KBTG ปักธงจะสร้างผลกระทบทางธุรกิจ 10,000 ล้านบาท จากการทำ Human-First x AI-First Transformation ใน 5 ปีนับจากปี 2025 ถึงปี 2029 โดยเริ่มนับหนึ่งจากปี 2025 ปีที่จะเป็นก้าวแรกของ KBTG 3.0 กับเส้นทางการทรานส์ฟอร์เมชันแบบก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในยุค AI ของ KBTG
KBTG จะครบทศวรรษในปี 2025 จบทศวรรษแรกและกำลังขึ้นทศวรรษที่ 2 ด้วยการเข้าสู่ยุคที่ 3 ของ KBTG หรือเรียกว่า KBTG 3.0 โดยยุคแรก เป็นยุคก่อนตั้งและการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งของ KBTG ใช้เวลา 3 ปี (2016-2018)
ยุคที่สอง คือยุคของการทรานส์ฟอร์มอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ ตั้งแต่ระบบการดำเนินงานหลัก สถาปัตยกรรมและโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี คนและวัฒนธรรมองค์กร การขยายสู่ภูมิภาค และการทรานส์ฟอร์มสู่ Machine Learning – AI – Data (M.A.D.) ยุคนี้ใช้เวลา 5 ปี (2019-2023)
จนมาสู่การทรานส์ฟอร์มครั้งล่าสุดที่เรียกว่า Human-First x AI-First Transformation ที่เริ่มตั้งหลักจริงจังในปี 2024 นี้ โดยปรับจากแนวคิดยุทธศาสตร์ AI-First Transformation ในปีที่ผ่านมา เพราะ KBTG เชื่อว่าคุณค่าและความยั่งยืนของบริษัทเทคนั้น เพราะ “คนต้องมาก่อนเสมอ เทคโนโลยีที่ KBTG พัฒนาขึ้นจะต้องทำให้ชีวิตมนุษย์ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือพนักงาน” เรืองโรจน์ (กระทิง) พูนผล Group Chairman, KBTG กล่าว

การทำ Transformation เป็นการวิ่งมาราธอน โดยเฉพาะการทำทรานส์ฟอร์มเมชันในองค์กรที่เป็น Tech Company อย่าง KBTG ที่ประกาศว่าจะต้อง Be One Step Ahead ด้วยแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตื่นตัว ปรับตัว เตรียมตัวตลอดเวลา
ปี 2024 เป็นปีแรกของยุค KBTG 3.0 ภายใต้ยุทธศาสตร์ Human-First x AI-First Transformation ซึ่ง KBTG สามารถสร้างผลงานทางธุรกิจ (Business Impact) ได้เป็นหลักพันล้านบาทในหนึ่งปี ซึ่งความสามารถนี้เกิดจากการนำ Machine Learning – AI – Data (M.A.D.) ไปใช้ในธุรกิจธนาคารทั้งในส่วนของ Credit, Wealth และ Payment รวมถึงการขายและการบริการ (Sales and Services)
ในขณะเดียวกัน KBTG ก็สามารถสร้างเม็ดเงินทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการสร้างนวัตกรรมด้าน AI ของตัวเองผ่านการใช้งานจริง (Use Case) ของตัวเอง (ซึ่งงานหลักของ KBTG คือการพัฒนาซอฟต์แวร์) จำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง AI Coding Assistant ที่ช่วยให้ประหยัดเวลาไป 50% การสร้าง AI Agent ที่เป็น Data Analytic Agent ที่ชื่อ Ge-DI มี HR Chat Agent (ซึ่งทำให้ KBTG ได้รางวัลจาก Linked In เป็น AI Pioneer) และสร้าง AI-Powered Software Quality Management ที่นำไปใช้แล้วใน 15 โปรเจคต์
