนี้จะช่วยให้เราสามารถเจรจากับแบรนด์ได้อย่างมั่นใจ พูดคุยกับแบรนด์อย่างตรงไปตรงมา โดยบอกพวกเขาว่า “ให้ไว้ใจเรา” และขอให้แบรนด์ระบุเพียง Key Message ที่สำคัญที่สุดของแคมเปญ จากนั้นให้เรานำเสนอสิ่งนั้นในมุมมองของเราเอง การแสดงความเชื่อมั่นในตัวเองจะช่วยสร้างความไว้วางใจให้แบรนด์เห็นถึงศักยภาพได้
คำถามจากคุณเชน: จะหาตัวเองให้เจอได้อย่างไร?
น้าเน็ก: น้าเน็กเล่าว่า เขาเริ่มต้นการค้นหาตัวเองตั้งแต่อายุ 14-15 ปี ด้วยการตั้งคำถามสำคัญว่า “ผมจะใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปได้อย่างไร?” ซึ่งคำตอบที่ได้ในตอนนั้นไม่ได้ระบุชัดเจนว่าอาชีพอะไรที่เขาควรทำ แต่เป็นหลักการสำคัญที่ว่า “เขาอยากทำในสิ่งที่รักสิ่งที่ถนัดและสิ่งที่พอเลี้ยงชีพได้” ชีวิตไม่ได้ให้คำตอบชัดเจนในทันที เขาใช้เวลาและโอกาสทำงานหลากหลายอย่างที่ผ่านเข้ามา จนกว่าจะค้นพบสิ่งที่ตรงกับตัวเองจริง ๆ เมื่ออายุ 55 ปี อย่ากังวลหากคุณยังไม่เจอสิ่งที่ใช่ในตอนนี้ แทนที่จะมัวคิดถึงอนาคตไกล ๆ ให้เริ่มจากการตั้งเป้าหมายระยะสั้น และลงมือทำสิ่งที่คุณเชื่อมั่นในปัจจุบัน เพราะอนาคตคือสิ่งที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ปัจจุบันคือสิ่งที่เรารับรู้และควบคุมได้ ช่วงเวลาที่เราสะสมไว้ในปัจจุบัน จะตอบคำถามของเราเองในอนาคตตั้งใจทำปัจจุบันให้ดีที่สุดลดความกังวลการกังวลนั้นไม่ช่วยให้เกิดผลดี หากสิ่งที่เราทำในปัจจุบันดีอยู่แล้ว การกังวลก็เป็นการเสียเวลา แต่หากผลลัพธ์ออกมาไม่ดี ก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ที่จะย้อนกลับไปกังวลกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และปิดท้ายไว้ว่า “เรื่องของพรุ่งนี้ให้เป็นตัวเราในวันพรุ่งนี้แก้ดีกว่าครับ”
คำถามจากคุณแจน: เปลี่ยนตัวตนเพื่อเงินดีไหม?
น้าเน็ก: สำหรับน้าเน็ก เงินไม่ใช่ปัจจัยแรกในการตัดสินใจ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ การทำสิ่งที่เป็นตัวเองการคงตัวตนและเอกลักษณ์ไว้ในงานที่ทำถือเป็นหัวใจหลัก อันดับสองคืองานนั้นช่วยผลักดันหรือพัฒนาตัวเราได้หรือไม่ หากสองสิ่งนี้ตอบโจทย์ เงินจะตามมาเป็นผลลัพธ์ที่สามโดยอัตโนมัติ การที่เราทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จโดยไม่ตั้งใจถือเป็นความฟลุค ในขณะเดียวกัน ความล้มเหลวที่ไม่มีเหตุผลชัดเจนเป็นเพียงความซวย
สิ่งสำคัญคือ “เราต้องไม่ทำงานโดยพึ่งพาความฟลุ๊คหรือความซวย” แต่ควรตั้งใจศึกษาและเข้าใจงานที่ทำอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและพัฒนาตนเองได้ น้าเน็กแนะนำให้ จินตนาการอนาคตในแบบที่เพ้อสุด ๆ แล้วบันทึกสิ่งที่คิดไว้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ความฝันลอย ๆ แต่จะช่วยให้เราเห็นภาพของสิ่งที่ต้องการชัดเจนขึ้น และเมื่อภาพนั้นชัดเจน วิธีการไปถึงเป้าหมายจะถูกซ่อนอยู่ในบันทึกเหล่านั้นเอง การเปลี่ยนคาแรกเตอร์เพื่อเงินที่ดีกว่าอาจดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ควรถามตัวเองก่อนว่า “เราจะยังเป็นตัวเราอยู่หรือเปล่า?” หากการเปลี่ยนแปลงนั้นช่วยให้เราพัฒนาและยังคงเอกลักษณ์ของเราไว้ได้ ก็อาจเป็นเรื่องที่ควรพิจารณา
คำถามจากคุณเอก: ก้าวผ่านอุปสรรคจากเส้นทางที่เลือก?
น้าเน็ก: จากการตั้งเป้าหมายในชีวิตที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง คือทำในสิ่งที่รัก สิ่งที่ถนัด และพอเลี้ยงชีพได้ น้าเน็กเล่าว่า เขาไม่ได้ยึดติดกับความสำเร็จหรือความล้มเหลวมากเกินไปผมค่อนข้างเย็นชากับทั้งสองอย่าง เขาอธิบายว่าบางครั้งการจะเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราต้องถอยหลังมามองในระยะไกลเพื่อเห็นภาพรวม สิ่งสำคัญคือหากสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไม่ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงกับชีวิต นั่นหมายความว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการได้เรียนรู้อะไรบางอย่างในปัจจุบัน ชีวิตไม่ได้มีค่าเท่ากับความสุขเพียงอย่างเดียว เพราะในชีวิต 100% ความสุขอาจมีเพียง 20% ส่วนอีก 80% คือความทุกข์ที่เราต้องเผชิญในโลกทุนนิยม ความเครียด และความผิดหวังที่สะสมในแต่ละวัน อย่าโฟกัสที่ความทุกข์จนเกินไปหรือคาดหวังความสุขที่สมบูรณ์แบบ แต่ให้มองหาข้อดีในสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ และพยายามให้ความหมายกับประสบการณ์เหล่านั้น “อย่าใช้ความสุขนำ แต่จงมองหาความหมายในสิ่งที่ทำแทน”
แม้ว่าน้าเน็กจะไม่ได้มอบเคล็ดลับเฉพาะในการทำคอนเทนต์ แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมาในทุกบทสนทนาคือเสน่ห์ของการเป็นตัวเองอย่างแท้จริง นี่คือจุดเด่นที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเพลิดเพลินและเชื่อมโยงกับเขาได้อย่างน่าประหลาดเหมือนกับทุกคำถาม คำตอบที่ได้อ่านไปข้างต้น น้าเน็กแสดงให้เห็นว่าการเป็นตัวเอง คือหัวใจของการสร้างคอนเทนต์ที่มีพลัง สุดท้ายน้าเน็กก็ได้ฝากไว้ง่าย ๆ ว่า เคล็ดลับคือ “การใช้ชีวิตชุ่ย ๆ ต่อไป อย่าไปกังวลเดี๋ยวมันก็ดีเองครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”