การจะเปลี่ยนบริษัทให้เป็น AI คนทั้งบริษัทต้องมีความสามารถด้าน AI พนักงาน 2,600 คนของ KBTG มีความรู้ทางด้าน AI (AI Literacy) และมีพนักงาน 250 คนที่มีความสามารถในการสร้าง AI (AI Engineers) และจะเพิ่มเป็น 1,000 คนในปี 2025 ที่สำคัญ KBTG ตั้งหน่วยงานกลางชื่อว่า K-DAI Coucil เป็นทีมกลางที่บริหารและดำเนินการเพื่อให้ทุกคนในององค์กรเข้าถึงขีดความสามารถของเทคโนโลยี AI ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั้งบริษัท เพื่อสร้างคนทำงานพันธุ์ใหม่ที่มีความสามารถในการใช้ AI ในการทำงาน (AI-Ready Workforce)
ผลงานเชิงประจักษ์ของนวัตกรรม AI ของ KBTG ที่ออกสู่ตลาดแล้ว ได้แก่ THaLLE เป็น LLM ทางการเงินภาษาไทย ที่สอบผ่าน CFA Level II ไปเมื่อมิถุนายนที่ผ่านมา และสอบผ่านข้อสอบที่ปรึกษาทางการลงทุน ของ SET แล้ว มี FutureYou เป็น GenAI ให้คนคุยกับตัวเองในอนาคต (Self-Reflection and Long-Term Thinking) มี FinLearn เป็นโค้ชด้านการเงินส่วนตัว (AI-powered Personal Financial Coach) และมี Waan AI เป็นแพลตฟอร์มด้าน Data Analytics และ Financial Assistant
KBTG 3.0
ปี 2025 จึงเป็นปฐมบทใหม่ของ KBTG ที่จะเริ่มการทำ Transformation ครั้งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม เพื่อเตรียมองค์กรให้เข้าสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็น AI มากขึ้น หมายถึงการเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีการนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในทุกอณูของการทำงาน
KBTG วางยุทธศาสตร์การสร้างนวัตกรรม AI ด้วยการสร้าง AthenaMind ซึ่งเป็น Multi-modal และ Multi-agent Platform เพื่อสร้าง AI Agent ขึ้นมาในจำนวนมาก เหมือนเป็นโรงงานผลิต AI Agent
“ปีนี้เราเริ่มประกาศวัฒนธรรมใหม่ คือ OneKBTG be Excellent ปีหน้า (ปี 2025) จะเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งของ KBTG เพื่อยกระดับองค์กรของเราให้มีประสิทธิภาพและเป็นองค์กรที่เป็นผู้นำในยุค AI เราไม่ได้สร้าง AI เป็นตัว ๆ แต่เราสร้างโรงงานผลิตนวัตกรรม AI” เรืองโรจน์ กล่าว
ทั้งนี้แผนการในปี 2025 ของ KBTG จะล้อไปกับทิศทางของ AI ที่เชื่อกันว่าการร่วมมือกันทำงานระหว่างคนและ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้กว่า 6.5 เท่าใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งแนวโน้มเรื่อง AI ในปี 2025 จะมี 3 เรื่อง คือ AI ที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของมนุษย์ (AI for Decision Intelligence), AI Agents และ AI Guardrails
AI ที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของมนุษย์ (AI for Decision Intelligence) ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI ช่วยเตือนหรือให้ข้อมูลคนเพื่อการตัดสินใจ เช่น งานเฝ้าระวังระบบ IT infrastructure การใช้ AI ร่วมกันระหว่างคนกับ AI (Decision Augmentation) อาทิ งานบริการลูกค้าผ่าน Chatbot หรือการให้ AI ตัดสินใจแทนคน (Decision Automation) ในงานยืนยันตัวตน (eKYC)
มีการคาดการณ์กันว่าภายในปี 2026 ประมาณ 75% ของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก (Global 500 Company) จะใช้มีการใช้ AI เข้ามาช่วยในกระบวนการตัดสินใจ สิ่งนี้จึงเป็นแนวโน้มใหญ่ที่จะเกิดในปี 2025 เป็นต้นไป AI Agent จึงเป็นยุทธศาสตร์ของ KBTG
เพราะ AI Agent คือ AI ที่สามารถตัดสินใจและลงมือทำงานเองแทนคน เพราะโลกในอนาคตคือการนำ AI มาทำงานร่วมกับมนุษย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงานได้แบบมหาศาล การนำ AI Agent มาทำงานร่วมกับมนุษย์นั้นสามารถทำได้ในทุกกิจกรรมทางธุรกิจทั้งฝ่ายขาย ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายบริการลูกค้า รวมถึงฝ่ายไอที ทั้งการพัฒนาซอฟต์แวร์และเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2028 ประมาณ 1 ใน 3 หรือ 33% ของบริษัทซอฟต์แวร์จะมีการใช้ Agentic AI ในกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์
เมื่อมีการนำ AI เข้ามาใช้มากขึ้น AI Guardrails จึงมีความสำคัญ เพราะ AI Guardrails คือการสร้าง AI ที่มี จริยธรรมและความรับผิดชอบ ต้องใช้ AI ประเมินและตัดสิน AI ใช้ AI ควบคุม AI ใช้ AI ดูแล AI ต้องมี Responsible AI ที่มีมาตรฐานแบบเดียวกับที่องค์กรต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security) Responsible AI จะเป็นเหมือน Cyber Security ในทุกบริษัท
KBTG พร้อมที่จะก้าวสู่ปฐมบทใหม่ของ Human-First x AI-First Transformation ยุคที่องค์กรทำงานราวกับเป็น AI เพราะ AI จะเข้าไปอยู่ในทุกอะตอมขององค์กร KBTG

ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล Managing Director, KBTG กล่าวว่า Agentic AI คือ AI ประเภทหนึ่ง หากนำ Gen AI มาบวกกับองค์ความรู้จะทำให้ AI มีทั้งความสามารถ ความรู้ เทียบเท่ากับคน เป็นที่มาว่าทำไม Agentic Principle จึงมีบทบาทสำคัญ เพราะที่ผ่านมนุษย์ถูกทำให้เป็นดิจิทัลมากขึ้นคือสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กันผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น (Digitalized Human) ในขณะที่ปัจจุบัน AI กลายเป็นมนุษย์มากขึ้น สื่อสารและทำงานได้เหมือนคน (Humanizes AI) สองปรากฏการณ์นี้นำมาสู่การเริ่มต้นของยุคการรวมกันของมนุษย์และ AI (Human-AI Convergence) ที่คนกับ AI ทำงานร่วมกันเสมือนหนึ่งเป็น Agent ซึ่งกันและกัน ที่ KBTG เชื่อว่านี่คือบริบทใหม่ของการทำงานในยุคถัดไป
“ต่อไปคุณแชตคุยกับเพื่อนร่วมงานคุณ คุณไม่รู้หรอกว่าเพื่อนร่วมงานที่กำลังคุยอยู่เป็นคนที่ใช้เครื่องมือแชตบอทหรือเป็น AI Bot นี่คือบริบทใหม่ของการทำงาน ทำให้องค์กรทุกองค์กรต้องปรับรูปแบบและกระบวนการทำงานใหม่เพื่อให้เกิดการทำงานในรูปแบบนี้ที่จะปลดล็อกประสิทธิภาพการทำงานในด้านต่าง ๆ ทั้งมิติของธุรกิจและมิติของเทคโนโลยี” ดร.ทัดพงศ์ กล่าว
ดร.ทัดพงศ์ กล่าวว่า หลักของ Agentic AI ที่ต้องพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถมีอยู่ 3 สิ่ง ได้แก่ สิ่งแรกคือ Agentic Platformization เพราะในอนาคตการสร้าง AI Agent จะต้องทำได้รวดเร็ว เพราะจะมีความต้องการใช้งาน AI Agent ในหลากหลายรูปแบบทั้ง AI Agent ในงานไอที งานธุรกิจ งานการตลาด เป็นต้น จะเห็นว่าค่ายยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีเริ่มออกเครื่องมือในการสร้าง AI Agent คือการเอา Gen AI
บวกกับความรู้ในองค์กระเพื่อสร้างการทำงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Vertex AI Agent Builder ของ Google Cloud หรือ Co-Pilot Studio Aotonomous Agent ของ Microsoft สำหรับ KBTG เองก็มีเช่นกัน KBTG มีการสร้างแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่สร้าง AI Agent ที่ชื่อ AthenaMind หรือ KBTG Agent Factory
การทำงานแบบใหม่ที่เรียกว่า Agentic Orchestration คือการสร้างกระบวนการทางธุรกิจใหม่ (Business Process) ที่รองรับการทำงานร่วมกันของคนทำงานที่เป็นคนและ AI Agent กระบวนการทำงาน (Workflow) ต้องเปลี่ยนใหม่หมด หากองค์กรธุรกิจต้องการจะอยู่รอดและเติบโตจะต้องมีการวางกระบวนการทำใหม่ที่รองรับการทำงานของคนทำงาน (Agent) ที่เป็นทั้งมนุษย์และ AI ทำงานด้วยกันได้
สิ่งที่สามคือ Agentic Humanization คือ การเตรียมพร้อมคนทำงานให้พร้อมที่จะทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่เป็น AI ทั้งมิติของการปรับตัวและปรับสภาพจิตใจในการทำงาน (Psychological Effect) การปรับและเพิ่มทักษะของคนทั้งองค์กร (Skill Enhancement) และวัฒนธรรมการทำงานร่วมกับ AI (Workplace Acceptance) เพื่อเตรียมความพร้อมการทำงานร่วมกับเพื่อร่วมงานที่เป็น AI และนี่คือ 3 สิ่งนี้คือ 3 สิ่งสำคัญที่ KBTG ต้องเตรียมความสามารถพื้นฐานให้พร้อม
AthenaMind แพลตฟอร์มสร้าง AI Agent ของ KBTG
ปีนี้ KBTG มีการสร้าง Agentic Platformization ของตัวเองที่ชื่อ AthenaMind เป็นศูนย์กลางที่จะทำเรื่องการผลิต AI Agent สำหรับการใช้งานด้านต่าง ๆ (Multi Agent Factory) และบริหารจัดการ AI Agent (Agent Creation and Orchestration) ให้มีประสิทธิภาพ
จุดเด่นของ AthenaMind คือ การเป็น Flexible Interface ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับระบบใด ๆ ก็ได้ ที่เป็นระบบ UX/UI และระบบหลังบ้าน จุดเด่นประการต่อมาคือการเป็น Low Operation เพราะการนำ AI มาบวกกับองค์ความรู้ขององค์กรไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป AthenaMind จะต้องทำให้กระบวนการสร้างและบริหาร AI Agent ในส่วนงานต่าง ๆ ขององค์กรสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ประการต่อมา เนื่องจาก KBTG อยู่ในอุตสาหกรรม Fintech จะต้องรักษาข้อมูลและความเชื่อใจ การมี AthenaMind เป็นแพลตฟอร์มกลางในการสร้าง AI Agent ทำให้สามารถมี Good Governance ในเรื่องของข้อมูล คำสั่ง Prompt ทำให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วโดยมีความปลอดภัยเรื่องข้อมูลในการใช้ Prompt จุดเด่นประการสุดท้ายคือ สามารถต่อเชื่อมกับ LLM ใด ๆ ก็ได้
“เนื่องจากเทคโนโลยียังคงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว เราจะทำให้ AthenaMind เป็นแพลตฟอร์มที่ให้เราได้ทดลอง ทดสอบ และเลือก LLM และลักษณะการใช้งานที่เหมาะสมเพื่อการขยายขีดความสามารถของแพลตฟอร์มได้ ที่ผ่านมาได้ใช้ AthenaMind เป็นแพลตฟอร์มในการสร้าง AI Agent มากมาย ทั้ง AI Agent ด้านการวิเคราะห์ข้อมูล AI Agent ที่ช่วยวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงให้กับทีมภายใน และ AI Agent ที่ช่วยตรวจสอบเรื่องกฎระเบียบทางการเงิน เป็นต้น นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราเริ่มต้น ปีหน้าจะมี AI Agent เกิดขึ้นอีกมากมายมหาศาล” ดร.ทัดพงศ์ กล่าว
ดร.ทัดพงศ์ กล่าวว่า มนุษย์จะกลายเป็นหุ่นยนต์และหุ่นยนต์จะกลายเป็นมนุษย์ สุดท้ายจะกลายเป็น Agentic Principle ที่ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างคนกับ AI แต่คนกับ AI จะเป็น Agent ที่ทำงานร่วมกัน
Agentic AI ในมุมของการพัฒนาซอฟตแวร์
การนำ AI มาช่วยยกระดับความสามารถในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ด้วยเครื่องมือที่จะช่วยทีมโปรแกรมเมอร์ของ KBTG ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความรวดเร็วและความแม่นยำในการเขียนโค้ดทำให้ทีมสามารถมุ่งเน้นที่การสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างเต็มที่

จิรัฎฐ์ ศรีสวัสดิ์ Assistant Managing Director – Technical Excellence, KBTG กล่าวว่า ภายใต้การดูแลเรื่องประสิทธิภาพการพัฒนาซอฟต์แวร์และประสบการณ์การพัฒนาซอฟต์แวร์ ทำให้การนำ AI มาใช้ในกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ของ KBTG มี 3 รูปแบบ คือ การนำ AI มาช่วยงานการเขียนโปรแกรมของนักพัฒนา เอา AI มาเป็น Coding Assistant การให้ AI เขียนโค้ดให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์รีวิว คือให้ AI เป็น Coding Agent และสุดท้ายการนำ AI เข้ามาช่วยในกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ตั้งแต่ต้นจบจน ใช้ AI กับคนในการเป็น Multi-Agent SDLC การนำ AI เข้ามาใช้ในกระการพัฒนาซอฟต์แวร์ของ KBTG ทำทั้ง 3 รูปแบบนี้ในสัดส่วนที่มากน้อยแตกต่างกัน
การนำ AI มาเป็น Coding Assistant คือให้ AI เป็นผู้ช่วยนักพัฒนา ผลที่ได้รับคือ ทำงานช้าลงกว่าที่ไม่มี AI ทำให้ค้นพบว่า AI ไม่ใช่เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้แล้วจะประสบความสำเร็จ แต่ต้องมีคนเข้าไปเกี่ยวข้องในงานนั้นเสมอ ทำให้ต้องสร้างให้นักพัฒนามีความรู้ว่า AI มีความสามารถและมีข้อจำกัดอย่างไรในการนำมาใช้งานก่อนที่จะลงมือนำมาใช้งานจริง ผลปรากฎว่าผลงานดีขึ้น
ตัวอย่างที่ได้ผลเด่นชัดคือ การทำ Software Modernization พอนำ AI Coding Assistant มาใช้งาน ช่วยลดเวลาจาก 100 Man-Day เหลือไม่ถึง 50 Man-Day ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมากกว่า 50%
อีกตัวอย่างของการใช้ AI Coding Assistant คือ การลดช่องว่างของภาษาการเขียนโปรแกรม ปัจจุบันสามารถนำนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญภาษาการเขียนโปรแกรมคนละภาษาทำงานข้ามภาษาการเขียนโปรแกรมได้โดยมีคุณภาพเทียบเท่ากับนักพัฒนาที่มีทักษะภาษาการเขียนโปรแกรมนั้น ๆ ได้
นอกจากนี้ การนำ AI Coding Assistant มาใช้ยังทำให้การเขียนโค้ดการทดสอบโค้ดมีคุณภาพมากขึ้น ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาโค้ดมากกว่า 500,000 บรรทัดที่เขียนโดย AI ภายใต้การควบคุมคุณภาพของวิศวกรซอฟต์แวร์ถูกนำไปใช้ใน KBTG
“เราเชื่อว่าทิศทางนี้เป็นทิศทางที่ถูก และสอดคล้องกับที่ Sundar Pichai ซีอีโอของ Google พูดที่งาน Alphabet 2024 Q3 Earning Call ว่าประมาณ 1ใน 4 หรือ 25% ของโค้ดใหม่ใน Google ถูกเขียนโดย AI สัดส่วนของเรายังน้อยกว่า เราจะขยายสัดส่วนการเขียนโค้ดด้วย AI มาเป็น Coding Assistant มากขึ้น”จิรัฎฐ์ กล่าว
การใช้ AI เป็น Coding Agent โดยที่คนแค่รีวิวและตรวจทาน จากการใช้งาน Coding Agent ในงานการพัฒนาซอฟต์แวร์จริง ๆ จากที่ต้องใช้นักพัฒนาทำที่ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวัน ผลคือ Agent สามารถพัฒนา ทดสอบ และส่งมอบซอฟต์แวร์ได้ภายใน 5 นาที แผนงานที่จะทำคือจะนำการเขียนโปรแกรมครึ่งหนึ่งให้ Coding Agent ทำ (งาน Small Task)
ในการทำงานทั้งหมดของการพัฒนาซอฟต์แวร์เริ่มตั้งแต่การวางแผน การวิเคราะห์โจทย์ความต้องการ การพัฒนา การทดสอบ ที่มีกระบวนการทำงานที่ชัดเจน KBTG จะเพิ่ม Human-AI Convergence แทรกอยู่ในทุกขั้นตอนของการพัฒนาซอฟต์แวร์ เป็นการทำ Multi-Agent Software Development Life Cycle (Multi-Agent SDLC) ทำให้การทำงานพัฒนาซอฟต์แวร์ร่วมกันระหว่างคนกับ AI นี่คือภาพที่เชื่อว่าจะสำเร็จและเกิดขึ้นจริง
“ทั้ง 3 เรื่องนี้ (Coding Assistant, Coding Agent, Multi-Agent SDLC) คือ สิ่งที่เราโฟกัสและทำคู่ขนานกัน Coding Assistant จะเข้ามาช่วยการทำงานของวิศวกรซอฟต์แวร์ของเรา เชื่อว่า 100% ของวิศวกรซอฟต์แวร์ของเราจะต้องใช้ AI เป็น และทำ AI ได้ ส่วน Coding Assistant จะเข้ามาช่วยเรื่องาน เราเชื่อว่างานเล็ก ๆ งานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ครึ่งหนึ่งของงานส่วนนี้จะถูกทำโดย AI เพื่อให้วิศกรซอฟต์แวร์ของเราไปแก้ปัญหางานที่ยากขึ้นไปอีก และ Multi-Agent SDLC คือกระบวนการพัฒนาซแฟต์แวร์ตั้งแต่ต้นจนจบจะต้องถูกพัฒนาโดยคนและ AI ร่วมกันได้เสมอ ทั้งหมดนี้คือวิสัยทัศน์ของการนำ AI เข้ามาใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของ KBTG” จิรัฎฐ์ กล่าว
กลยุทธ์ 3 แกนของ KBTG
KBTG ปักธงจะสร้างผลกระทบทางธุรกิจ 10,000 ล้านบาท จากการทำ Human-First x AI-First Transformation ใน 5 ปีนับจากปี 2025 ถึงปี 2029 ด้วยพันธกิจ 3 แกน คือ AI-Driven Innovation, Human-AI Convergence และ World-Class Ecosystem
แกน AI-Driven Innovation ปัจจุบัน KBTG มีนวัตกรรม AI ที่ออกสู่ตลาดแล้วนับ 10 ผลงาน โดยมีแพลตฟอร์มกลางที่เป็น Multi-Agent Platform ที่เรียกว่า AtthenaMind ที่จะช่วยให้สร้างนวัตกรรม AI ได้มากขึ้น จะทำให้ KBTG สามารถเร่งความเร็วในการสร้างนวัตกรรมด้าน AI ได้เร็วขึ้นและมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ KBTG สามารถสร้างผลกระทบทางธุรกิจได้ระดับหมื่นล้านบาท
KBTG สร้างระบบนิเวศด้านการพัฒนานวัตกรรม AI ภายในของตัวเอง เริ่มตั้งแต่ KLabs ที่เป็นหน่วยงานวิจัย KX เป็นหน่วยงานปล่อยของ ทำวิจัยที่ KBTG Labs และนำไปขายที่ KX นอกจากนี้ มีกองทุนลงทุน KXVC ลงทุนเรื่อง AI จำนวน 100 ล้านเหรียญฯ นอกจากนี้ยังมี Co-Build โครงการ KX Horizon ในการบ่มเพาะสตาร์ตอัพทั่วโลก เพื่อสร้างนวัตกรรมให้เร็วยิ่งขึ้น
แกน Human-AI Convergence คือการผนวกรวมความสามารถของคนและ AI ให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ การทำ Human-AI Convergence จะเป็นการยกระดับขีดความสามารถของคน KBTG ด้วยการใช้ AI
นอกจากนั้น KBTG ตั้งเป้าจะยกระดับขีดความสามารถขององค์กร จากค่าเฉลี่ย 6.5 เท่า ให้มากกว่าค่าเฉลี่ยกลายเป็นเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรเป็น 10 เท่า
จากเดิมที่นำ AI เป็นตัวตั้ง ผลปรากฎว่าประสิทธิภาพลดลง เพราะในความเป็นจริงความท้าทายในการนำ AI มาใช้งาน คือการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานและสร้างความพร้อมของคนทำงาน ต้องใช้คนเป็นศูนย์กลางในทุกงานที่จะนำ AI เข้ามาใช้งาน ทั้งกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์และการออกแบบผลิตภัณฑ์
“เป็นการสร้างทรานส์ฟอร์มเมชันครั้งใหญ่อีกครั้งของ KBTG ผมเรียกว่า AI-Infuse Organization
เพราะเป็นการใส่ขีดความสามารถด้าน AI เข้าไปในคนของ KBTG และในทุกส่วนของการทำงานของทั้งบริษัท ให้คนกับ AI กับคนทำงานหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว” เรืองโรจน์ กล่าว
จำเป็นต้องทำ AI-Augmented Workforce Transformation เปลี่ยนวิธีคิดและวิธีการทำงานของคนใหม่ทั้งหมด KBTG ทำ AI Literacy ในองค์กร ทำให้คนทั้ง 2,600 คนมีความรู้เรื่อง AI รวมถึงสร้าง AI Builder ขึ้นปัจจุบันมี 250 นักพัฒนา AI ในปี 2025 จะมี 1,000 คน
นอกจากเปลี่ยนวัฒนธรรม เปลี่ยนวิธีการทำงานแล้ว ปี 2025 KBTG จะเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรโดยเอาคนเป็นศูนย์กลาง จะทำให้เฟสถัดไปของ KBTG มีขีดความสามารถมากขึ้น 10 เท่าในปี 10 ปี (ปี 2024 – 2033)
แกน World-Class Ecosystem เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น การเล่นในสนาม AI ให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องสร้างระบบนิเวศและจับมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศ ในภูมิภาค และในระดับโลก ซึ่ง KBTG ทำมาตลอด ปีที่ผ่านมา KBTG ร่วมมือกับ MIT Media Lab, Google Research, AI Singapore แต่ KBTG จะยกระดับระบบนิเวศในระดับโลกอีกเพื่อให้ KBTG และประเทศไทยเป็นหนึ่งในระบบนิเวศด้าน AI ระดับโลก ระบบนิเวศระดับโลกนี้มีทั้งเรื่องงานวิจัย การศึกษา การลงทุน และการ Co-Build
ด้วยแผนยุทธศาสตร์ของ KBTG ในปี 2025 ปีที่เรียกขานว่าเป็นปีแห่ง Agentic AI และการวางกลยุทธ์ 3 แกน จะทำให้ KBTG เป็น Tech Company ที่มีขีดความสามารถครบเครื่องในยุค AI ที่จะพาประเทศไทยไปอยู่ในแผนที่ AI โลกในฐานะหนึ่งในผู้นำเรื่องระบบนิเวศ AI ของโลกได้อย่างแน่นอน